บทที่ 3 ขยับเข้าใกล้อีกนิด
ผ่านมาอีกเจ็ดราตรีนับตั้งแต่หว่างจี้ฟื้น บาดแผลบนร่างกายยังไม่หายดี จึงทำได้เพียงนั่งๆ นอนๆ รักษาตัวอยู่ในบ้านของซวีซิ่ว
ถึงแม้ไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับตัวเอง แต่ร่างกายของหว่างจี้กลับกำลังร้องบอก เพราะยิ่งเขานอนพักฟื้นลมปราณในร่างกายยิ่งแข็งแกร่งเร็วขึ้น มิหนำซ้ำยังรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าตนมีพละกำลังมากกว่าชาวบ้านทั่วไป ในเมื่อร่างกายของเขามิได้มีอะไรซับซ้อน จึงสรุปว่าตนอาจเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็เป็นได้
ข้อสันนิธานนั้น ซวีซิ่วเองก็รู้สึกว่าใช่ นางมิใช่หมอ แต่ก็พอตรวจชีพจรเป็น ในทุกๆ วันนอกจากจะช่วยเขาทำความสะอาดแผลและใส่ยา นางยังตรวจชีพจรให้เขาด้วย
“พลังปราณของท่านแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เดาว่าท่านคงโลดโผนในยุทธภพมาไม่น้อย” นางบอกขณะนิ้วเรียวยังแตะบนจุดชีพจรบนข้อมือเขา
หว่างจี้ย่นหัวคิ้ว พลางคาดคะเนที่มาของตน หากว่าเขาโลดโผนในยุทธภพอย่างโชกโชน สาเหตุที่ถูกทำร้ายปางตายเพราะลักลอบมีชู้กับภรรยาชาวบ้านย่อมไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้น เขาก่อเรื่องใหญ่อันใดจึงทำให้ถูกตามล้างตามฆ่า...
เพิ่งคิดถึงตรงนี้ กลางกระหม่อมของหว่างจี้เริ่มปวดตุบๆ ขึ้นมา
อ๊า ไม่ไหว ปวดหัวมากเกินจนคิดอะไรไม่ออก!
“ปวดหัวหรือ”
ซวีซิ่วเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยว แต่น้ำเสียงของนางก็ไม่ได้แสดงออกถึงความห่วงใย ตรงกันข้าม นางยังคงมองเขาด้วยสายตาเย็นชาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
“ใช่ พอข้าพยายามคิดเรื่องของตัวเอง ก็จะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที จึงคิดต่อจนจบไม่ได้” หว่างจี้บอก มือยังคงกุมขมับเช่นนั้น “คงเป็นอาการของคนสูญเสียความจำกระมัง”
“อย่าเพิ่งรีบร้อน”
ซวีซิ่วพูดในฐานะที่ช่วยเขาไว้ แต่คนฟังกลับคิดเป็นอื่น โดยเฉพาะหว่างจี้ที่มีใจให้นางตั้งแต่แรกเห็น พอได้ยินคำพูดนั้นดวงตาของเขาเปล่งประกายลึกล้ำทันที
“แสดงว่าเจ้ายินดีให้ข้าอยู่ที่นี่ตลอดไปใช่หรือไม่”
คำพูดของหว่างจี้แน่นอนมีความหมายแฝง และดูเหมือนซวีซิ่วจะเดาออก จึงมีสายตาเย็นยะเยือก ทว่าผู้พูดกลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“ในเมื่อข้ามีพลังปราณ ท่าทางเหมือนผู้ฝึกวรยุทธ์และโลดโผนในยุทธภพมาไม่น้อย สิ่งที่เป็นไปได้คือข้าต้องมีสำนัก แต่ว่าบนโลกนี้มีสำนักมากมายข้าจึงนึกไม่ออกว่าตนอยู่สำนักใด เจ้าคิดว่าขอเพียงแค่รู้เบาะแสเรื่องสำนัก ก็คงรู้ว่าข้าเป็นใครใช่หรือไม่ พูดก็พูด เรื่องนี้ใช่ว่าง่ายดาย”
ถึงซวีซิ่วไม่ตอบเป็นคำพูด หากสายตาของนางกลับบอกว่าเห็นด้วย
พอเห็นว่าบทสนทนานี้มีจุดร่วมเดียวกัน หว่างจี้จึงถือโอกาสเรียกนางว่า “เสี่ยวซิ่ว” ทว่า ซวีซิ่วหรี่ตามองเขาอย่างไม่พอใจทันใด กระนั้น กลับมิได้ห้ามปราม
หว่างจี้ยิ้มและพูดต่อ
“เสี่ยวซิ่ว หากเจ้าไม่ถือสา ให้ข้าอยู่กับเจ้าตลอดชีวิตเลยนะ อะ... โอ๊ย!”
