บทที่ 4 หลงงมงาย
เรื่องหญ้าโลหิตละไว้เพียงเท่านั้น เพราะความสนใจของหว่างจี้ตกอยู่ที่ซวีซิ่วทั้งหมด
ทั้งที่นางเย็นชาต่อเขาถึงเพียงนั้น กลับรู้สึกว่านั่นคือเสน่ห์อย่างหนึ่ง ยิ่งรู้ว่าบ้านหลังเล็กนี้มีพวกเขาอยู่กันตามลำพัง สายตาของหว่างจี้ที่มองนางยิ่งร้อนแรงและถอดถอนจากนางไม่ได้ ด้วยเพราะชอบอีกฝ่ายอย่างหมดหัวใจ เพื่อเรียกคะแนนความสนใจหว่างจี้จึงทุ่มเททำทุกอย่าง
ช่วงสายของวันหนึ่ง หว่างจี้เดินเข้าไปหาซวีซิ่วที่กำลังนั่งคัดแยกสมุนไพรอยู่ลานกว้างหลังบ้าน ขอยืมกระบี่หรือดาบหากนางมี ซึ่งเหนือความคาดหมาย นางมีดาบชั้นดีเล่มหนึ่ง ตอนแรกเขาไม่คิดติดใจสงสัยว่าเจ้าของดาบเป็นใคร เมื่อรับดาบเล่มนั้นมาถือก็แสดงฝีมือร่ายรำดาบให้นางดูทันที
แม้ในหัวของหว่างจี้ไม่มีความทรงจำใดๆ แต่ร่างกายกลับขยับไปเองอย่างเป็นธรรมชาติ พอลองสะบัดดาบไปมาให้แน่ใจว่าตนจะไม่บาดเจ็บเสียเอง เขาก็เรียกให้นางหันมาสนใจทางนี้
“เสี่ยวซิ่ว เจ้าช่วยดูกระบวนท่าของข้าหน่อย เผื่อเจ้าจะรู้ว่าข้ามาจากที่ไหน”
“ข้าเป็นคนเก็บสมุนไพร ไม่ใช่จอมยุทธ์หญิง ให้ข้าดูก็เท่านั้น”
คำพูดของนางแน่ชัดแล้วว่าเป็นการปฏิเสธ หากเขาก็ไม่ยอมตัดใจ อยากเรียกร้องความสนใจจากนางให้มากขึ้นอีกหน่อย
“เสี่ยวซิ่วปฏิเสธข้าก็ไม่เป็นไรหรอก แต่การรำดาบของข้าอาจมีเบาะแสก็ได้ ในเมื่อเจ้าปฏิเสธ ข้าจะถือว่าเจ้าอยากให้ข้าอยู่กับเจ้านานๆ”
หว่างจี้ไม่เพียงแค่พูด เขายังหยุดทุกกระบวน เดินถือดาบเพื่อนำไปคืนนาง
คราวนี้หญิงสาวหยุดคัดแยกสมุนไพร รีบหันมามองด้วยความตั้งอกตั้งใจ
“ร่ายรำต่อเถอะ ข้าจะดู”
หว่างจี้เห็นปฏิกิริยาของนางก็ปั้นหน้าไม่ถูก เพราะไม่รู้จะเสียใจหรือขำดี
“เจ้าไม่อยากให้ข้าอยู่ด้วยขนาดนี้เชียว?”
