๗ ไม่ไหว (๑)
๗
ไม่ไหว
บรรยากาศภายในห้องสำหรับคนที่ไม่ได้เจอกันนานเต็มไปด้วยเรื่องเล่าที่ไม่รู้จบ ต่างจากณภัสสรที่ถึงจะร่วมโต๊ะแต่ก็กลายเป็นคนที่ถูกลืมโดยปริยาย เธอไม่ได้เอ่ยวาจาอะไรออกไปและดูเหมือนว่าทั้งสองคนก็ไม่สนใจจะหันมาถามไถ่ ทำราวกับเธอเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น
ถึงจะน้อยใจมากเพียงใดแต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ เธอจำต้องกลืนอาหารที่แสนจะฝืดคอลงไป คราวแรกว่าจะขอตัวให้เพื่อนได้พูดคุยกันแต่นักรบกลับรั้งเอาไว้ด้วยเหตุผลที่ว่าเห็นเธอยังไม่ได้กินอะไรอีกทั้งแขกสาวก็ยินดีที่จะให้หล่อนร่วมโต๊ะด้วย
จึงไร้หนทางปฏิเสธจำต้องยอมนั่งลงมองเหตุการณ์ที่ทำร้ายความรู้สึก อยากถอนหายใจออกมาแรงๆ แต่ก็ไม่อยากกลายเป็นจุดสนใจจึงเลือกจะนั่งกินด้วยใบหน้าเฉยชาราวคนไม่มีความรู้สึกหลงเหลืออยู่เลย
“อาหารอร่อยมากเลย ขอบคุณมากนะคะ” เมื่อรับประทานอาหารเสร็จหญิงสาวก็หันมาเอ่ยกับแม่ครัวคนสวยทันที
“ยินดีค่ะ” หล่อนเพียงค้อมศีรษะแล้วยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น
“เดี๋ยวหยีช่วยล้างจาน” ขันอาสาแต่ร่างสูงกลับเอ่ยขึ้นเสียก่อน
“ไม่ต้องหรอก งานแบบนี้ให้เอมทำเถอะ เขาถนัดอยู่แล้ว” ใบหน้าคมหันมามองเธอก่อนจะแสยะยิ้มทำเอาหล่อนต้องเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“ค่ะ ไม่เป็นไรหรอก ฉันถนัดงานครัวอยู่แล้วแค่ล้างจานสบายมาก” เหมือนทั้งคู่กำลังฟาดฟันกันด้วยสายตาและแขกสาวก็รับรู้จึงค่อนข้างทำตัวไม่ถูกกับบรรยากาศอึมครึมที่เกิดขึ้นในตอนนี้
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยไหม” หันไปหานักรบที่ละสายตาจากสถาปนิกสาวแล้วมองมายังร่างบางซึ่งนั่งข้างกาย
“ไปสิ”
“เดี๋ยวหยีขอเข้าห้องน้ำเติมหน้าก่อนนะ” ว่าจบหล่อนก็ลุกขึ้นไปห้องน้ำทันทีปล่อยให้สองหนุ่มสาวอยู่ด้วยกันเพียงลำพังยิ่งสร้างความอึดอัดมากกว่าเดิม
ร่างแบบบางลุกขึ้นเก็บจานแล้วนำไปวางไว้ที่อ่างล้างจานโดยไม่สนใจคนที่นั่งตัวตรงอยู่โต๊ะอาหารสักนิด ในเมื่อเขาทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนเธอก็จะทำอย่างเขาบ้างแต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่พอใจสักเท่าไหร่
“คืนนี้เธอไปนอนห้องเล็กแล้วกัน” ขณะที่เขานั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วมองร่างเล็กคอยจับงานครัวก็ได้เอ่ยขึ้นด้วยโทนเสียงราบเรียบราวเป็นเรื่องปกติ
“ค่ะ” แล้วหญิงสาวก็ตอบรับไม่มีคำถามว่าเพราะเหตุใดจึงให้ไปนอนห้องที่เขาปิดตายเอาไว้
“แล้วถ้าเธอกลับบ้านฉันจะไปตามถึงบ้านเลย ไม่เชื่อก็คอยดู” รู้ดีว่าคนอย่างนักรบทำอย่างที่พูดเธอจึงไม่คิดจะงัดข้อกับเขา
หรือที่จริงก็แค่รอเวลาเท่านั้น..เวลาที่จะได้เดินออกไปจากสถานะคนในความลับเสียที