นิ้วขาวเรียวที่ยังแตะบนจุดชีพจรของหว่างจี้ลงน้ำหนักมากกว่าเดิม ท้ายประโยคจึงร้องด้วยความเจ็บ
“ขะ ข้าไม่พูดแล้ว อย่ากดชีพจรข้าอีกเลย” เขากัดฟันขอร้อง
สีหน้าของซวีซิ่วเปลี่ยนแปลงวูบหนึ่ง แม้การเปลี่ยนแปลงนั้นจะแค่เพียงเล็กน้อยและรวดเร็ว แต่หว่างจี้กลับยังสังเกตเห็น พลันรู้สึกประหลาดใจที่ตนมีประสาทสัมผัสคมกริบ ทว่านั่นก็เพียงพอสำหรับยืนยันว่าตนเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์
“อย่าล้อเล่นกับข้า”
ซวีซิ่วกล่าวเตือนด้วยเสียงเย็น หว่างจี้สมควรเชื่อฟังนาง ทว่ากลับพูดหน้าตาเฉยว่า...
“ทำไมข้าพูดล้อเล่นกับเจ้าไม่ได้ หรือเพราะเสี่ยวซิ่วกลัวว่าจะเผลอหวั่นใจข้า”
นางสะบัดมือออกจากข้อมือเขา วางท่าทีห่างเหิน
“ข้าจะเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ท่านอย่าได้พูดล้อเล่นกับข้า หากร่างกายท่านหายดีแล้ว ก็ออกไปตามหาตัวตนของท่านเอง อย่าได้รั้งอยู่ที่นี่นานนัก”
“แต่ข้ากลับคิดตรงข้ามกับเจ้านะ” เขาบอกพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ใกล้เสียจนแทบสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
ไม่รู้ว่าซวีซิ่วใจแข็งหรือสติช้ากันแน่ นางมิได้ขยับถอย แต่มองกลับตาแข็ง เขาจึงพูดต่อ
“ก่อนหน้านี้เจ้าอาจไม่กลัวการอยู่คนเดียว แต่รู้หรือไม่ สตรีที่อยู่คนเดียวจะพบความเสี่ยงแบบใดบ้าง”
หัวคิ้วของนางกระตุก และยังอยู่ในท่าเดิม บอกชัดว่าตนไม่ได้หวาดกลัวเขาสักนิด
แผนแกล้งข่มขู่ให้กลัวใช้ไม่ได้ผล หว่างจี้จึงเป็นฝ่ายถอยห่าง แล้วหัวเราะแหะๆ อย่างคนสำนึกได้
“ข้าล้อเล่นหรอก อย่าโกรธข้าเลย จากนี้ข้าต้องรบกวนเจ้าอีกมาก อย่าถือสาข้าเลยนะ”
นางไม่ตอบโต้ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องเงียบๆ
หว่างจี้ยิ้มมองส่งแผ่นหลังบอบบาง จากนั้นลองนั่งขัดสมาธิเพื่อเดินลมปราณ พบว่าภายในไม่มีจุดไหนขัดข้อง คาดว่าแค่พักรักษาอีกไม่กี่วันร่างกายก็กลับมาแข็งแรงดี
ผ่านมาอีกหลายวัน บาดแผลจากคมอาวุธตามร่างกายและพลังลมปราณล้วนค่อยๆ ฟื้นฟูในด้านที่ดีขึ้น ต้องยอมรับว่าสมุนไพรของซวีซิ่วใช้ได้ผล บวกกับร่างกายอันแข็งแรงของตน
