บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 หน่วงในอก

เก็บความน้อยใจไว้ในอก แล้วหาความสุขเล็กๆ ด้วยการมองซวีซิ่ว นั่นคือสิ่งที่หว่างจี้คิดและสามารถทำได้

วันถัดมาเขาจึงเดินออกมานั่งที่ลานกว้างหลังบ้านเช่นเคย มองดูซวีซิ่วที่ยังสวมชุดสีเทาเรียบๆ แต่เมื่อยืนอยู่ใต้ต้นเฟิงซึ่งทั้งต้นมีใบสีส้มอมแดง กลับมองว่านางสวยเด่นที่สุด

นางยืนเกลี่ยสมุนไพรที่ถูกเทลงบนผ้าผืนยาวสีขาว ใต้ผ้าคือไม้ไผ่สานเหมือนจานรองขนาดใหญ่ ตั้งแต่เขาฟื้นขึ้นมา ไม่มีสักครั้งเลยที่จะเห็นนางทำตัวขี้เกียจ นั่นยิ่งทำให้เขาเกิดความประทับใจในตัวนางยิ่งขึ้น คิดพลางมุมปากเผยรอยยิ้ม สายตาที่มองแฝงความชื่นชม

อาจเพราะตนเป็นเด็กกำพร้า จึงชมชอบสตรีที่มีความขยันและเด็ดเดี่ยว หากได้สร้างครอบครัวกับสตรีตามคุณสมบัติเช่นนั้น เส้นทางชีวิตคู่ย่อมมั่นคง...

เอ๊ะ! หว่างจี้หยุดความคิดโดยพลัน ทำไมถึงคิดว่าตนเป็นเด็กกำพร้า หรือว่าความทรงจำของเขาค่อยๆ กลับมาแล้ว โดยที่ไม่ต้องพยายามรื้อฟื้นอะไร

จะว่าไป ทุกวันมานี้สมองของเขามักมีความคิดทำนองนี้วาบผ่าน นอกจากวิชาดาบ ยังคิดว่าตนใช้วิชาหมัดมวยได้ ต่อสู้เก่ง บางครั้งก็คิดว่าตนติดตามชายผู้หนึ่ง เป็นความจงรักภักดี ความเลื่อมใส นั่นหมายถึงทุกอย่างที่เขากำลังนึกออกคือความทรงจำ... คือตัวตนของเขาหรือ

ขณะนึกสงสัยในสิ่งที่ตนคิด หว่างจี้ได้ยินเสียงเรียกจากหน้าประตูบ้าน เป็นการดึงสติของเขาไม่ให้จมอยู่กับความสงสัยเหล่านั้นจนเกิดอาการปวดหัวอีก เขามองซวีซิ่วที่หยุดมือจากงานแล้วเดินออกไปต้อนรับผู้มาเยือน

หว่างจี้เดินตามหญิงสาวมาที่หน้าบ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่มิได้เสนอหน้าออกไป เพียงยืนแอบมองเท่านั้น

ผู้มาเยือนก็คือชายหนุ่ม สวมชุดทหาร ใบหน้าไม่ถึงกับหล่อเหลา แต่ก็ดูดีและสะอาดสะอ้าน

“แม่นางซวี”

ทหารหนุ่มเรียกนางพลางค้อมศีรษะให้เล็กน้อย

หว่างจี้เพ่งตามองซวีซิ่ว อยากรู้ว่านางมีปฏิกิริยาอย่างไร จะเย็นชาเหมือนที่ทำกับเขาไหม ซึ่งเขาหวังให้นางแสดงออกอย่างนั้น

แต่เปล่าเลย... นางยิ้มบนมุมปากเล็กน้อยให้กับทหารหนุ่ม ก่อนผายมือเชื้อเชิญให้เข้ามาในบ้าน

“สมุนไพรของเดือนนี้ข้าเตรียมเรียบร้อยแล้ว ท่านฟ่านเข้ามานั่งรอข้างในก่อนได้ เดี๋ยวข้าไปหยิบมาให้”

