บทที่ 3 การกลับมาของเขา (3)
“ว่างสิว่าง ฉันจะรีบพาเธอไปเดี๋ยวนี้แหละ” แองจี้ไม่ถามเซ้าซี้อีกรีบตรงเข้าพยุงร่างเพรียวบางให้ลุกขึ้น ดาราฉายเฉิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินออกไปในมาดนางพญา
ไม่ควรมีใครรับรู้ว่าเธอกำลังเสียการควบคุมตัวเพียงเพราะผู้ชายคนนั้นกลับมา ถึงจะไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็ตาม
ระหว่างที่ก้าวเดินออกจากห้องโถงเธอก็ยังรับรู้ถึงสายตาคู่นั้น ทำให้ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความกดดัน สองขาหนักอึ้งคล้ายกับมีลูกตุ้มมาถ่วงไว้จนแทบก้าวขาไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นดาราฉายก็กลั้นใจเดิน กัดฟันแน่นบังคับให้ตัวเองก้าวพ้นออกมาจากห้องได้สำเร็จ แต่พอออกมาได้เธอก็แทบจะทรุดฮวบลงไปกองอยู่กับพื้น ทำเอาคนข้าง ๆ ที่พยุงเธอไว้ต้องรีบกระชับสองมือจับตรึงร่างเธอไว้ไม่ให้ล้มลงไป
“เธอไหวไหมดิว ให้ฉันพาไปโรงพยาบาลเถอะนะ”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า เธอจะห่วงมากเกินไปแล้ว ฉันไม่ใช่คนแก่สักหน่อย” เธอหันไปหยอกคนข้างกายหวังให้เพื่อนสาวคลายความกังวลแต่แท้ที่ไหนได้กลับยิ่งกังวลกว่าเดิม ทำไม หรือว่าสีหน้าเธอมันย่ำแย่ขนาดนั้น
“หน้าเธอไม่แก่หรอก แต่หน้าเธอมันแย่มาก”
“หลอกว่าฉันงั้นเหรอ ฉันพูดถึงอายุไม่ได้หมายถึงหน้านะ”
“อ้าว ฉันก็นึกว่าเธอกลัวตัวเองหน้าแก่ก็เท่านั้น แต่เรื่องที่สีหน้าเธอแย่มากนี่ พูดจริงนะ ฉันว่าเธอควรไปหาหมอ”
ดาราฉายถึงกับส่ายหน้า ก็ดูเอาเถอะ อีกฝ่ายเล่นเป็นแบบนี้ แล้วเธอจะทนโกรธได้นานได้อย่างไร อีกอย่างถ้าเธอโกรธแองจี้ไปแล้ว ชาตินี้เธอยังจะหาเพื่อนได้อีกเหรอ ในวันที่เธอต้องกลายสถานะมาเป็นแม่คน บอกได้คำเดียวเลยว่าลำบากมาก การต้องเป็นคุณแม่ตั้งแต่ยังสาว แถมยังต้องเลี้ยงลูกคนเดียว เธอสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ถึงตอนนี้ถือว่าเก่งมากแล้ว แต่นั่นก็ทำให้เธอรู้สึกรักและทะนุถนอมแดนนี่มากเท่าชีวิต
แน่นอนว่าเธอรู้ว่าพ่อของแดนนี่ชื่ออะไร เธอจดจำชื่อเขาได้ขึ้นใจจนถึงวันนี้
“ฉันไม่ไป ฉันจะกลับห้อง แล้วก็ต้องเดี๋ยวนี้ด้วย แขนขาฉันไม่มีแรงแล้วเนี่ย รีบอุ้มฉันกลับเร็ว ๆ เลย”
“เฮ้! ตัวเธอไม่ใช่เบานะยะ จะมาใช้ให้คนตัวบางร่างน้อยอย่างฉันอุ้มกลับห้องสู้ให้พ่อหนุ่มคนนั้นอุ้มเธอกลับไปไม่ดีกว่าเหรอ นู่นไง เขาตามมานู่นแล้ว สงสัยคงมีธุระอยากคุยกับเธอมั้ง”
“ใคร” เธอถามอย่างแปลกใจ ก่อนจะเอี้ยวหน้าไปมองด้านหลังก็ต้องตกใจที่เห็นว่าพ่อหนุ่มคนนั้นเป็นใคร และทันทีที่เห็นร่างเพรียวก็สั่นสะท้าน ริมฝีปากสั่นระริกจนต้องกัดเอาไว้แน่นเสียจนได้ลิ้มรสเลือดตัวเองที่ซึมออกมาเข้าอย่างจัง