“ฉันรู้ว่าผู้ชายอย่างคุณทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ถึงจะเป็นเรื่องเลวมากแค่ไหน” ย้ำคำว่าเลวพร้อมทั้งจ้องดวงตาเรียวนิ่ง ทว่าคนที่โดนด่ากลับไม่สะท้านสักนิด เขาเพียงยิ้มมุมปากราวกับว่านั่นคือคำชมที่พร้อมจะน้อมรับ
“เธอก็มองคนออกเหมือนกันนะ ผิดกับฉันที่มองเธอแทบไม่ออกเลย” ก่อนที่สนามอารมณ์จะปะทุมากกว่านี้คนที่ขอตัวเข้าห้องน้ำก็ออกมาเสียก่อนทำให้คนที่อยู่ร่วมห้องต้องเงียบเสียง
“ไปกันเลยไหมคะ”
“ไปสิ” เขาเดินไปโอบเอวเล็กเอาไว้ก่อนจะนำเธอออกจากห้องทันทีปล่อยณภัสสรยืนกำมือแน่นข่มความโกรธอยู่คนเดียว
ไม่รู้ว่าเรื่องมันเริ่มมาจากตรงไหน และเมื่อไหร่ที่มันจะจบลงเสียที เธอเหนื่อยเหมือนเดินอยู่ในเขาวงกตที่ไม่มีทางออกถึงจะพยายามมากแค่ไหนก็กลับมาจุดเดิมอยู่ร่ำไป ใบหน้าหวานปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาก่อนจะถอนหายใจเสียงดัง
หากเธอตายไปเรื่องทุกอย่างมันคงง่ายขึ้นกว่านี้
ไม่หรอก จะไม่มีทางฆ่าตัวตายเพระเรื่องของเขาแน่นอน ผู้ชายคนนั้นไม่ได้มีค่าจนเธอต้องยอมสละชีวิตตัวเองสักนิด
มือเล็กหยิบจานมาล้างทั้งที่น้ำตาเปื้อนหน้า เธอเจ็บแผลจากมีดบาดแต่ก็กัดฟันทนเอาไว้ วินาทีนี้เธอจำได้แล้วว่าผู้หญิงที่เขาพามาห้องคือใครและสำคัญกับนักรบมากแค่ไหน
เธอคือแฟนเก่าของเขา..
ผู้หญิงที่ชายหนุ่มขึ้นสถานะคบและมีรูปในเฟซบุ๊กเสมอ อันที่จริง ณภัสสรรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้าเพราะเคยเข้าไปดูหลายครั้งถึงจะพยายามห้ามตัวเองไม่ให้รับรู้ชีวิตต่างแดนของเขามากแค่ไหนก็ตาม หัวใจไม่เคยเชื่อฟังเลยสักครั้ง
ตัดใจแต่เหลือใยให้ทำอย่างไรก็ไม่อาจลืมได้เสียที หากมียาลบความทรงจำหรือสะกดจิตตัวเองให้ลืมได้ก็คงดี จะได้ไม่ต้องมาเจ็บปวดเหมือนตอนนี้
“ฮึก” ดวงตาพร่าเลือนไปหมดแทบไม่เห็นจานที่กำลังจับ ไม่รู้ว่าเจ็บที่แผลหรือปวดที่หัวใจมากกว่ากัน
นักรบช่างเก่งกาจสมชื่อเหลือเกิน เขาทำร้ายคู่ต่อสู้ได้แม้ไม่มีอาวุธติดมือเพราะเพียงแค่ใช้คำพูดก็สามารถประหารเธอได้แล้ว
“อึก” หล่อนรู้สึกผะอืดผะอมจนต้องยกมือขึ้นปิดปากกลัวว่าของเหลวจะไหลออกมา เท้าก้าวไปเข้าห้องน้ำที่ใกล้ก่อนจะปล่อยของเสียออกทางปากลงที่ชักโครกทันที
“อ้วก” ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่ยังมีระรอกสอง หญิงสาวอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุงก่อนจะกดชักโครกแล้วลุกขึ้นทั้งที่แทบไม่มีเรี่ยวแรงไปล้างปากเงยหน้าขึ้นมองหน้าตัวเองที่กระจกบานใหญ่
และเมื่อสายตาประสานเข้าหากันก็แทบไม่รู้จักคนในกระจกเลยสักนิด ผู้หญิงที่ใบหน้าซูบตอบ แววตาเลื่อนรอยดูไร้ชีวิตชีวาคือใครกัน.. ใช่ณภัสสรที่รู้จักอยู่หรือ ทำไมเธอปล่อยให้ความรักเข้ามากัดกร่อนหัวใจจนส่งผลต่อร่างกายภายนอกได้ขนาดนี้
คนตรงหน้าดูไม่มีความสุขเลยสักนิดจนเธออยากจะเข้าไปกอดปลอบ และก่อนที่จะจมลึกไปมากกว่านี้เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อน
‘รพี’