ทหารหนุ่มแซ่ฟ่านผงกศีรษะยิ้มให้ซวีซิ่ว ตอนที่นางหมุนเท้ากำลังจะเดินเข้าไปหยิบสมุนไพร ฝ่ายนั้นคว้าแขนของนางเพื่อรั้งไว้

ซวีซิ่วหันกลับไปมอง

“ต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือ”

ทหารแซ่ฟ่านปล่อยมือจากนาง พูดพร้อมหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ

“หมอหลวงเติ้งต้องการยาชนิดอื่นเพิ่ม ส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับสั่งประจำทุกเดือน แม่นางซวีพอจะช่วยจัดเพิ่มให้ได้หรือไม่”

นางรับกระดาษแผ่นนั้นมาเปิดอ่าน สักครู่หนึ่งก็บอกกับเขาว่า “เข้าใจแล้ว หากต้องการตามนี้ ข้ามีสมุนไพรครบทุกชนิด เดี๋ยวจัดเพิ่มให้”

“อืม ขอบคุณแม่นางซวีมาก” ทหารแซ่ฟ่านผงกศีรษะ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งรอซวีซิ่วในห้องโถงด้วยตัวเอง ท่าทีของเขาไม่เหมือนคนเพิ่งเคยมาครั้งแรก

นอกจากนั้น ทหารแซ่ฟ่านยังกล้าจับมือถือแขนของซวีซิ่ว นั่นก็บอกชัดแล้วว่าอีกฝ่ายมาเหยียบที่นี่บ่อยจนไม่รู้จะบ่อยอย่างไร

หว่างจี้สูดหายใจลึก จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บยอกในอกเมื่อเห็นว่านางยิ้มให้กับชายคนนั้น ซ้ำยังให้เขาคว้าแขนโดยที่ไม่แสดงความรังเกียจ หรือสะบัดหนีอย่างที่ทำกับเขามาตลอด

คิดอย่างน้อยใจแล้วก็ผละออกมาจากตำแหน่งที่ยืนแอบมองพวกเขา เดินกลับไปที่หลังบ้าน ย้ำเท้ากลับไปกลับมาด้วยคิดจะรอนางตรงนี้

เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว แต่สำหรับหว่างจี้ที่กินลูกไฟหึงเต็มอกรู้สึกว่าการรอคอยอยู่เงียบๆ ช่างยาวนานถึงครึ่งค่อนชีวิต

ดังนั้นพอเห็นซวีซิ่วเดินกลับมาที่ลานกว้างหลังบ้าน เขาก็พุ่งเข้าไปฉุดแขนของนาง แล้วจ้องมองด้วยความไม่พอใจ

“อะไรของท่าน”

ซวีซิ่วดึงแขนกลับแล้วเอียงศีรษะถาม

ทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ แต่ก็พูดทื่อๆกลับไป

“ข้าไม่พอใจ”

“เรื่องอะไร”

“เจ้ายิ้มให้เขา แต่ไม่เคยยิ้มให้ข้า”

“หา!?”

หว่างจี้แสดงสีหน้ากระเง้ากระงอด ไม่สนว่านางจะคิดว่าเขานิสัยเสีย

“เมื่อครู่ไม่ใช่เจ้าหรือที่ยิ้มให้ทหารแซ่ฟ่านคนนั้น ซ้ำยังยอมให้เขาจับแขน แต่พอข้าจับแขนเจ้าบ้าง เจ้ากลับขัดขืนอย่างรังเกียจ”

“นั่นไม่เหมือนกัน”

พอซวีซิ่วพูดคำนี้ออกมา นางก็รู้สึกว่าตนไม่ควรสนใจว่าหว่างจี้จะเข้าใจผิดอย่างไร เขาแค่ผ่านมา และนางก็แค่ยื่นมือช่วยเหลือ หากวันใดวันหนึ่งความทรงจำของเขาฟื้นคืน วันนั้นเขากับนางต้องแยกทางกันอยู่ดี ซึ่งนางต้องการให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ ด้วยซ้ำ

“ทหารแซ่ฟ่านคนนั้นมาที่นี่บ่อยหรือ”

