Chapter 4
ลมสงบเพื่อรอคลื่นลูกใหญ่พัดกระหน่ำ คำพูดนี้เหมือนจะเป็นจริงในไม่ช้า
ผ่านมาแล้วสองวันหลังจากงานแต่งของมารีน่ากับลูเซียโน่ ทุกอย่างรอบตัวหญิงสาวสงบราบรื่น แต่ใครจะคาดคิดว่าการแต่งงานแบบหลอกๆ กำลังมีผลกระทบกับเธอหลังจากนี้
ทุกครั้งที่มารีน่านึกถึงฮันนา โอดินสัน อดีตคนรักของลูเซียโน่ และคำพูดของเจ้าหล่อนในตอนที่บุกมาที่โบสถ์เพื่อทำลายงานแต่ง เธอก็จะรู้สึกกังวลขึ้นมา ลำพังแค่เธอเดือดร้อนนั้นไม่เท่าไรหรอก แต่ถ้าพ่อและพี่ชายของเธอต้องพบเจอกับเรื่องเดือดร้อนด้วยละก็ เธอควรทำอย่างไรดีหนอ
การมีความคิดระแวงฮันนาก็ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมต่อฝ่ายนั้น แต่ถ้าไม่คิดอะไรเลย มารีน่าก็ไม่ได้แสนดีถึงขั้นนั้น
หญิงสาวคิดพลางถอนใจไปพลาง
ตอนนั้นเอง นภดลเดินถือตะกร้าผักเข้ามาในครัว พอเห็นลูกสาวยืนนิ่งก็อดถามออกไปไม่ได้
“มารีน คิดอะไรอยู่ล่ะลูกเอ้ย”
มารีน่าสะบัดหน้าขับไล่ความคิดที่มีฮันนาเข้ามาในหัวออกไป จากนั้นหันไปตอบพ่อ “แค่คิดเรื่อยเปื่อยน่ะพ่อ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ” ขณะตอบ หญิงสาวหันกลับมาจัดของในห้องครัวต่อ ก่อนจะเดินออกไปดูแลเรื่องโต๊ะ เก้าอี้
...หลังจากพ่อแต่งงานกับแม่ที่เป็นชาวนอร์เวย์ พ่อก็ย้ายมาอยู่ที่นอร์เวย์ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแม่ และยังเป็นย่านการค้าเก่าแก่
บ้านของแม่เป็นร้านอาหาร พอแม่เสีย พ่อก็รับช่วงต่อเปิดร้านอาหารแห่งนี้เพื่อเลี้ยงดูเธอและพี่ชายที่ตอนนั้นอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น นอกจากนี้ พ่อยังมีเหตุผลว่าการอยู่ที่บ้านหลังนี้เหมือนได้อยู่กับแม่ ถึงแม้ช่วงแรกๆ ที่พ่อเข้าครัวลูกค้าประจำบางส่วนจะหายไปก็ตาม แต่สุดท้าย พ่อก็เปลี่ยนแปลงเมนูโดยเน้นทำอาหารไทยจนประคับประคองร้านอาหารถึงทุกวันนี้ได้
ส่วนอารัณย์ หลังจบไฮสคูลก็เลือกมาเป็นลูกจ้างในร้าน เป็นลูกมือของพ่อ ด้วยข้ออ้างที่ว่าตนไม่มีสมองจะเรียนต่อ ต้องการเพียงหาเงินอย่างเดียว ตอนหลังเพราะได้รับความช่วยเหลือจากลูเซียโน่ เขาจึงทำหน้าที่เป็นแมสเซนเจอร์ของบริษัทตระกูลมอร์เกน
เมื่อทั้งพ่อและพี่ชายต่างหาเงินเพื่อส่งเธอเรียน มารีน่าจึงขยันและตั้งใจเรียนมากกว่าปกติเพื่อให้ที่บ้านภูมิใจ ซึ่งตอนนี้เธอเรียนจบปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยนอร์เวย์ ตอนที่ตั้งใจหางานทำ
ลูเซียโน่ก็เข้ามาขอร้องบางอย่างกับเธอ สุดท้าย เธอก็ตอบตกลงเพื่อตอบแทนในสิ่งที่เขาช่วยเหลือ...
