บทที่ 1 เขาคือคนความจำเสื่อม
“ท่านชื่ออะไร มาจากที่ไหน”
ซวีซิ่วพยายามถามอย่างสุภาพ นางคิดว่าน้ำเสียงของตนตอนนี้สุภาพและใจเย็นพอแล้ว
หลังจากพาชายผู้นี้กลับมารักษา เขาก็สลบไปสองวันเต็ม เมื่อฟื้นขึ้นมาไม่ว่านางจะถามอะไรก็เอาแต่ส่ายหน้า เหมือนอย่างตอนนี้
“ท่านไม่รู้ชื่อตัวเองจริงหรือ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าอีกครั้ง
“นึกให้ดีๆ ซิ”
น้ำเสียงของซวีซิ่วเปลี่ยนเป็นฉุน ไม่นุ่มนวลอีกแล้ว นั่นเพราะต่อให้ใจดีพาเขากลับมารักษาก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความอดทนพอที่มามัวถามชื่อแซ่ หรือเลี้ยงดูเขา พื้นเพนิสัยส่วนนี้ของนางมีมาแต่กำเนิด จะโทษว่านางใจร้อนไม่ได้หรอก
หนนี้เขาเงียบ สีหน้าแสดงออกถึงความอับจน ซวีซิ่วจึงยุติการถามเพียงเท่านั้น
“เช่นนั้นขอข้าดูแผลหน่อย”
เขาพยักหน้า
หัวคิ้วของซวีซิ่วกระตุก หากไม่ใช่เพราะคืนนั้นได้ยินเขาพูดว่า ‘ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย’ อย่างเวทนาแล้วละก็ คงคิดไปแล้วว่าเขาเป็นใบ้ ในเมื่อพูดได้แต่ไม่พูด หมายความว่าอย่างไรก็แน่นะ
หญิงสาวข่มความรำคาญใจ พร้อมกับค่อยๆ แกะผ้าพันแผลบนร่างกายกำยำของชายหนุ่มออกทีละชั้น เมื่อถึงชั้นสุดท้าย ผ้าแห้งติดกับแผลที่เริ่มสมาน จึงแกะค่อนข้างลำบาก แต่ไหนเลยนางจะเสียเวลาใช้น้ำร้อนเช็ดผ้าพันแผลให้ชุ่มก่อนแกะ ยามแกะผ้าออก เขาจึงสะดุ้งและส่งเสียง ‘ซี๊ด’ ด้วยความเจ็บ ทว่าก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะหลังจากนั้นเขาจะกัดปากข่มกลั้นเสียง
นางช้อนตาขึ้นมองกรามของเขาที่ขบจนสั่นเป็นระยะ รู้สึกว่าชายผู้นี้ช่างมีความอดทนอย่างหาได้ยาก
แม้จะคิดอย่างนั้น นางกลับมิได้เบามือ หากไม่นับรวมบาดแผลบนปากและเบ้าตาที่ช้ำบวม รวมถึงได้แต่งตัวและทำผมดีๆ เชื่อว่าเขาต้องเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่ง อายุน่าจะราวๆ ยี่สิบห้ายี่สิบหก อยู่ในวัยหนุ่มแน่น แต่กลับมีความอดทนมากกว่าชาวบ้านทั่วไป
“แผลของท่านลึกมาก” นางพูดระหว่างตรวจดูบาดแผล “ช่วงนี้ข้าจะช่วยทำความสะอาดแผลและทายาให้ก่อน แผลจะได้สมานตัวเร็วขึ้น ถ้าอาการท่านดีขึ้นเมื่อไร ก็ทายาและพันแผลเองแล้วกัน”
ตามปกติซวีซิ่วจะขายเพียงสมุนไพร ไม่เคยรักษาผู้ใดมาก่อน บุรุษผู้นี้นับเป็นคนแรกที่ตนพากลับบ้านมารักษา จะให้พะเน้าพะนอก็ไม่ใช่นิสัยของนาง
“ได้” เขาผงกศีรษะ ตอบสั้นๆ
ซวีซิ่วหันไปหยิบโถใส่ยาขึ้นมา แล้วยื่นให้เขาพลางพูด
“ถึงท่านจำอะไรไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามือจะขยับไม่ได้ ช่วยข้าคนยานี้ที”
เขารับโถยาไปคน ส่วนนางหันไปหยิบผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่น แล้วเริ่มเช็ดแผลให้เขาทีละจุด
บนร่างกายของชายหนุ่ม หากไม่พันด้วยผ้าพันแผล นอกจากกางเกงตัวกลางสีขาว เขาก็แทบไม่ได้ใส่อะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้น ซวีซิ่วกลับมิได้หวั่นใจกับร่างกายกำยำสมชายชาตรีของเขา ใบหน้าของนางเฉยชาไร้อารมณ์อย่างยิ่ง