คราวนี้ซวีซิ่วมีสติพอที่จะไม่ตอบเขาทันที นางเลิกคิ้วข้างหนึ่ง แล้วมองเขาด้วยสายตาเย็นชาอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นสายตาของซวีซิ่ว หว่างจี้ปวดหนึบในหัวใจ ด้วยคิดว่าตนไม่ใช่คนที่สลักสำคัญอะไรสำหรับนางเลยหรือ ดังนั้นพอนางไม่ยอมเปิดปากอธิบายใดๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างมาก พุ่งเข้าไปยืนประชิดนาง ใช้ความได้เปรียบจากความสูงจ้องมองลงมาด้วยสายตาทั้งกดดันทั้งเอาแต่ใจ

“ตอบข้า!”

หนนี้ซวีซิ่วหรี่ตา นึกสงสัยกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของหว่างจี้ บางทีพื้นเพนิสัยของหว่างจี้อาจเป็นคนคบหายากก็ได้...

โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไร เขาขยับเข้ามาประชิดนางมากกว่าเดิม แผ่นอกกำยำแนบชิดกับหน้าอกนุ่มๆ ของนาง

ซวีซิ่วก้าวถอยห่างจากเขาตามสัญชาตญาณระวังภัย เมื่อข้างหลังของนางไม่มีที่ว่างให้ถอยหนี นางก็ช้อนตาขึ้นมองเขา ไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความรำคาญใจ

“ท่านก้าวก่ายเรื่องของข้ามากเกินไปหรือเปล่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างท่านควรทำ ข้าแค่ช่วยเหลือท่าน เมื่อความจำของท่านฟื้นคืน ท่านก็...”

“ข้าไม่สน!”

ซวีซิ่วยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ก็ถูกหว่างจี้ตะคอกใส่เสียงขุ่น

“ข้าไม่สนหรอกว่าเมื่อความทรงจำกลับคืนมาแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ ตอนนี้ข้าถามเจ้า เจ้าก็แค่ตอบข้ามา”

ใช่ว่านิสัยของซวีซิ่วจะยอมลงให้ใครง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปอย่างหว่างจี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น นางกลับเลือกสงบใจ ตอบกลับไป

“เขามารับสมุนไพรของข้าทุกเดือน เมื่อพบกันบ่อยเข้า ข้ากับเขาจึงสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง ข้าตอบท่านแล้ว พอใจหรือยัง”

คำตอบของนางไม่ได้ช่วยระงับอารมณ์ฉุนเฉียวของหว่างจี้ให้น้อยลงเลย ซึ่งตรงจุดนี้ เขารู้สึกว่าตนไม่ใช่แค่คนสูญเสียความทรงจำ แต่เหมือนคนเป็นบ้า ขี้ระแวงและชอบหึงหวง นางไม่พูดอะไรก็โกรธ ตอบกลับตรงๆ ก็ฉุนเฉียว ความเอาแต่ใจของเขาเหมือนไม่ใช่แค่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นธาตุแท้มาแต่กำเนิด

หลังจากตอบคำถามของหว่างจี้ สีหน้าของซวีซิ่วกลับมานิ่งเฉยดังเดิม ราวกับไม่ได้สนใจว่าคำพูดของนางจะมีผลต่อเขามากน้อยแค่ไหน นางทำท่าเดินกลับไปที่ใต้ต้นเฟิง ทำงานที่ค้างไว้

เห็นความเฉยชาของหญิงสาว ลูกไฟในอกของหว่างจี้ยิ่งพลุ่งพล่าน ขณะที่นางกำลังก้าวเดินผ่านเขาไป มือแข็งแรงของเขาเอื้อมออกมาฉุดแขนของนางไว้

“เสี่ยวซิ่ว...”

หนนี้นางรำคาญมากถึงขั้นมากที่สุด ไม่เพียงแสดงสีหน้าเย็นชา นางยังสะบัดแขนออกจากพันธนาการนั้น ซึ่งนางสามารถทำได้ไม่ยากเลย

“อ๊ะ!”