“จะแสดงวรยุทธ์ให้ข้าดูไม่ใช่หรือ รีบๆ แสดงออกมาซิ ข้ายังต้องนำสมุนไพรออกไปตากแดดอีก” ขณะพูดสายที่นางมองเขาเรียบเฉยอย่างยิ่ง
“อย่าใจร้อน ข้ากำลังจะแสดงวรยุทธ์ให้เจ้าดูเดี๋ยวนี้แหละ” หว่างจี้กล่าวยิ้มๆ เมื่อพูดจบเขาก็สูดหายใจเข้าลึก แล้วเริ่มร่ายรำวิชาดาบ
ในหัวของเขาขาวโพลน ไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับกระบวนท่าที่ถ่ายทอดออกมา แต่ร่างกาย พลังปราณ รวมถึงการควบคุมจังหวะหายใจกลับไหลลื่น ราวกับว่าจิตวิญญาณของเขาได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธ หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ กระบวนท่าที่ถ่ายทอดออกมา เขาฝึกมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ซวีซิ่วมองหว่างจี้ด้วยสายตาว่างเปล่า หากก็ตั้งใจพิจารณาท่วงท่าของเขาเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ก็เพราะต้องการช่วยหาเบาะแสเพื่อฟื้นความทรงจำ ช้าไปหนึ่งวัน เขาก็จะอยู่กับนางนานขึ้นอีกวันหนึ่ง แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้นางติดใจอะไรมากนักหรอก เพราะถึงเขาจะอยู่หรือไปมันก็ไม่ได้มีความสำคัญเท่าไร สำคัญที่สุดคือ กระบวนท่าที่เขาแสดงออกมานางไม่คุ้นสักนิด
ความหมายก็คือ เขาไม่ใช่คนแคว้นหนัน
เห็นซวีซิ่วมองอย่างตั้งอกตั้งใจ หว่างจี้จึงนึกลำพอง อยากให้นางประทับใจจนลืมไม่ลง จึงขุดความทรงจำเพื่อหาท่วงท่าที่ดุเดือดกว่าเดิม ซึ่งหว่างจี้อาจลืมไปว่าการฝืนค้นหาความทรงจำจะทำให้เขาปวดหัวมาก
เป็นดังคาด วูบนั้นเหมือนมีภาพกระบวนท่าอันแข็งกร้าวแวบเข้ามาในหัว แต่มันก็ทำให้อาการปวดหัวของเขากำเริบรุนแรงขึ้นด้วย
ดาบในมือของหว่างจี้เคลื่อนไหวผิดทิศ หันเหกลับมาบาดแขนของเขา
“อ๊ะ!”
เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากบาดแผลไม่ใช่น้อย หว่างจี้เจ็บทั้งแผลปวดทั้งหัวจนทรุดลงพื้น มิหนำซ้ำยังหอบหายใจหนักๆ
โดยที่หว่างจี้ไม่ทันเห็น เนื่องจากกำลังทรมานกับอาการปวดหัว ซวีซิ่วกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ดังหิวกระหาย ทั้งปากและลำคอแห้งผาก พอตั้งสติได้นางรีบหยิบผ้าสะอาดขึ้นมามัดเพื่อปิดปากปิดจมูกของตน ก่อนเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม
“ข้าควรเรียกท่านว่าคนโง่มากกว่าคนความจำเสื่อมกระมัง”
ด้วยความเจ็บบวกกับความทรมาน หว่างจี้ค่อยๆ ฝืนเงยศีรษะมองคนพูด บนหน้าผากและเหนือริมฝีปากมีเหงื่อเม็ดโต
“ขะ... ขอโทษ”
ซวีซิ่วส่ายหน้า พูดไปแล้วนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา อาการปวดหัวจะกำเริบเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นนางจึงพยุงเขาไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ใกล้ๆ ตักน้ำและหยิบผ้าสะอาดกลับมาทำความสะอาดบาดแผลให้เขา ทายาห้ามเลือด เมื่อพันผ้าพันแผลซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายแล้วเสร็จ นางถึงยอมเอ่ยถามเพื่อแสดงความมีน้ำใจ
“เดินกลับห้องเองไหวหรือไม่”
เขาส่ายหัว มือข้างที่ไม่ได้รับบาดแผลยื่นออกมาโอบไหล่บอบบาง และมองนางในระยะประชิด
“เจ้าเป็นคนรักสะอาดหรือ”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ก็... เจ้าปิดปากปิดจมูกตอนรักษาบาดแผลให้ข้า”
คำพูดของหว่างจี้ทำเอาซวีซิ่วมีท่าทีสะอึก ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จึงตอบเสียงเบา
“ใช่ ข้ารักความสะอาด”
หลังจากอาการปวดหัวของหว่างจี้ทุเลาลง สิ่งที่เขาติดใจสงสัยไม่ใช่เรื่องที่ซวีซิ่วเป็นคนรักสะอาด แต่ติดใจเรื่องดาบที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้ ทั้งที่นางบอกว่าอยู่คนเดียวแท้ๆ แล้วดาบเล่มนี้มาจากไหน ใครเป็นคนให้นางมา...