ชายหนุ่มผู้เป็นที่พึ่งเดียวของเธอ
‘เฮ้ ไม่คิดจะมาหาเพื่อนเลยหรือไง’
“พีร์..” เอ่ยได้เพียงชื่อน้ำตาก็ทะลักออกมาทันทีพร้อมก้อนสะอื้นที่จุกคอจนไม่สามารถเอ่ยอะไรได้อีก
‘นี่รอให้โทรมาหาจนเหนื่อยเลยโทรมาเองดีกว่า เราเพิ่งถึงไทยเมื่อกี้เลย ตอนนี้อยู่คอนโดเดิมที่เอมเคยมาน่ะ ถ้าว่างก็เชิญได้นะครับ’ ใบหน้าหวานค่อยยิ้มออกมาทั้งน้ำตาแล้วรีบปาดมันออกค่อยวิ่งไปหยิบกระเป๋าของตัวเองอย่างรวดเร็วไม่สนใจจานที่ยังล้างไม่เสร็จ
ลืมคำขู่ของนักรบโดยสิ้นเมื่อพบที่พึ่งใหม่ ร่างบางเดินแกมวิ่งออกไปจากเพนท์เฮ้าส์ทันทีไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เธอโบกแท็กซี่แล้วตรงไปที่คอนโดของเพื่อนสนิทที่โดนอุปโลกน์ว่าเป็นแฟนหนุ่ม ระหว่างทางร่างบางนั่งกำมือแน่น
เหตุการณ์เหมือนย้อนไปเจ็ดปีก่อนไม่มีผิด ผู้เล่นคนเดิม เนื้อเรื่องคล้ายอดีตจนไม่คิดว่าชีวิตจะวนอยู่ในอ่างแบบนี้
รถค่อนข้างติดแต่ไม่นานก็เคลื่อนตัวออกแล้ววิ่งตรงไปที่คอนโดปลายทาง เมื่อถึงที่หมายหล่อนก็จ่ายเงินค่อยเดินเข้ามาติดต่อฝ่ายบุคคลและรอเพียงห้านาทีเจ้าของห้องก็เดินแกมวิ่งลงมาด้วยชุดลำลองสำหรับใส่อยู่บ้าน
ณภัสสรมองเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานตั้งแต่จบมัธยมปลายเพราะชายหนุ่มไปต่อปริญญาตรีที่ต่างประเทศ เธอลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะรีบวิ่งไปกอดเขาทั้งน้ำตาทำเอาคนที่เพิ่งโดนกอดทำตัวไม่ถูก หันซ้ายมองขวาแล้วพยายามปฏิเสธสายตาคนว่าตัวเองไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เธอร้องไห้
“ขึ้นไปคุยกันบนห้องเถอะ” ตบแผ่นหลังร่างบางแผ่วเบาก่อนจะพาไปขึ้นลิฟต์ที่มีผู้โดยสารอีกสองคน ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาและเขาก็ชำเลืองมองคนที่เช็ดน้ำตาปอยๆ อย่างสงสาร
ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เพราะเขาแทบไม่รู้เรื่องราวรอบตัว ณภัสสรเลย อันที่จริงก็ยุ่งกับการทำเรื่องจบจนไม่ได้ทักทายเพื่อนด้วยซ้ำ มาบอกก็ตอนที่ได้วันจะกลับไทยนั่นแหละ
เสียงตู้โดยสารบอกว่าถึงชั้นที่ต้องการทั้งสองจึงเดินออกมาโดยมีคนตัวสูงกว่าโอบไหล่เล็กเอาไว้ แตะคีย์การ์ดแล้วเปิดเข้ามาภายในคอนโดที่ยังคงเหมือนเดิมกับหลายปีก่อน ข้าวของที่คุ้นเคยยังวางไว้ที่เดิมแม้กระทั่งกรอบรูปจบการศึกษาก็ยังตั้งไว้ที่ตู้หนังสือใกล้ห้องรับแขก
“นั่งก่อน เดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้” กดไหล่เล็กนั่งลงที่โซฟา ส่วนตัวเองก็เดินไปยังห้องอาหารที่อยู่เยื้องกันแล้วรินน้ำเปล่าใส่แก้วมาเสิร์ฟคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ดื่มน้ำก่อน” ร่างบางรับมาจิบเพียงเล็กน้อยแล้ววางไว้ยังโต๊ะเล็กในขณะที่ดวงตาเหม่อลอยจนร่างสูงต้องถอนหายใจ นึกว่าการกลับมาจะนำมาซึ่งความดีใจให้เพื่อนแต่ใครจะคิดเล่าว่าอีกฝ่ายจะมาหาในสภาพไร้วิญญาณขนาดนี้
