บทที่ 2 เข้าทาง
หว่างจี้จนปัญญาจริงๆ!
ตั้งแต่ฟื้นจากความตายขึ้นมา เขาเคยพยายามเค้นสมองคิดเพื่อให้ได้รู้ชื่อและที่มาของตน แต่เหมือนภายในหัวของเขามีหมอกควันหนาทึบกลบความทรงจำเอาไว้ คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก สำคัญกว่านั้น ซวีซิ่วเย็นชาเกินกว่าสตรีวัยนี้ควรเป็น
มองดูแล้ว นางน่าจะอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ เท่านั้น ร่างอรชร ผิวขาวเนียนละเอียด ผมดำขลับ ดวงตากลมโต และมีริมฝีปากแดงปลั่งโดยมิต้องทาชาด ช่างรับกับใบหน้าเรียวสวย ทว่าทั้งหมดนั้นกลับไม่มีความหมายเพราะนางเย็นชาเกินไป
อย่างไรก็ตาม หว่างจี้คิดว่าให้ได้มองนางทุกวันแบบนี้ ต่อให้จำอะไรไม่ได้ตลอดชีวิตก็ยินยอม
“ดื่มยานี้ซะ”
น้ำเสียงของซวีซิ่วไม่ได้อ่อนหวาน และยิ่งไม่ได้แสดงความเอาใจใส่เหมือนหมอหญิงทั่วไป นั่นแสดงว่านางมิใช่หมอ
“เจ้าไม่ใช่หมอหรือ”
หว่างจี้ถามอย่างสงสัย มันก็แค่ความสงสัยของเขาเอง ไม่เกี่ยวกับว่านางจะเป็นหมอหรือไม่ ถึงอย่างไรชีวิตที่รอดมานี้ก็ได้นางช่วยไว้อยู่ดี
นางช้อนตามองเขาด้วยความเย็นชา หากเขาไม่ใช่คนใจแข็ง คงตัวสั่นเพราะหวาดกลัวสายตาของนางไปแล้ว
หือ... เป็นคนใจแข็งหรือ? ทำไมถึงคิดว่าตนเองเป็นคนใจแข็งล่ะ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพื้นเพนิสัยของเขาจะเป็นเช่นนั้น
หว่างจี้คิดมาถึงตรงนี้ก็ปวดหัวจี๊ดๆ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่นางเอ่ยขึ้นพอดี
“ข้าเป็นคนเก็บสมุนไพร ไม่ใช่หมอ แต่ท่านไม่ตายเพราะยาของข้าหรอก”
เขาข่มกลั้นความเจ็บ เปลี่ยนมายิ้มบนมุมปาก เอาจริงๆ นะ เขาไม่ถือสาหรอกว่าดื่มยาของนางแล้วจะตายหรือไม่ ต่อให้ในถ้วยนี้เป็นยาพิษและเขาตายจริงๆ พอคิดว่าก่อนตายได้มองหน้าของสตรีที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็น วิญญาณของเขาก็ไปสู่สุขติแล้ว
ชายหนุ่มยกถ้วยยาขึ้น ดื่มยาอึกๆ จนหมด เช็ดปากแล้วถึงพูด
“ไม่ขม”
คำพูดของเขาทำเอานางเลิกคิ้วอย่างสุดเชื่อ
“นั่น... ก็ดีแล้ว”
พูดจบซวีซิ่วก็เดินออกจากห้องไป
หว่างจี้ค่อยๆ เอนหลังลงนอน พอเริ่มขยับตัวก็รู้สึกเจ็บแผลขึ้นมา ร่างกายของเขานับว่าสาหัสมาก แผลเล็กแผลใหญ่เต็มไปหมด ดูท่าว่าคนที่ทำให้เขามีสภาพเช่นนี้คงหวังเล่นงานเขาถึงตาย
ทว่าต่อให้เจ็บแผลมากแค่ไหน เขากลับไม่ร้องโอดครวญออกมาตั้งแต่เจอซวีซิ่ว เพราะสังเกตจากสายตาและสีหน้าของนาง คะเนว่าคงเป็นคนหงุดหงิดง่าย
ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลง หากไม่ใช่เพราะฤทธิ์ยา ต่อให้กล่อมตัวเองอย่างไรก็ไม่มีทางหลับง่ายๆ แน่
เพียงไม่นาน เขาก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
ตื่นขึ้นมาอีกครั้งดวงอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าแล้ว จมูกได้กลิ่นหอมของอาหาร พอหันไปมองโต๊ะข้างเตียงก็เห็นว่ามีข้าวต้มร้อนๆ หนึ่งถ้วย วางคู่ผัดผักใส่เนื้อหนึ่งจาน เพียงแค่เห็นกระเพาะของเขาก็ส่งเสียงดังโครกครากอย่างเสียมารยาท
หว่างจี้รู้ นั่นเป็นอาหารเย็นที่ซวีซิ่วเตรียมไว้ให้ ก็ในห้องนี้ไม่มีใครอื่น ดังนั้นข้าวต้มและผัดผักใส่เนื้อนั่นต้องเป็นของเขามิใช่หรือ
ชายหนุ่มขยับตัวเพื่อลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องสูดปากด้วยความเจ็บ
“ซี๊ด...”