หลังจากมารีน่าจัดโต๊ะไปได้ครึ่งหนึ่ง เธอต้องหยุดชะงักเมื่อชายร่างใหญ่ราวกับนักกล้ามเปิดประตูเดินเข้ามาในร้านสามคน ทั้งที่ป้ายหน้าร้านยังแขวนคำว่า close (ปิด)
“ขอโทษนะคะ ร้านยังไม่เปิด...” มารีน่าหันไปบอกด้วยรอยยิ้มมากมารยาทเพราะคิดว่าพวกเขาอาจเป็นลูกค้ารายใหม่ แต่พอพวกเขาเริ่มส่งเสียงเอะอะโวยวาย ทั้งยังยกโต๊ะยกเก้าอี้ในร้านทุ่มลงพื้น เธอก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ยืนมองกับความหยาบคายนั้น
“ไม่ได้จะมากินข้าว ร้านจะเปิดหรือไม่เปิดก็ไม่เกี่ยวโว้ย!” ชายหนึ่งในสามพูดอย่างกักขฬะ
“ถ้าจะมาเพื่อก่อกวน เชิญออกไปจากที่นี่เลยค่ะ” มารีน่าไม่ได้พูดโพล่งออกไป แต่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบร้อย ข้อดีส่วนหนึ่งของเธอก็คือความใจเย็น หัวใจของเธอสงบเพียงพอสำหรับรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ อาจเพราะเธอเป็นอย่างนี้ลูเซียโน่ถึงได้เลือกเธอเข้ามาอยู่ในแผนก็เป็นได้
“ความจริง น้องสาวก็สวยอยู่หรอกนะ” ชายอีกคนพูดขึ้น แต่มือยังยกเก้าอี้ทุ่มพื้นไม่หยุด “ไม่น่ามาแย่งสามีของคนอื่นเลย เอาเป็นว่าพี่ชายจะชดใช้ค่าเสียหายที่ทำ แต่น้องสาวต้องเซ็นใบหย่าให้พี่ชาย แค่นี้ทำได้ไหม” พูดจบ เขาก็หยุดมือจากเก้าอี้และโต๊ะ ล้วงหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำ
มารีน่าขมวดคิ้ว แล้วเหลือบตามองกระดาษที่มีคำว่า “ใบสำคัญการหย่า” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุผลที่พวกเขาทำนั้นคงได้รับคำสั่งจากผู้หญิงที่ชื่อฮันนา
นภดลที่ได้ยินเสียงเอะอะวิ่งออกมาจากหลังร้าน มองหน้าร้านที่ระเกะระกะด้วยของ ก่อนร้องขึ้นด้วยความเป็นห่วง “มารีน ลูกเป็นอะไรมั้ย!”
มารีน่าหันไปบอกพ่อ “ไม่เป็นไรค่ะพ่อ พวกเขาไม่ได้มาเพื่อทำร้ายใคร แค่มาขอลายเซ็นเท่านั้นค่ะ”
“อ้อ นั่นพ่อของเธอเรอะ” ชายอีกคนพูดพลางพิจารณานภดล “ขอโทษนะครับคุณพ่อตา แต่ผมมีธุระกับลูกสาวของคุณ เอ้า เซ็นซะสิ ใบหย่าน่ะ!”