มีบางครั้งมือเรียวสวยของนางแตะโดนร่างกายของเขาอย่างไม่เจตนา แต่ฝ่ายที่สะดุ้งเฮือกและแก้มแดงกลับเป็น เขาหาใช่นาง
ซวีซิ่วช้อนตามองใบหน้าของเขาแวบหนึ่ง แล้วหลุบตาเช็ดแผลให้เขาต่อ บอกให้หันหลัง เขาก็หันหลัง บอกให้ยกแขนขึ้น เขาก็มิได้อิดออด ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
“เจ้ามีนามว่าอะไร”
คราวนี้ฝ่ายที่ถามคือชายหนุ่ม ซวีซิ่วมองเขาก่อนตอบ
“ซวีซิ่ว”
“ ‘เสี่ยวซิ่ว’ เรียกง่ายกว่า”
เขาพูดเสียงเบา หากดวงตากลับลึกล้ำ นางจึงมองเขาด้วยสายตาดุๆ เพียงแค่นั้นก็ทำให้เขาเม้มปากอย่างสำนึกผิด
คิดว่านางอาศัยในบ้านหลังเล็กติดป่านี้เพียงลำพังได้อย่างไร หากเอาตัวรอดไม่ได้ ถ้าเขาคิดว่านางอ่อนแอถึงเพียงนั้นก็คิดผิดเสียแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนนอกไม่กล้าเข้าใกล้นางเกินความจำเป็น นอกจากความเด็ดขาด ยังมีสายตาดุๆ นี้ด้วย พูดอีกนัยหนึ่ง หัวใจนางเหมือนถูกแช่ด้วยน้ำแข็งมานานแล้ว ไม่ว่าเขาคนนั้นจะมีรูปโฉมหล่อเหลา นิสัยอบอุ่นหรือมุทะลุแค่ไหน นางก็ไม่เคยหวั่นใจด้วย
ซวีซิ่วรับโถยาจากมือของเขา แล้วป้ายยาลงบนแผลทีละจุด จากนั้นพันด้วยผ้าขาวสะอาดผืนใหม่ ในตอนที่นางเก็บของแล้วลุกขึ้น เขายื่นมือมาคว้าข้อแขนนางไว้
“ปล่อยข้า”
นั่นไม่ใช่คำพูด แต่เป็นคำสั่ง
ชายหนุ่มปล่อยมือจากนาง หากแต่สีหน้ามิได้สลดสักนิด
ขนาดความจำของเขาไม่ค่อยดี ซ้ำยังมีบาดแผลเต็มร่างกาย ยังกล้าล่วงเกินนาง หากว่าเป็นตอนปกติคงจะร้ายกาจมิใช่น้อย
ถึงซวีซิ่วจะคิดอย่างนั้น แต่ก็ยังยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่าย เอ่ยถามว่า “ท่านต้องการอะไร”
“ในเมื่อข้าจำชื่อตัวเองไม่ได้ ซ้ำไม่รู้ว่ามาจากไหน อย่างน้อยเจ้าก็ช่วยตั้งชื่อให้ช้าหน่อยเถอะ”
“จำเป็นด้วยหรือ ชื่อของท่านก็ตั้งเอาเองสิ”
“แต่เจ้าเป็นคนพบข้า”
‘แล้วอย่างไร ท่านไม่ใช่หมาใช่แมวนี่!’ นางเกือบหลุดคำพูดนั้นออกมา โชคดีที่ยั้งเอาไว้ทัน จึงเปลี่ยนมาบอกว่า “ท่านจะชื่ออะไรก็ไม่เกี่ยวกับข้า แค่ตั้งส่งๆ ขึ้นมาสักชื่อก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
ชายหนุ่มจ้องมองนางนิ่ง และจ้องอยู่เช่นนั้นอย่างไม่ยอมแพ้ ดูท่าว่าหากนางไม่ตั้งชื่อให้ เขาก็ยังจะจ้องนางไม่เลิก
ซวีซิ่วไม่เคยต้องถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างตอนนี้มาก่อน นางเงียบไปพักหนึ่ง ที่สุดแล้วก็พูดขึ้น
“หว่างจี้ ที่มีความหมายว่าขี้ลืมแล้วกัน”
“หว่างจี้?” เขาทวนคำ
“ถ้าไม่ชอบก็ตั้งชื่อเองสิ” นางบอก น้ำเสียงติดจะรำคาญเล็กน้อย
เขาส่ายหน้ายิ้มๆ แต่เพราะใบหน้าของเขาสะบักสะบอมมาก ยิ้มนั้นจึงกลายเป็นยิ้มที่น่าสงสารที่สุดเท่าที่นางเคยเห็น
เอ๋...? เมื่อครู่นางคิดว่าเขาน่าสงสารหรือ
ซวีซิ่วเก็บสมุนไพรขายก็จริง ทว่าตามปกติกลับไม่เคยมีจิตนึกสงสารใคร หัวใจของนางเหมือนถูกน้ำแข็งแช่จนเย็นเฉียบ แต่ทำไมกับชายผู้นี้ นางถึงนึกสงสารขึ้นมาได้นะ...