ให้ตายเถอะ ซวีซิ่วคิดว่ากำลังให้อาหารหมาหรือไง ถึงได้วางอาหารไว้ให้เขาแล้วก็ไม่ดูดำดูดี แบบนี้เขาจะกินข้าวอย่างไรล่ะ!
หว่างจี้คิดอย่างฉุนๆ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ต่อให้นางไม่ให้อาหารเลย เขาก็คงยอมให้อภัยนางอยู่ดี พูดตามจริง เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธนางด้วยซ้ำ นั่นเพราะนางทั้งสวยและยังเป็นผู้มีพระคุณดึงเขาจากความตาย
เขาพยายามขยับตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ต้องกัดฟันจนเหงื่อตกไปหลายเม็ดจึงจะลุกขึ้นมานั่งได้ กัดอีกรอบเพื่อเอื้อมมือออกไปหยิบถ้วยข้าวมาถือ และตักกิน
กินข้าวต้มกับผัดผักจนหมดแล้ว ซวีซิ่วถึงเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถ้วยยา พอเห็นถ้วยจานว่างเปล่านางก็เลิกคิ้ว มองเขาเหมือนมองหมาน้อย
หว่างจี้ผู้ตกเป็นรองมีหรือจะกล้ากล่าวตัดพ้อทันทีที่เห็นนาง เขายิ้มให้นางอย่างไม่คิดอะไรมากแล้วเอ่ยถามด้วยความซื่อ
“ถึงเวลากินยาแล้วหรือ”
“ใช่”
นางตอบคำเดียวก็ยื่นถ้วยยามาตรงหน้าเขา
ในใจของชายหนุ่มอยากโพลงออกไปว่า ‘ข้าใช้แรงไปกับการกินข้าวจนหมดแล้ว เจ้าช่วยป้อนยาข้าหน่อยไม่ได้หรือ’ แต่ความเป็นจริงคือเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ จำต้องยื่นมือออกไปรับถ้วยยาจากนางมาดื่มด้วยตัวเอง
“แล้วที่นี่ไม่มีคนอื่นเลยหรือ”
ด้วยความใคร่รู้ ขณะกำลังยกถ้วยยาขึ้นดื่มหว่างจี้จึงเอ่ยถามนาง
“คนอื่น?” นางทวนคำ
หว่างจี้ไม่รีบร้อน เขาค่อยๆ ดื่มยาจนหมด ตอนยื่นถ้วยยาคืนให้นางถึงค่อยเอ่ยถามอีกครั้ง
“คนในบ้านของเจ้าน่ะ ไม่อยู่กันหรือ เพราะนอกจากเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่เคยได้ยินเสียงพูดคุยหรือเห็นใครเลย”
“ข้าอยู่ที่นี่คนเดียว” ซวีซิ่วตอบพลางเก็บถ้วยยาและถ้วยข้าวไว้บนถาดไม้ สีหน้าเรียบเฉย หากทางด้านหว่างจี้กลับหัวใจสั่นระริกด้วยความดีใจ
อยู่คนเดียว? นั่นหมายความว่าในบ้านหลังนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากเขากับนาง ยิ่งคิดแบบนั้นสายตาที่มองนางยิ่งเร่าร้อนจนแผดเผา
ตั้งแต่ถูกช่วยเหลือก็มีใจปฏิพัทธ์ต่อนางแล้ว เป็นความชมชอบที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นเดียวกันหรือไม่ เพราะนี่คือนิสัยเสียๆ อย่างหนึ่งของเขา...
เมื่อสรุปอย่างนั้น หว่างจี้สงสัยว่าการที่ตนต้องเจ็บปางตายเยี่ยงนี้ หรือเป็นเพราะนิสัยดึงดันของตนจึงทำตัวเจ้าชู้ใส่ภรรยาชาวบ้าน
ทว่าเรื่องนั้นถือเป็นอดีตไปแล้ว เมื่อหัวใจของเขาตอนนี้มีเพียงซวีซิ่ว
“หือ?”
ราวกับรู้สึกถึงสายตาน่าสงสัยของหว่างจี้ ซวีซิ่วจึงหันหลังกลับมามองและส่งเสียงถาม
“ยังมีอะไรสงสัยอีกหรือ”
หว่างจี้สั่นหน้า ตอบความความบริสุทธิ์ใจ ไร้เจตนาซุกซ่อน
“เปล่า ไม่มีอะไร”
ก็แค่โกหกหรอกนะ... เขาต่อประโยคนั้นในใจ