หญิงสาวยืนนิ่ง ไม่ได้ตอบโต้ และไม่ได้หยิบปากกาออกมาเซ็นใบหย่าตามที่ฝ่ายนั้นต้องการ
ชายคนหนึ่งจับปากกายัดใส่มือของมารีน่า แถมยังกางใบหย่าลงบนโต๊ะตรงหน้าที่ไม่ได้ถูกทำลายพร้อมพูด “เซ็นมันซะน้องสาว แล้วพี่ชายจะชดใช้ค่าเสียหายในร้านให้ สักหนึ่งแสนโครนเนอร์ เลยดีไหม”
หัวสมองของมารีน่าคำนวณอย่างว่องไว หนึ่งแสนโครนเนอร์ก็เท่ากับสี่แสนกว่าบาทของไทยสินะ หากเธอได้เงินมากขนาดนั้นเพียงแค่ลายเซ็นเดียวจะโชคดีมากขนาดไหนนะ
หญิงสาวหยิบหนังสือหย่าขึ้นมาพิจารณาดู จากนั้นค่อยๆ ฉีกมันทิ้งต่อหน้าต่อตาชายนักกล้ามทั้งสาม
“ขอโทษนะพี่ชาย ฉันทรยศต่อสามีไม่ได้” นั่นคือคำตอบทั้งหมด เธอไม่มีทางผิดคำสัญญาต่อลูเซียโน่ได้ ต่อให้ตรงหน้าเธอมีเงินมาวางหนึ่งล้านบาทของไทยก็ตาม
ก่อนหน้าที่เธอจะแต่งงานกับลูเซียโน่ เขาเคยเตือนเธอในเรื่องนี้แล้ว เธออาจพบความยุ่งยาก แต่สำหรับมิตรภาพ แม้แต่เงินก็ไม่อาจทำให้เธอไขว่เขวได้
ขอโทษนะ ฮันนา! ฉันเซ็นใบหย่าตอนนี้ไม่ได้
“ไม่เสียใจทีหลังเลยเหรอที่ทำแบบนี้ น้องสาวจะเจออะไรบ้างคงรู้นะ” ชายคนหนึ่งถามอย่างข่มขู่
“พวกพี่ชายกลับไปเถอะ ฉันไม่หย่า”
“แต่ถ้าน้องสาวหย่า น้องสาวบอกมาได้เลยว่าต้องการค่าชดเชยเท่าไร มากกว่าหนึ่งแสนโครนเนอร์สำหรับทำร้านใหม่ก็ยังได้เลย” อีกคนพูดเพื่อยื่นข้อเสนอให้คุ้มที่สุด
หากมารีน่าเป็นคนเห็นแก่เงินสักหน่อยเธอคงรีบหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นใบหย่านั่น แต่เธอเห็นความสัมพันธ์ของมิตรภาพและคำมั่นสัญญามากกว่า
“พวกพี่ชายเอาใบหย่านี้กลับไปเถอะ ยังไงฉันก็ไม่เซ็น” มารีน่ายืนยันคำเดิม
“ดี งั้นพวกพี่จะมาพังร้านของน้องสาวทุกวัน จนกว่าน้องสาวจะยอมเซ็น”
“ใครจะมาพังร้านของพ่อแม่ข้าวะ!” เสียงของอารัณย์ดังขึ้น หลังจากเขาจอดมอเตอร์ไซต์คู่ใจ เขาก็เดินลงมาชี้หน้าพวกชายร่างใหญ่ทั้งสามเรียงตัว “ออกไปจากที่นี่ซะ หากพวกแกไม่อยากโดนคนในย่านการค้ารุมกระทืบ”
หากเทียบกันแล้ว อารัณย์ไม่อาจสู้คนทั้งสามได้ แต่หากเขาเรียกรวมคนในย่านการค้าทั้งหมดมา แน่นอนว่าต่อให้คนทั้งสามรูปร่างสูงใหญ่มากกว่านี้ หรือพละกำลังเยอะกว่านี้ ก็สู้คนทั้งย่านการค้าไม่ได้!
“เอ่อๆ ก็ไม่ได้จะทำร้ายใคร” ชายนักกล้ามหนึ่งในสามพูด “สงสัยต้องกลับกันก่อนแล้วละ”
จากนั้นคนทั้งสามก็เดินออกมาจากร้านอาหารด้วยความไม่เต็มใจ แล้วพวกเขาก็เห็นคนมากมายมายืนออกันที่หน้าประตูพร้อมอาวุธในมือ อาวุธในที่นี้หมายถึงตะหลิวเอ่ย มีดหั่นผักเอ่ย ไม้กวาดเอ่ย แต่ด้วยกำลังคนที่มากกว่าแล้ว ต่อให้มือของพวกเขาคือมะเขือยาว คนทั้งสามก็สู้ด้วยไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ!