“มีเรื่องอะไร ไหนเล่าให้ฟังหน่อย” เมื่อเอ่ยถามใบหน้าหวานก็ผินมามองก่อนจะโผเข้ากอดชายหนุ่มอีกครั้ง น้ำตาไหลลงมาโดยไร้เสียงสะอื้น
“เกี่ยวกับใคร บอกเราได้ไหม” ค่อยตะล่อมถามเพราะหากให้พูดออกมาเองคนปากแข็งคงเอาแต่ร้องไห้จนนอนหลับไปเป็นแน่ เขาลูบแผ่นหลังบางไปมาอย่างแผ่วเบาเป็นการปลอบปะโลมคนที่กำลังอ่อนแอและเปราะบางเหมือนจะแตกหักตลอดเวลา
“แม่เหรอ” หล่อนส่ายหน้าทันที เป็นอันรู้กันว่าณภัสสรกับมารดาไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่โดยที่ไม่ทราบสาเหตุด้วยซ้ำว่าทำไมท่านจึงไม่ชอบหน้าลูกคนเล็กนัก
“ที่ทำงานหรือเปล่า” เอ่ยกว้างๆ เพราะแทบไม่ได้รับรู้เรื่องราวของคนตัวเล็กหลังจากไปเรียนต่อต่างประเทศ พวกเขาต่างยุ่งกับการเรียนจนนานๆ ทีถึงจะติดต่อกัน
“เขา..เขากลับมาอีกแล้ว” เธอเอ่ยอย่างกะท่อนกะแท่นแต่ยังพอจะจับใจความได้บ้างว่าพูดอะไร และเมื่อเอ่ยถึงเขาหนุ่มหล่อดีกรีนักเรียนนอกก็เข้าใจได้ภายในทันที เขาของเพื่อนมีไม่เยอะหรอก เรียกได้ว่ามีคนเดียวด้วยซ้ำ
นักรบ..
“พี่รบเหรอ” เอ่ยถามเสียงแผ่วทว่าไม่มีคำตอบจากเพื่อนนอกจากการพยักหน้าเบาๆ เท่านั้น
ลูกชายท่านทูตถอนหายใจออกมาทันที เหมือนย้อนกลับไปหลายปีก่อนที่ต้องตกอยู่ในสถานะคนปลอบอย่างครั้งนี้ เหตุการณ์เดจาวูกลับมาอีกครั้งจะต่างกันก็ตรงที่คราวก่อนยังพอรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่มาวันนี้กลับไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
มันเกิดอะไรกับเพื่อนที่แสนเข้มแข็งคนนี้กันถึงได้ร้องไห้จนตัวสั่นคลอน
“อึก อุ๊บ” ร่างบางปิดปากตัวเองแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำอีกครั้งจนชายหนุ่มต้องรีบลุกไปหาแล้วลูบหลังคนที่กำลังโก่งคออาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตาย เวลาผ่านไปสักพักหล่อนจึงนั่งอย่างหมดแรงจนเจ้าของห้องต้องเอื้อมมือไปกดชักโครกให้แล้วประคองให้ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา
“ไหวไหมเอม” เห็นใบหน้าซีดเซียวก็ถามอย่างสงสาร
“ไม่ไหว เราไม่ไหวแล้วพีร์” เอ่ยเสียงสั่นพร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา เธอไม่รู้ว่าจะต้องทนไปอีกนานแค่ไหน ต้องอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิตเลยหรือไม่
แล้วถ้าเขาแต่งงานกับณปภาเธอต้องตกอยู่ในสถานะเมียน้อยหรือ..
แค่คิดก็ไร้เรี่ยวแรงจนต้องอาศัยเพื่อนพาไปนั่งพักที่โซฟา “เล่าให้ฟังได้ไหมว่าตลอดเวลาที่เราไม่อยู่ มันเกิดอะไรขึ้นกับเอม” ความอยากรู้ทำให้เขาต้องถามอย่างตรงไปตรงมา อันที่จริงก็ไม่เห็นด้วยเรื่องของนักรบตั้งแต่ต้น
ชายหนุ่มค่อนข้างเจ้าชู้ ชื่อเสียงด้านนี้กระฉ่อนไกลไม่แพ้ความหล่อที่ถูกเล่าขานว่าเป็นร่างโคลนนิ่งของพี่โดม ปกรณ์ ลัมสมัยหนุ่ม หล่อขั้นเทพที่เกินเทพไปแล้วด้วยซ้ำ มีแฟนอยู่แทบทุกคณะจนบางคราก็ได้ยินว่าตบตีกันแย่งหนุ่มวิศวะหน้าคม