บทที่ 3-1 ความบาดหมางระหว่างพ่อลูก
นับจากวันนั้นเจี่ยงหร่านก็กลายเป็นจางเหมี่ยวลี่ไปโดยปริยาย แรกเริ่มนางไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใดนัก คาดว่าคงจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง
ด้านเซียวจิ้งนั้น หลังจากที่กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาก็เดินทางเข้าวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าเสด็จลุงของตน ฮ่องเต้เซียวหลางดีใจเป็นอย่างมากที่หลานชายกลับมาอย่างปลอดภัย
ฮ่องเต้มีบุตรชายที่เกิดจากฮองเฮาหนึ่งคนและบุตรีหนึ่งคน องค์หญิงใหญ่เซียวหลิงคือบุตรสาวคนโตปีนี้อายุยี่สิบปีแล้ว เพราะเขาสุขภาพไม่สู้ดีทำให้บุตรยาก เมื่อสิบปีก่อนฮองเฮาเพิ่งจะมีพระประสูติกาลองค์รัชทายาท นามว่าเซียวหลง เวลานี้มีอายุได้สิบปีแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่สามารถมีทายาทได้อีก ในวังหลวงไม่ได้รับนางสนมเพิ่มเลยแม้แต่คนเดียว
มีเสียงเล่าลือหนาหูว่าเขารักใคร่เซียวจิ้งราวกับบุตรแท้ๆ ของตน นั่นอาจทำให้เซียวจิ้งมีใจคิดก่อกบฏแต่เขากลับไม่คิดเช่นนั้น เขารู้นิสัยของเซียวจิ้งเป็นอย่างดี หลานชายผู้นี้หากไม่มีเรื่องสำคัญ ย่อมไม่คิดจะกลับเมืองหลวงอยู่แล้ว
เพราะอย่างนี้ข่าวลือภายนอกจึงมิอาจส่งผลใดๆ ต่อฮ่องเต้และฮองเฮาได้เลยแม้แต่น้อย
"ถวายพระพรเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ"
เซียวจิ้งทำความเคารพอย่างนอบน้อม ฮ่องเต้เซียวหลางยิ้มกว้าง ทักทายอย่างเป็นกันเอง
"ไม่ต้องมากพิธี มานั่งดื่มชากับลุงเร็วเข้า แล้วเล่าให้ลุงฟังทีว่า สงครามรอบนี้เป็นเช่นไร"
เซียวจิ้งพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินไปนั่งตรงข้ามผู้เป็นเสด็จลุงด้วยท่าทีผ่อนคลาย
"นับว่าดีพ่ะย่ะค่ะ ต้าฉีแม้จะไม่ยอมศิโรราบแต่การศึกครั้งนี้ ทำให้พวกเขาต้องเสียกำลังทหารไปไม่น้อยเลย คาดว่าคงไม่สามารถก่อคลื่นลมได้ในเร็ววัน ส่วนแคว้นฉู่นั้น ฮ่องเต้แคว้นฉู่ยินยอมสวามิภักดิ์ พร้อมกับจะส่งทูตมาเจรจาเพื่อสันติภาพ ส่วนแคว้นซ่งเป็นแคว้นที่มีกำลังทหารไม่ด้อยไปกว่าแคว้นของเรา เรื่องนี้จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดพ่ะย่ะค่ะ แต่หลานคิดว่า ยามนี้ฮ่องเต้แคว้นซ่งเพิ่งขึ้นครองราชย์ อำนาจการการเมืองยังไม่มั่นคง อาจจะยังไม่คิดก่อสงครามในเร็ววัน เราต้องถือโอกาสนี้เปิดรับทหารใหม่เข้ามาเพิ่ม เพื่อฝึกฝนเตรียมพร้อมเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้เซียวหลางเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย สนทนาต่อ
"ได้ ลุงจะทำตามที่เจ้าบอก อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ท่านป้าฮองเฮาของเจ้าน่ะ อยากให้มีการเปิดรับสตรีเข้าเป็นทหาร เพราะเซียวหลิงเองมีความสามารถด้านบู๊ ติดตรงที่นางเป็นสตรีจึงไม่สามารถเข้ากองทัพได้ ข้าจึงคิดว่าหากเราเปิดรับสมัครทหารหญิงจะให้เซียวหลิงเข้าร่วมด้วย ข้าคิดว่ายามนี้เราควรเปิดกว้างแล้ว บางทีอาจจะมีหญิงสาวที่เป็นเพชรยอดมงกุฎซ่อนตัวอยู่ในแคว้นของเราก็ได้ เจ้าเห็นเป็นเช่นไร"
เซียวจิ้งยกถ้วยชาขึ้นดื่มพลางกล่าวช้าๆ
"เรื่องนี้หลานไม่คัดค้าน เดิมทีแคว้นซ่งเป็นแคว้นแรกที่เปิดกว้างเรื่องนี้ เคยมีสตรีนางหนึ่งเป็นถึงรองแม่ทัพกองทัพหวังหย่ง แต่น่าเสียดายที่หลังจากผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางหมดประโยชน์ ฮ่องเต้องค์ใหม่จึงไม่เก็บนางเอาไว้"
"เขาคิดอะไรอยู่จึงสังหารยอดฝีมือของตนเอง"
"เพราะคิดว่านางเป็นภัยร้าย เก็บเอาไว้เกรงว่านางจะก่อคลื่นลมกระมัง"
ฮ่องเต้เซียวหลงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ย
"เรื่องนี้เจ้าคงเห็นด้วย แต่ขุนนางเก่าแก่ที่คร่ำครึยึดถือกฎระเบียบพวกนั้นคงจะคัดค้านข้าหัวชนฝาเป็นแน่"
"เสด็จลุง พระองค์คือเจ้าของแผ่นดิน ขุนนางพวกนั้นจะอยู่เหนือท่านได้อย่างไร อีกทั้งในยามนี้สตรีหลายคนมีฝีมือไม่ต่างจากบุรุษ พวกนางมีมือมีเท้าเช่นเดียวกับพวกเรา เหตุใดไม่ลองให้โอกาสพวกนางดูเล่า หากไม่มีความก้าวหน้าก็เพียงแค่ปลดพวกนางเท่านั้นเอง"
"อืม เรื่องนี้ยังต้องประชุมปรึกษาหารือเสียก่อน คาดว่าไม่เกินหนึ่งเดิือนคงจะมีคำตอบ ว่าแต่เจ้าเถอะ กลับตำหนักอ๋องบ้างสิ บิดาเจ้าคงรออยู่"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเซียวจิ้งก็ฉายแววเย็นชาขึ้นมาหลายส่วน ฮ่องเต้เซียวหลางที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา
"จิ้งเอ่อร์ อย่างไรเขาก็คือบิดาเจ้า เจ้าจะเฉยชาต่อเขาเช่นนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะ ตราบใดที่มีลุงอยู่ ตำแหน่งซื่อจื่อไม่มีทางหลุดไปจากมือเจ้า"
"หลานไม่เคยอยากได้ตำแหน่งนี้"
"จิ้งเอ๋อร์"
"ในเมื่อเสด็จลุงเอ่ยปาก หลานก็จะไปพบเขาสักหน่อย ขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อเอ่ยจบเซียวจิ้งก็ขอตัวออกจากวังหลวงในทันที เขาเดินไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ดวงตาของชายหนุ่มเรียบเฉยราวกับไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดทั้งสิ้น