เมื่อชายนักกล้ามทั้งสามเดินจากไปแล้ว อารัณย์กล่าวขอบคุณบรรดาลุงป้าพี่น้องทั้งย่านการค้าที่กรูกันมาช่วย“ขอบคุณนะครับคุณป้า คุณลุง ขอบคุณครับ”
โชคดีว่าคุณลุงร้านข้างๆ ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากร้านอาหารไทยจึงรวบรวมคนเพื่อมาดู กระทั่งอรัณย์มาถึง คนที่ออกหน้าขับไล่จึงเป็นเขานั่นเอง
“มีอะไรก็เรียกล่ะ สามีลันด้า” คุณลุงวัยหกสิบบอกกับนภดล
ลันด้าคือชื่อภรรยาของนภดล และคนในย่านการค้าแห่งนี้ก็สะดวกเรียกนภดลด้วยการเรียกเช่นนั้นมากกว่าเรียกชื่อว่า ‘นพ’ หรือ ‘พล’ การที่เรียกชื่อลันด้าทำให้เขาไม่ลืมว่าที่มาอยู่ตรงจุดนี้ได้เพราะอะไร และนภดลเองก็ชินกับการถูกเรียกแบบนั้นแล้ว
“นี่ สามีลันด้า หากพวกมันมาอีกก็รีบไปตามพวกเราได้เลยนะ” คุณป้าอีกคนว่า “ดีนะที่ฉันได้ยินเสียงเอะอะ เลยพาทุกคนมาดู”
“ขอบคุณครับ” นภดลก้มศีรษะให้กับทุกคนพร้อมบอกขอบคุณ
และเมื่อทุกอย่างกลับมาสงบเหมือนเดิม ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับร้าน
อีกฟากของถนน ชายหนุ่มร่างกำยำในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ หน้าตาของเขาคมคายด้วยผิวสีทองเข้ม คิ้วดกหนา ริมฝีปากบางเฉียบ บนครางของเขามีตอหนวดที่เพิ่งโกนไม่กี่วันและมันยาวไปถึงจอนผม
เขากำลังยืนกอดอกมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อชายร่างหุ่นนักกล้ามทั้งสามวิ่งกลับมาหาเขา ดวงตาสีฟ้าคมกริบก็เหลือบมองอย่างไม่แยแสทันที ถึงไม่พูดออกมา แต่แววตาของเขาก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่ากำลังตำหนิคนทั้งสาม
“ขะ ขอโทษนะครับ บอส” ชายหนึ่งในสามพูดตะกุกตะกักเพราะกลัวว่าบอสจะเอาผิดตน
“เธอไม่สนใจเงินที่พวกเราเสนอให้ พวกเราเลยไม่รู้จะทำยังไงครับบอส” ชายอีกคนพูด
“เหมือนว่าเธอจะไม่กลัวพวกเราด้วยครับ” ประโยคนี้มาจากชายคนที่ยืนหลังสุด เขาดูสงบที่สุดในกลุ่ม
ทว่าชายหนุ่มในชุดสูทกลับยืนนิ่งเงียบ และเป็นเวลานานพอสมควร ก่อนที่เขาจะเหยียดริมฝีปากพูดขึ้นว่า “ก็... น่าสนใจดี”
แน่นอน เขาหมายถึงผู้หญิงคนนั้น และเขาไม่เชื่อจริงๆ หรอกว่าเงินจะทำให้เธอเปลี่ยนใจไม่ได้ บางทีเธออาจแค่แกล้งทำตัวเป็นคนดีเพื่อเรียกเงินก้อนใหญ่กว่านี้ก็เป็นได้
ทว่าเรื่องเงินพักไว้ก่อน เพราะคราวหน้าจะเป็นเขาที่ออกโรง