หว่างจี้ถือดาบพลิกไปพลิกมาเพื่อพิจารณา คมดาบถูกลับจนขึ้นเงาแวววับ บ่งบอกถึงความใส่ใจของเจ้าของ สำคัญที่สุดคือ ด้ามจับมีการแกะสลักอย่างประณีต เขาไม่มีความทรงจำใดๆ ก็จริง แต่กลับมีความคิดที่ว่า ต่อให้รวบรวมช่างฝีมือดีที่สุดในเมืองหลวงมาตีดาบเล่มหนึ่งก็ใช่ว่าจะออกมาดีเท่านี้
ดาบเล่มนี้เป็นของดี ซึ่งไม่เข้ากับปอกหนังธรรมดาที่ใช้ห่อหุ้ม เหมือนกับว่านางได้ดาบเล่มนี้มาก่อน แล้วค่อยหาปอกหนังมาห่อหุ้มทีหลัง
พอคิดอย่างนั้น สายตาคมอดเหลือบมองหญิงสาวที่กำลังนั่งคัดแยกสมุนไพรไม่ได้
“เสี่ยวซิ่ว...”
นางหันมองเขาเมื่อได้ยินเสียงเรียก
เขาพูด “เจ้าเห็นข้าร่ายรำวิชาดาบแล้ว นึกคุ้นบ้างหรือไม่”
“ไม่คุ้น” นางตอบสั้นๆ แล้วก้มหน้าทำงานของนางต่อ
“เสี่ยวซิ่ว...” เขาเรียกนางอีกครั้ง
“อืม” คราวนี้นางส่งเสียง ไม่แม้แต่จะมองเขาให้เสียเวลา
“ดาบนี้เป็นของเจ้าหรือ”
“ไม่ใช่”
ผิดคาดโดยแท้ หว่างจี้คิดว่านางจะตอบว่าใช่ หรือเงียบเพื่อปิดบัง แต่ในเมื่อนางยอมรับออกมาตรงๆ เขาจึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“แล้วดาบเล่มนี้เป็นของใครหรือ”
“เป็นของคนที่ข้าเคยรู้จัก”
ไม่รู้ว่าหว่างจี้คิดไปเองหรือเปล่า หนนี้นางตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก ไม่ใช่ความเย็นชาตามปกติที่เขาได้รับ แต่เหมือนกับว่านางมีเรื่องฝั่งใจอย่างลึกล้ำกับเจ้าของดาบเล่มนี้ ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปล่อยวางละทิ้งมันลง
“คงเป็นคนที่ทั้งรักทั้งเกลียดด้วยกระมัง”
หว่างจี้พูดเชิงหยอก พร้อมหยั่งน้ำหนักดาบที่อยู่ในมือ ยิ่งถือยิ่งเหมาะมือ ยิ่งถือยิ่งรู้ว่าดาบนี้เป็นของดีมากๆ ขณะเขากำลังจะเอ่ยถามว่า ‘เจ้าของดาบเป็นคนแบบไหน ถึงทำให้เจ้าทั้งรักทั้งแค้นเช่นนี้’ อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“ถ้าอยากได้ก็เอาไปเถอะ”
เขาหัวเราะระรื่น
“เจ้าพูดจริงนะ นี่เป็นดาบที่ดีมากๆ เจ้าไม่เสียดายแน่หรือ”
ถึงนางจะมีความแค้นกับเจ้าของดาบอย่างฝั่งลึก เขาก็ไม่ถือสาหรอก เพราะถือว่านั่นคืออดีตไปแล้ว อีกอย่างหนึ่ง ดาบเล่มนี้ถือกระชับเหมาะมือ แน่นอนว่าไม่รังเกียจที่จะรับช่วงต่อ
“เสี่ยวซิ่ว...”
“อะไร” น้ำเสียงของนางเริ่มติดจะรำคาญขึ้นมาแล้ว
หว่างจี้ไม่สนหรอกว่านางจะรำคาญเขาหรือไม่ เพราะตอนนี้เขาอยู่กับนาง นั่นหมายถึงเขามีโอกาสเกี้ยวนางมากกว่าใคร และเขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสนั้นเพียงเพราะหึงหวงเจ้าของดาบซึ่งเป็นอดีตไปแล้ว
“ไม่คิดว่าเจ้าจะพูดความจริงกับข้า ข้าดีใจมากเลยนะ”
“ทำไมข้าต้องโกหก” นางย้อนถาม
นั่นก็ไม่ผิด นางไม่มีเหตุผลต้องโกหก เพราะเขากับนางไม่ได้เป็นอะไรกัน ดังนั้นนางจึงไม่ต้องมาคอยรักษาน้ำใจกับเขา...
พอคิดอย่างนั้น หว่างจี้เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนไม่ใช่คนสำคัญสำหรับนาง
เขาวางดาบลง แล้วเดินกลับห้องเงียบๆ