ดาราฉายบังคับตัวเองให้ยืนนิ่งไม่ให้ขยับ แม้ว่าใจจริงอยากจะวิ่งหนีหายไปจากตรงนี้ด้วยซ้ำ เธอก็แค่คนขี้ขลาดคนหนึ่ง ตั้งแต่ที่ได้เป็นแม่คน เธอก็ค้นพบว่าเธออ่อนไหวมากขึ้น แค่เจอเรื่องอะไรนิดอะไรหน่อยก็คอยแต่จะร้องไห้ แค่พานนึกไปถึงเรื่องเขา น้ำตาก็ไหลซึมออกมาทุกที
เธอแค่สงสารลูก นั่นเป็นข้ออ้างที่เธอใช้ตอกย้ำตัวเองอยู่ทุกวัน
“เธอรู้ว่าเขาจะโผล่มาที่นี่ใช่ไหม” ดาราฉายอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปถามหน้าเครียด ทำเอาแองจี้ถึงกับทำหน้าแหย ส่งยิ้มเจื่อนกลับมา ก็จริงอยู่ที่เธอรู้เรื่องก่อนหน้า แต่เธอเองก็ไม่คิดว่าเขาจะโผล่มาเร็วอย่างนี้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปทำกันอีกท่าไหนถึงเพิ่งหากันเจอเอาตอนนี้ นี่มันสิบปีแล้วนะไม่ใช่สิบวัน
“ฉันขอโทษ แต่เขาเป็นพ่อของลูกเธอนะ เธอก็ควรจะคุยกับเขาให้รู้เรื่องไม่ใช่เหรอ ดีกว่าหนีหน้ากันแบบนี้” เสียงกระซิบแผ่วเบาของอีกฝ่ายยิ่งทำให้ดาราฉายเลือดขึ้นหน้า อยากจะหาอะไรมาผ่าสมองแหวกดูว่าเพื่อนสาวใช้อะไรคิดถึงไม่รู้ว่าเธอเฝ้ารอเขามานานแค่ไหน
คนรวยอย่างเขาแค่จะออกตามหาเธอมันอยากนักหรือไง แค่มีเงินเรื่องทุกอย่างก็ง่ายเท่าพลิกฝ่ามือ คงมีแต่ว่าเขาไม่คิดจะทำมากกว่า
“ฉันต้องไปตอนนี้...” เสียงหวานพูดอย่างร้อนใจ ในดวงตาฉายแววกระวนกระวายออกมาให้เห็น
“เธอจะไปไหน จะไปหาเขาเหรอ”
“จะบ้าหรือไง แองจี้ ฉันจะต้องหนีไปกลบดานตอนนี้! ฉันไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับเขา ฉันต้องหนี ต้องรีบหนี ได้ยินไหม ฉันไปล่ะ”
โดยไม่รออะไรร่างเพรียวก็ตัดสินใจสาวเท้าวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้ทันที ตอนแรกเธอนึกว่าตัวเองจะกล้ามากกว่านี้ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังที่เธอไม่มีความกล้าพอที่จะเจอหน้าเขา อย่างน้อยก็ขอให้เธอได้กลับไปตั้งหลักที่ห้อง ไม่ ๆ แบบนี้ต้องกลับไปตั้งหลักที่บ้าน การปรากฏตัวของเขาทำให้เธอหวาดหวั่น เธอไม่ได้เจอเขามาสิบปีเต็ม จะให้ไม่รู้สึกอะไรเลยจะเป็นไปได้อย่างไร
เมื่อวิ่งมาถึงชั้นบนร่างเพรียวก็ถึงกับหายใจหอบเหนื่อย ดาราฉายหยุดยืนอยู่ข้างบันไดยืนเกาะราวอยู่อย่างนั้นเพื่อปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ตอนนี้เธออายุยี่สิบแปดแล้วนะ แถมลูกน้อยอีกหนึ่ง จะให้มาแข็งแรงคล่องแคล้วว่องไวเหมือนตอนสาว ๆ ได้อย่างไร แค่วิ่งมาไม่ถึงสิบนาทีก็เล่นเอาหอบแล้ว
“ถ้ารู้ว่าเหนื่อยแล้วจะวิ่งหนีทำไม”
“เฮ้ย! ว้าย!”