หว่างจี้ตะลึงกับแรงของนางเล็กน้อย

“หว่างจี้” นางพูด “แม้แต่ชื่อจริงๆ ยังจำไม่ได้ ฉะนั้นอย่ามายุ่งกับข้า”

อึก!

ประโยคเย็นชาเหมือนเหล็กแหลมทิ่มแทงใจ หว่างจี้อึ้งงันไปวูบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าและบอกนางอย่างยอมแพ้

“เจ้า... เจ้าช่วยพูดกับข้าดีๆ หน่อยไม่ได้หรือ อย่างน้อยก็ช่วยใจดีกับข้าเหมือนทหารแซ่ฟ่านคนนั้น”

“ท่านคงไม่รู้อะไร บ้านของข้าไม่เคยต้อนรับใครหรือช่วยเหลือใครมาก่อน ท่านเป็นคนแรก นั่นหมายถึงข้าทำดีกับท่านที่สุดแล้ว”

“เจ้า...”

“หว่างจี้ หากท่านยังไม่เข้าใจข้าจะพูดให้ชัดเจนกว่านี้ ท่านเป็นเพียงคนที่ข้าบังเอิญช่วยไว้ เมื่ออาการของท่านดีขึ้นเมื่อไร ท่านก็ต้องออกไปจากบ้านของข้าอยู่ดี ดังนั้นท่านอย่าพูดหรือทำอะไรเพื่อผูกมัดความรู้สึกกันอีกเลย มันไม่มีประโยชน์สักนิด” พูดจบซวีซิ่วก็เดินผ่านเขาไป

นิสัยดึงดันไม่ยอมแพ้ใครของหว่างจี้เต้นเร่าๆ มันสั่งให้เขายื่นมือออกไปรั้งนางไว้อีกครั้ง หากอีกด้านในความรู้สึกกลับสั่งให้เขาหยุดเพียงเท่านี้ อย่าตอแยนาง

หว่างจี้เกิดความสับสน ไม่รู้ว่าลึกๆ แล้วตนเป็นคนอย่างไร ทว่าพลันนั้น มือของเขากลับคว้านางไว้ตามสัญชาตญาณ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การรั้งเฉยๆ เขายังก้มหน้าฝืนบังคับจูบปากแดงปลั่งของนางอีกด้วย

ไม่ว่านิสัยเย็นชาของนางเกิดจากอะไร เขาจะละลายน้ำแข็งที่อยู่ในใจของนางให้ได้!

ด้วยความตะลึงเพราไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำเช่นนี้ ซวีซิ่วจึงยืนนิ่ง หากพูดให้ถูกก็คือตกใจจนตัวแข็งไปเลยต่างหาก

นี่อาจไม่ใช่จูบแรกของนาง แต่หลายปีแล้วกับการอยู่เพียงลำพัง หลายปีแล้วที่ต้องเก็บซ่อนความจริงบางอย่าง หลายปีแล้วกับการควบคุมตนเอง

พอถูกจูบอีกครั้ง ความทรงจำอันเลวร้ายที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจพุ่งทะยานออกมา เหมือนพลังปราณที่ย้อนกลับ

มือของซวีซิ่วกำแน่น พยายามอยู่นานถึงควบคุมตัวเองได้ นางผลักอกของหว่างจี้ให้เขาถอยห่าง มองเขาด้วยแววตาโกรธจัด พร้อมกับรีบเช็ดปาก จากนั้นเดินกลับไปที่ใต้ต้นเฟิง ทำท่าเหมือนดูสมุนไพรที่ตากแห้งเอาไว้ก่อนนั้น แต่แท้จริงคือระงับโทสะอันแรงกล้า

นานมาแล้วที่นางไม่ได้โกรธใครหนักขนาดนี้ ซึ่งหว่างจี้ดูเหมือนจะรับรู้ได้

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ยาของหว่างจี้จึงมีรสขมปร่าแทบดื่มไม่ได้ หากเขาก็ยังฝืนดื่มจนหมดทุกครั้ง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel