๖ ไม่สำคัญ (๒)
นักรบมองร่างบางเลือกซื้อของอย่างเพลิดเพลินไม่รู้ว่าทำไมถึงจ้องได้ไม่เบื่อเลยสักนิด หากให้นั่งมองทั้งวันทั้งคือเขาก็คิดว่าตัวเองทำได้อย่างแน่นอน ใบหน้าหวานจ้องผลิตภัณฑ์ตรงหน้านิ่งก่อนคิ้วสวยจะขมวดเข้าหากันแล้ววางมันลงหันไปหยิบสิ่งของข้างกันขึ้นมาแทน คราวนี้รอยยิ้มแต้มที่ริมฝีปากบางทำเอาเขายกยิ้มด้วย
เมื่อเลือกของเสร็จแล้วจึงนำไปจ่ายเงินแล้วช่วยกันถือมาไว้ที่รถทำราวเป็นเรื่องปกติ นักรบขับกลับไปยังคอนโดหรูพากันขึ้นไปบนห้องทั้งที่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานด้วยซ้ำและณภัสสรก็คร้านจะถามว่าเหตุใดเขาถึงไม่ไปส่งเธอที่ทำงาน
นักรบไม่ใช่คนที่คาดเดาง่ายสักเท่าไหร่และเธอก็ไม่อยากทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แค่ตอนนี้ก็ทำเอาปวดประสาทเหมือนอยู่ในสนามรบตลอดเวลาแล้ว
“เย็นนี้ทำอาหารเผื่ออีกที่ด้วยนะ เพื่อนฉันจะมาร่วมโต๊ะด้วย” เขาสั่งราวเธอเป็นคนใช้ก็ไม่ปานก่อนจะหันหลังเดินกลับไปนั่งที่โซฟายาวหน้าทีวี
แล้วเธอมีสิทธิ์ปฏิเสธด้วยหรือ..คำตอบคือไม่เพราะอย่างไรเสียคำสั่งของเขาคือประกาศิตที่ต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข
เพื่อนอย่างนั้นหรือ เพื่อนคนนั้นคือใคร
นักรบแทบไม่เคยพาใครขึ้นมาบนเพนท์เฮ้าส์เลยสักครั้งอาจเพราะเขาค่อนข้างรักความเป็นส่วนตัว ในอดีตที่ยังติดเพื่อนเขาคงเอ่ยชวนคนในกลุ่มมาตั้งวงกินเหล้าทุกวันแต่โตขึ้นนิสัยก็เปลี่ยน ชายหนุ่มชอบที่จะอยู่คนเดียวเงียบๆ มากกว่าการออกไปสังสรรค์ในที่คนเยอะชวนรำคาญ
หลายครั้งที่เพื่อนโทรมาชวนไปแฮงเอ้าท์เขาก็เอ่ยปฏิเสธจนผิดสังเกตของหนุ่มนักเที่ยว จะให้รู้ได้อย่างไรเล่าว่าตอนนี้มีหญิงสาวมาอยู่ด้วย เพื่อนล้อตายเลย..
‘ไหนมึงว่าไม่ชอบเขาไง ทำไมตามเฝ้าเขาเป็นหมาหวงก้างเลยวะ’ ยังจำคำของเพื่อนได้ไม่ลืมยามที่ตัวเองโทรหาณภัสสรเป็นบ้าเป็นหลังในขณะที่หญิงสาวแทบไม่สนใจด้วยซ้ำ
เหมือนเหตุการณ์ทุกอย่างจะวนอยู่อย่างนี้ เขาไม่พูด เธอไม่ถาม..
เรื่องมันเลยคาราคาซังมาเกือบเจ็ดปีโดยไม่มีการแก้ไขความเข้าใจให้ถูกต้องเสียที
เธอนำของเข้าตู้เย็นพร้อมทั้งแยกของที่จะทำอาหารออกมาล้างให้สะอาด สวมผ้ากันเปื้อนเอาไว้แล้วมัดผมพอลวกๆ เพื่อไม่ให้เส้นผมตกลงไปในอาหาร
สองคนถึงอยู่ในห้องเดียวกันแต่ก็ไม่พูดจากันราวอยู่คนละโลก ณภัสสรไม่เอ่ยอะไรอยู่แล้วและนักรบก็ไม่ได้ชวนคุยเช่นทุกครั้งราวมีเรื่องให้ขบคิด เขาจ้องโทรศัพท์ตัวเองนิ่งยามอ่านประวัติโดยย่อของคนในบริษัทอชิตะ พลีส ไล่ดูใบหน้าจนกระทั่งเห็นชื่อชายหนุ่มที่อาจหาญมายุ่งกับผู้หญิงของตัวเอง
วรภพ ประกิตติ์วิเศษ
เขารีบกดบันทึกภาพของอีกฝ่ายแล้วส่งไปให้เพื่อนค้นประวัติของวรภพทันที ไม่ใช่แค่แฟนของณภัสสรเท่านั้นที่เป็นศัตรูแต่หมอนี่ก็ไม่ต่างกัน
แฟนเหรอ..เขาไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะมีแฟน มันก็แค่สถานะอุปโลกน์มาเพื่อหลีกหนีจากเขาเท่านั้นแหละ ในเมื่ออยากเล่นเกมนักพี่จะจัดให้เองชะเอม แล้วเรามาดูกันว่าใครที่จะเจ็บมากกว่ากัน
“ฮัลโหลหยี” เขารับโทรศัพท์ทันทีพร้อมเอ่ยทักทายเสียงสดใส แต่คนที่กำลังทำอาหารชะงักมือไปชั่วครู่ยามได้ยินชื่อผู้หญิงที่เปลี่ยนคนเคร่งขรึมให้กลับมายิ้มได้
ณภัสสรพยายามไม่สนใจสิ่งที่เขาพูดหันมาตั้งใจทำอาหารตรงหน้าแต่ก็ยากเหลือเกินเพราะน้ำเสียงหวานที่นักรบเอ่ยกับคนอื่นมันบาดใจจนน้ำตาเอ่อคลอ และไม่ทันระวังมือโดนมีดบาดเข้าให้จนสะดุ้งสุดตัวแต่เม้มปากแน่นไม่ส่งเสียงร้องออกมาแต่อย่างใด
เลือดสีสดไหลออกมาโดยที่เจ้าของห้องยังไม่รู้ว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับแม่ครัวที่เขาพาตัวมา หล่อนไม่ปริปากสักแอะนอกจากเดินไปล้างแผลด้วยน้ำเปล่า กัดปากแน่นพยายามห้ามเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกจนเขาได้ยิน
ถึงจะเจ็บแค่ไหน หรือจะปวดจนน้ำตาไหลก็จะไม่มีทางบอกเขาเด็ดขาด ณภัสสรสูดลมหายใจลึกๆ พยายามข่มความเจ็บจากมีดบาดเอาไว้แล้วเอาพลาสเตอร์สีใสที่มีติดกระเป๋าออกมาติดที่แผลทันที ร่างบางมักจะพกมันเอาไว้ยามโดนรองเท้ากัด
อาหารวันนี้นอกจากเคล้าน้ำตาแล้วยังสร้างบาดแผลที่หัวใจและนิ้วมือให้แก่หล่อนอีกด้วย จนไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะอดทนเก่งขนาดนี้ อยากมอบโล่รางวัลแก่ตนเองเหลือเกินที่สามารถทนต่อเหตุการณ์ที่ทำร้ายจิตใจได้ดีเหลือเกิน
“ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ” เขาบอกโดยที่ไม่หันมามองร่างบางสักนิด เดินไปทางห้องนอนแล้วชำระร่างกายทันทีปล่อยณภัสสรเงยหน้าขึ้นเพื่อไล่น้ำตาทั้งยังถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นไปหมด ทำไมการดำเนินชีวิตมันถึงได้ยากขนาดนี้
ใช้เวลานานพอสมควรอาหารทุกอย่างจึงพร้อมเสิร์ฟบนโต๊ะ หันไปมองนาฬิกาก็พบว่าหกโมงเย็นแล้วป่านนี้เสียงเคารพธงชาติคงดังขึ้นพอดี หล่อนถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วหยิบกระเป๋าจะเดินเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็นึกได้ว่าเจ้าของห้องจับจองอยู่จึงทำเพียงเปลี่ยนที่นั่งมาเป็นโซฟาหน้าทีวี
นักรบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ตรวจงานสักพักจึงได้ออกมาข้างนอก พบว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำแล้วและหญิงสาวที่เคยอยู่ตรงครัวก็สลบไสลอยู่โซฟากว้าง นอนหลับคอพับคออ่อนจนเขากลัวว่าคอหล่อนจะหักเสียก่อนจึงได้เข้าไปประคองเอาไว้แล้วหาหมอนรองคอให้
สงสัยคงเหนื่อยเพราะขนาดจับแบบเต็มไม้เต็มมือยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เขาไล่มองใบหน้าหวานก่อนจะปัดปอยผมที่ปรกหน้าออกให้แล้วค่อยเลื่อนมาจับมือเล็ก แต่แล้วเขาก็ชะงักเมื่อเห็นว่ามือของหล่อนมีพลาสเตอร์ปิดแผลเอาไว้
“ไปได้แผลตอนไหน” พึมพำเสียงเบาก่อนจะค่อยลุกจากโซฟาแล้วไปนั่งบนพื้น เขาประทับริมฝีปากลงที่แผลนั้นอย่างแผ่วเบาค่อยเงยหน้าขึ้นมามองคนที่กำลังหลับใหล
“ตอนนอนน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย” เขาพึมพำแล้วยิ้มมุมปาก ชอบตอนคนตัวเล็กนอนหลับเหลือเกินเพราะดูไร้พิษสง ไม่เหมือนตอนตื่นที่เอาแต่มองเขาแล้วขู่ฟ่อๆ อยู่นั่นแหละ ไม่รู้ว่าอยู่ด้วยกันแล้วมันลำบากใจขนาดนั้นเลยเหรอ
ไม่มีความสุขสักวินาทีเลยหรือไง ทั้งที่เขามีความสุขทุกครั้งเวลาที่ได้อยู่ใกล้เธอแท้ๆ
ก่อนจะได้ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าหวานโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อนชายหนุ่มจึงเลี่ยงไปรับสายปล่อยให้คนที่ทำเป็นหลับค่อยลืมตาขึ้นด้วยหัวใจสั่นไหว การกระทำเมื่อครู่อ่อนโยนจนหล่อนทำตัวไม่ถูกหากลืมตาขึ้นมาจำต้องแกล้งหลับต่อไป
หัวใจเจ้ากรรมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนจากริมฝีปากของเขาที่จุมพิตลงนิ้วเธอยังคงอยู่และราวกับว่าหัวใจเคลื่อนไปที่ตรงนั้นเพราะมันเอาแต่เต้นไม่หยุด เธอมองนิ้วที่มีพลาสเตอร์ปิดด้วยใบหน้าประหลาดจะว่ายิ้มก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง
ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกตอนนี้ได้นอกจากจะต้องรีบเข้าห้องเพื่อหนีเขาให้เร็วที่สุดก่อนนักรบจะออกมาเห็นสภาพใบหน้าแดงก่ำของเธอในเวลานี้
“ถ้าถึงแล้วโทรบอกนะเราจะลงไปรับ ครับ” เขาวางสายแล้วเข้ามาภายในห้องรับแขกแต่ก็ไม่เห็นคนที่นอนหลับคอพับแล้ว สงสัยคงไปอาบน้ำล่ะมั่ง
ร่างสูงเดินไปดูอาหารที่ณภัสสรทำก็เห็นต้มยำกุ้ง ทอดไข่ใส่ผักชะอม ยำเห็ดรวมมิตร แกงเขียวหวานไก่ ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบและยังมีจานวางไว้สามที่ตามคำสั่งอีกต่างหาก เขายกยิ้มอย่างพึงพอใจ บอกแล้วว่าเธอเหมาะจะเป็นภรรยาและแม่ของลูกมากที่สุด
ณภัสสรออกมาด้วยชุดเสื้อยืดและกางเกงเดนิมผ้าเจอร์ซี่สีเข้มให้ดูสุภาพสำหรับแขกที่มาใหม่ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแต่หากให้เดาก็คงเป็นผู้หญิงที่เขาโทรคุยด้วยเป็นนานสองนาน และความคิดนั้นก็ทำให้ใบหน้าหวานหม่นลงทันที
“ไม่ได้เจอนานเลย คิดถึง” ได้ยินเสียงแว่วจากหน้าประตูพร้อมเสียงปิดประตูทำเอาคนที่เพิ่งออกจากห้องนอนแล้วเดินมาโถงกลางห้องต้องหันไปมองชายหญิงที่กอดกันกลมจนหล่อนต้องเป็นฝ่ายหลบแต่ไม่ทันเพราะแขกสาวหันมาเห็นเสียก่อน
“อุ้ย แฟนอยู่ก็ไม่บอก” เธอเป็นผู้หญิงผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าค่อนข้างมีเอกลักษณ์ สวยสง่ามีลักยิ้มที่แก้มสองข้าง และมีความมั่นใจในตัวเองพอสมควร มองเผินๆ ขนาดเธอเป็นผู้หญิงยังอดชื่นชมคนตรงหน้าไม่ได้
“ไม่ใช่หรอก น้องที่รู้จักกันน่ะ” เขาปฏิเสธอย่างรวดเร็วราวกลัวว่าคนในอ้อมกอดจะเข้าใจผิดจนณภัสสรต้องแต้มยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยทักทาย
“สวัสดีค่ะ” ค้อมศีรษะให้เพราะถ้าจะให้ไหว้ก็ไม่รู้ว่าให้ไหว้ระดับไหนเนื่องจากอีกฝ่ายก็ยังดูสาวอยู่เลยอาจจะอายุเท่ากันด้วยซ้ำ
“ยาหยีนะคะ เป็น” กำลังจะแนะนำตัวว่าเป็นใครแต่ร่างสูงก็หยิกแก้มเธอเสียก่อนด้วยความหมั่นไส้
“มันเจ็บนะรบ! หยิกมาได้” ตีมือเขาแล้วมองด้วยใบหน้างอนในขณะที่ร่างสูงเอาแต่หัวเราะอย่างมีความสุขที่ได้แกล้งอีกฝ่าย
“เห็นพูดเจื้อยแจ้วเป็นนกขุนทองก็เลยลองบีบดูว่าจะหยุดพูดได้ไหม” ณภัสสรพยายามยิ้มให้การหยอกล้อตรงหน้าทั้งที่ในใจน้ำตาไหลนอง
ใครบ้างจะอยากเห็นผู้ชายที่ตัวเองแอบรักหวานกับผู้หญิงคนอื่น
เธอเม้มปากแน่นก่อนจะเดินไปยังห้องอาหารปล่อยให้ทั้งสองคนพูดคุยกันให้หายคิดถึง พยายามปิดหูไม่สนใจคำพูดที่ลอยดังเข้ามากระทบตลอดเวลา
“แล้วทำไมน้องเขามาอยู่ที่นี่ล่ะ เป็นญาติกันเหรอ” คนมาใหม่เอ่ยถามด้วยความอยากรู้แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะปิดปากเงียบ
“ถามมากจัง ไปกินข้าวได้แล้ว” เขาโอบไหล่เล็กไว้แล้วเดินมาที่ห้องอาหารพร้อมบริการยาหยีด้วยการเลื่อนเก้าอี้ให้นั่งซึ่งเป็นปกติที่เขาทำอยู่แล้วเธอจึงไม่ได้รู้สึกแปลกแต่อย่างใด
ต่างจากณภัสสรที่แอบมองด้วยความชอกช้ำเพียงลำพัง เธอไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่ดีแบบนั้นจากเขาเลย.. ไม่สิ เคยเมื่อนานมาแล้วแต่มันก็แค่เหตุการณ์ที่เขาทำให้ตายใจเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงใจเสียหน่อย
สถาปนิกสาวตักอาหารให้แขกพยายามทำตัวกลมกลืนกับอากาศให้มากที่สุด และเธอก็ทำสำเร็จเพราะระหว่างนั้นไม่มีใครหันมาสนใจเธอเลย คนทั้งสองเอาแต่พูดคุยเรื่องที่ไม่มีหล่อนอยู่ในเหตุการณ์
หรือบางทีพวกเขาอาจจะสร้างโลกที่มีเพียงสองคนขึ้นมาก็เป็นได้..