บทย่อ
ท่ามกลางสงครามระหว่างแคว้น “กงอวิ๋นเทียน” รองแม่ทัพแคว้นเป่ยซีที่บาดเจ็บสาหัสถูกช่วยเหลือโดยหญิงเก็บสมุนไพร เขาสูญเสียความทรงจำ และตกหลุมรักนาง... เพราะรักมาก จึงหมายเอาเปรียบ เพราะรักเกินไป จึงเผลอทำร้ายอย่างแสนสาหัส เป็นเพราะความรักที่บดบังตาจนกระทำเรื่องเห็นแก่ตัว และไม่ตระหนักสักนิดว่า เหตุใดตัวตนของนางจึงเป็นปริศนา คำตอบแน่ชัดอยู่แล้ว เพราะนางหาใช่มนุษย์ แต่เป็น...ปีศาจ!
บทนำ
สงครามแย่งชิงพื้นที่ชายแดนระหว่างแคว้นเป่ยซีกับแคว้นหนันดำเนินมาช้านาน สร้างความหวาดผวาให้แก่ชาวบ้านที่อาศัยตามชายแดน หมู่บ้านบางแห่งอพยพคนหนีสงคราม ย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากใหม่ ขณะที่บางหมู่บ้านพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เร่งผลิตเสบียงและสมุนไพรไว้สำหรับขายให้กับทางการ
ท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านั้น กลับมีสตรีนางหนึ่งดำเนินชีวิตปกติ ไม่ร้อนรน ไม่หวาดผวา ทั้งที่เจ้าตัวอาศัยเพียงลำพังในบ้านหลังเล็กซึ่งอยู่ในป่าของชายแดนแคว้นหนัน
เช้ามืดของทุกวันนางจะออกบ้านเพื่อเก็บสมุนไพรในป่าลึก กลับเข้าบ้านอีกทีก็คือช่วงสาย บางวันก็เลยหลังเที่ยงมานานโข
บ้านหลังน้อยไม่เคยขาดกลิ่นยา เตาในครัวมีควันแทบตลอดทั้งวัน ตรงข้ามกับความเป็นจริงที่ว่า บ้านหลังน้อยนี้นานครั้งจะมีผู้มาเยือนสักคน
แต่แล้วกลางดึกในคืนหนึ่ง การมาเยือนของใครบางคนได้ทำให้ชีวิตของสตรีนางนั้นเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
กระแสลมพัดหวีดหวิวนำพาเสียงร้องโอดครวญลอยมาแต่ไกล หากเป็นผู้อื่นคงตัวสั่นขวัญผวา แต่ ‘ซวีซิ่ว’ ไม่ใช่คนกลัวผี แม้เชื่อเรื่องหลังความตาย หากก็ไม่ได้หวาดกลัวภูตผีวิญญาณเท่าไร กับมนุษย์นั้น... หึ! ยิ่งแล้วใหญ่
หญิงสาวลองเงี่ยหูฟังดีๆ เสียงร้องโอดครวญนั้นยังดังต่อเนื่อง และดูเหมือนจะทรมานมากขึ้นเรื่อยๆ
นางลุกขึ้นจากเตียง สวมถุงเท้า รองเท้า ก้าวเท้าเดินไปเปิดประตูโดยไร้ท่าทางของคนตาขาว เมื่อเดินมาถึงตำแหน่งที่มีเสียงร้อง กลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นแข่งกับกลิ่นสมุนไพรบนตัวนาง พอหลุบตามองบนพื้นหญ้าก็พบร่างบุรุษนอนจมกองเลือด และร้องอย่างทรมาน
ซวีซิ่วรีบยกมือขึ้นปิดจมูกเหมือนคนรังเกียจ ยืนนิ่งเพื่อทำใจพักหนึ่ง ก่อนจะถอนใจด้วยรู้สึกสังเวชมนุษย์ผู้นี้นัก หากจะสาหัสขนาดนี้ สู้ตายๆ ไปเสียไม่ดีกว่าหรือ เมื่อคิดอย่างนั้น เท้าของนางขยับถอยออกมา เพื่อปล่อยให้เขาตายด้วยบาดแผลสาหัสเหล่านั้น
มิคาดว่า จังหวะที่นางขยับถอยหนึ่งก้าว มือชุ่มเลือดของเจ้าของร่างอันน่าสังเวชกลับยื่นออกมา คว้าจับข้อเท้านางด้วยความทุลักทุเล
“ชะ... ช่วย... ช่วยข้าด้วย”
ยังมีแรงพูด?
เท้าข้างที่ถูกมือเปื้อนเลือดนั้นจับสะบัดถอย จากนั้นซวีซิ่วค่อยนั่งยองๆ ตรวจสภาพร่างกายและลมหายใจของเขาด้วยสายตา แล้วคะเนว่าเขาจะมีชีวิตรอดได้อีกกี่วัน
“ช่วย... ข้า...”
เสียงที่เปล่งออกมาช่างทรมานสมกับสภาพใกล้ตาย หากก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ จึงขอร้องนางแม้ว่าการเปล่งเสียงแต่ละครั้งจะกระเทือนต่ออวัยวะภายใน และให้ชีวิตที่เหมือนกับเทียนไขของเขาหริหรี่ลง
ว่าก็ว่า ถ้ายังมีแรงพูดนั่นหมายความว่าเขามีความอดทนไม่น้อย และไม่ตายง่ายๆ
พอซวีซิ่วสรุปอย่างนั้น ก็ยื่นมือออกไปพยุงตัวเขาลุกขึ้น น้ำหนักมือของนางมิได้อ่อนโยนเหมือนรูปร่างที่บอบบาง นางเป็นคนเก็บสมุนไพรหาใช่หมอ อะไรคือการเบามือกับคนเจ็บนางไม่รู้หรอก รู้แค่ว่าช่วยแล้วจะรอดหรือไม่รอดเท่านั้นเอง
“โอย...”
เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บดังจากปากของเขาตอนที่นางยกร่างเขาขึ้นจากพื้น แต่ชั่วอึดใจต่อมา เขาคงสำนึกได้กระมังว่าการทำอย่างนั้นเป็นการเสียมารยาทต่อผู้มีพระคุณ จึงกัดปากล่างเพื่อข่มกลั้นความเจ็บ กัดจนปากแตกและมีเลือดไหลจึงจะกลืนเสียงร้องโอดครวญลงคอได้
ริมฝีปากแดงปลั่งของซวีซิ่วยกขึ้นเล็กน้อย
น่าสนใจ น่าสนใจ! ซวีซิ่วคิด ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอเหมือนกำลังพยายามอดใจกับอะไรบางอย่าง แล้วยอมเบามือให้เขา พาเขากลับเข้าบ้านหลังเล็กของนาง
กลางดึกคืนนั้น ไฟในห้องเก็บสมุนไพรถูกจุด เตาไฟในครัวก็มีควันโขมง เป็นสัญญาณว่าบ้านหลังน้อยมีแขกมาเยือนแล้ว