หว่างจี้เบื่อกับการนั่งๆ นอนๆ เหมือนว่านี่ไม่ใช่นิสัยเดิมของเขา ดังนั้นพอบาดแผลเริ่มสมานตัวจนใกล้หาย ประกอบกับลมปราณกลับมาฟื้นฟูดีแล้ว เขาก็ออกจากห้อง เดินหาซวีซิ่วเพื่อดูว่าตนสามารถช่วยงานอะไรนางได้บ้าง
บ้านของซวีซิ่วเป็นบ้านหลังเล็กหลังเดียวในป่า รอบด้านมีแต่ต้นไม้ บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะสำหรับคนป่วยที่ต้องการพักฟื้น หากให้คิดอีกด้านหนึ่ง นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่อาศัยในละแวกนี้ ความสันโดษท่ามกลางป่าเขียวชอุ่มจึงค่อนข้างอันตราย
แต่... หว่างจี้กลับไม่เห็นแววหวาดกลัวใดๆ จากซวีซิ่วเลย เพราะอะไรกัน?
ชายหนุ่มเดินสำรวจไปคิดไป กระทั่งเดินมาถึงลานกว้างที่อยู่หลังบ้าน เห็นนางก้มๆ เงยๆ คัดแยกสมุนไพร เขาจึงเดินเข้าไปหา
“ต้องการคนช่วยหรือไม่” ถามพลางมองสมุนไพรที่ตากแห้ง และที่เพิ่งเก็บมาสดๆ ในตะกร้า
เท่าที่เห็นต้องยอมรับว่านางมีสมุนไพรไม่น้อยเลย และยังมีหลายชนิด บางชนิดเป็นพืชหายาก และบางชนิดต้องปีนขึ้นไปเก็บบนหน้าผา เขาอดสงสัยไม่ได้ว่านางสามารถเก็บสมุนไพรเหล่านี้มาได้อย่างไร ผู้หญิงตัวเล็กคนเดียว มีความสามารถขนาดนั้นเชียว?
“ไม่ต้อง” นางปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“ทำไมเล่า มีคนช่วยงานย่อมเสร็จเร็วกว่าไม่ใช่หรือ”
“ข้าไม่ใจร้ายถึงขั้นใช้งานคนบาดเจ็บ”
ได้ยินคำตอบนั้น หว่างจี้คลี่ยิ้มทันที เท้าขยับก้าวเดินดูสมุนไพร ปากก็พูดไปเรื่อย
“ข้าเชื่อเจ้าเลย เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวแท้ๆ แต่เก็บสมุนไพรได้มากมายเท่านี้ เจ้าทำได้อย่างไรหรือ ข้าทึ่งจริงๆ เลยนะเชื่อหรือไม่”
“เพราะอยู่คนเดียวจึงมีเวลาเหลือเฟือ อีกอย่างแค่เก็บสะสมทุกวันจำนวนย่อมเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่เห็นแปลกตรงไหน”
หว่างจี้ยิ้มกว้างกว่าเดิม เพราะไม่คิดว่าซวีซิ่วจะยอมตอบคำถามของเขาด้วย หรืออาจเพราะนางเริ่มชินที่มีเขาในบ้านแล้ว
“จริงสิ เจ้าเก็บสมุนไพรพวกนี้เพื่อขายหรือ”
จากที่ก้มหน้าจัดสมุนไพร คำถามของเขาคราวนี้ทำเอานางยืดหลังตรงก่อนตอบ
“ทุกเดือนจะมีคนมารับสมุนไพรพวกนี้และให้เงินข้าจำนวนหนึ่ง... ถ้านั่นคือการซื้อขายล่ะก็คงใช่กระมัง”
“คำพูดของเจ้าช่างแปลกจริง”
“...”
ซวีซิ่วหันมองหว่างจี้เงียบๆ ก่อนจะหันกลับมาทำงานของนางต่อ
เมื่อไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ เขาจึงเดินไปหยิบตะกร้าที่มีสมุนไพรสด คาดว่านางคงเพิ่งเก็บเมื่อเช้า แล้วถือตะกร้านั้นเข้าไปหานาง ตอนที่นั่งยองๆ ข้างกายนางด้วยความกระตือรือร้นว่าจะช่วย ยังมีเจตนาขยับเข้าใกล้จนไหล่ของตนเบียดชิดกับไหล่ของนาง
“ให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ เสี่ยวซิ่ว”
นางหันมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่เพียงแค่ไม่ชอบใจเวลาถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวซิ่ว’ แต่ดูท่านางจะไม่พอใจที่เขาแสดงท่าทางชิดใกล้
ก็ไม่รู้เพราะอะไร ยิ่งนางแสดงความไม่พอใจ หว่างจี้กลับยิ่งรู้สึกอยากแกล้งให้หนักขึ้น ขยับเข้าใกล้ยิ่งกว่าเดิม และยังยักคิ้วหลิ่วตาใส่
“น่านะ ให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ”
ในตอนที่ซวีซิ่วเริ่มหน้าบึ้ง ขยับริมฝีปากแดงปลั่ง หว่างจี้แกล้งเปลี่ยนเรื่อง
“อ๊ะ! นี่คือสมุนไพรอะไร กลิ่นฉุนและคาวมาก” พูดพร้อมหยิบต้นหญ้าที่มีใบกลมสีอมม่วงอมแดงขึ้นมา ไม่ใช่แค่มีเจตนาเปลี่ยนเรื่อง แต่เขายังนึกสงสัยจริงๆ
“หญ้าโลหิต” นางตอบ
“หา!?” หว่างจี้ร้อง มองหญ้าโลหิต จากนั้นก็มองนาง “หญ้าโลหิต? ไม่ใช่ว่าเป็นพืชหายากหรอกหรือ ทำไมเจ้าถึงเก็บมันมาได้มากมายขนาดนี้ล่ะ”
“ในแคว้นหนันมีมากจนเก็บไม่ไหวเชียวละ”
ตอนแรกซวีซิ่วพูดอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่เมื่อพูดออกมาแล้ว หว่างจี้กลับมีสีหน้าสงสัยระคนไม่เชื่อ นางจึงชะงักวูบ แล้วขมวดคิ้วพิจารณาเขา เมื่อรู้สึกเอะใจจึงเอ่ยถาม
“ท่านไม่รู้หรือ?”
หว่างจี้ส่ายหน้า สังหรณ์ใจบางอย่าง
นั่นสิ ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าแคว้นหนันมีหญ้าโลหิตขึ้นมากมาย เป็นไปได้หรือไม่ว่าตนไม่ใช่คนแคว้นหนัน
เมื่อตระหนักถึงข้อเท็จจริงนั้น เขาก็นิ่วหน้าทันที
พลันนั้น ใบหน้าของหว่างจี้ซีดเผือด ศีรษะปวดจี๊ดๆ จนต้องยกสองมือขึ้นกุม
“อา...”
ซวีซิ่วเห็นอย่างนั้นรีบดึงหญ้าโลหิตในมือของเขากลับมา วางลงบนกองของมัน แล้วพูดกับเขา
“อาการปวดหัวกำเริบขึ้นอีกแล้วสินะ ท่านเลิกคิดเรื่องของตัวเองเถอะ กลับเข้าบ้านไปพักผ่อนเสีย ตรงนี้ข้าจะทำเอง”
“ไม่...” เขาส่ายหน้าอย่างดื้อดึง
ซวีซิ่วเป็นคนประเภทเฉยชาต่อทุกสิ่ง ในเมื่อหว่างจี้ต้องการอยู่ตรงนี้ถึงแม้ต้องทรมานเพราะปวดหัวก็ตาม ดังนั้นนางจึงปล่อยเลยตามเลย
“ตามใจท่านแล้วกัน”