ด้วยความตกใจกับเสียงทุ้มน่าฟังข้างหูก็ทำให้ร่างเพรียวเผลอขยับถอยหลังจนเป็นให้เท้าข้างหนึ่งพลัดตกจากขั้นบันได เสียงหวีดร้องดังขึ้นพร้อมกับดวงตาคมสวยที่เบิกกว้างจ้องมองคนด้านบนนิ่งงัน นี่เธอจะต้องมาตายในสภาพนี้อย่างนั้นหรอ ทำไมถึงได้อาภัพนักนะ
หมับ!
แต่ก่อนที่ร่างเธอจะได้ร่วงหล่นลงไปก็มีฝ่ามือคู่หนึ่งเอื้อมมามาฉุดมือเธอไว้ ก่อนจะกระชากตัวขึ้นไปปะทะอกแกร่ง ร่างกายของเธอโผเข้าหาเขา มิหนำซ้ำยังกอดรัดแน่นด้วยความตกใจ หัวใจของเธอเต้นแรงไม่เป็นส่ำ ขณะที่ใบหน้าซีดเผือดเกือบคิดว่าตัวเองจะไม่รอดเสียแล้ว
“คิดจะฆ่าตัวตายหรือไง เธอหนีฉันมามาเกินพอแล้วนะเด็กน้อย...”
เสียงกระซิบทุ้มต่ำของเขาคล้ายกับคำต่อว่าแต่เธอกลับฟังว่ามันคือคำพูดของการปลอบโยน จู่ ๆ ดาราฉายก็รู้สึกว่าตัวเองอยากร้องไห้ หากแต่น้ำตากลับไม่ไหลลงมาสักหยด น่าแปลกที่ตอนเขาไม่อยู่เธอมักจะแอบร้องไห้อยู่เสมอ แต่ทำไมพอได้มาอยู่ในอ้อมแขนเขาแบบนี้เธอกลับจะหลุดยิ้มออกมาทุกที
เธอมันใจง่ายใช่หรือเปล่า ทำไมเจ็บแล้วไม่รู้จักจำนะยายดิว
“ขะ...ขอบคุณค่ะ” เสียงหวานละล่ำละลักบอกทั้งที่ร่างยังคงสั่นเทาไม่หยุด เมื่อเห็นอาการตื่นตกใจของคนในอ้อมแขน แดนเนียลก็ถอนหายใจยาวก่อนจะช้อนร่างเพรียวขึ้นอุ้มโดยที่หญิงสาวไม่พูดอะไร ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองดวงหน้าเนียนใส ครั้นเห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าก็ยิ่งถอนหายใจออกมา
“วันหลังอย่าวิ่งหนีฉันอีก ฉันแก่แล้ว วิ่งตามเธอไม่ไหวหรอกนะ”
แดนเนียลบอกเสียงเบาพลางก้มลงจูบกระหม่อมบางอย่างรักใคร่ระคนเอ็นดู ปฏิกิริยาของเขาสร้างความประหลาดใจให้กับหญิงสาว ดาราฉายถึงกับเลิกคิ้วไม่เข้าใจจ้องมองเขาอย่างงุนงง แต่พอเริ่มได้สติเธอก็เริ่มดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดไปจากอ้อมแขนนี้
“ปล่อยค่ะ ฉันเดินเองได้แล้ว คุณ!”
“อย่าดื้อมากนัก ไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน” เสียงกระซิบขู่กดต่ำที่ข้างหูทำให้ดาราฉายที่ได้ยินคำขู่กับถูกลมหายใจอุ่นจัดเป่าเข้าถึงกับชะงัก ขนอ่อนบนกายลุกซู่รู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา
ให้ตายสิ แบบนี้ชักไม่เข้าท่าซะแล้ว