บท
ตั้งค่า

๕ ไม่มีสิทธิ์ (๒)

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ สถาปนิกสาวตัดสินใจเปิดโทรทัศน์ดูข่าวจนกระทั่งถึงละครหลังข่าวซึ่งนางเอกก็คือณปภาพี่สาวคนสวยที่คนทั้งประเทศหลงรักนั่นเอง ต้องยอมรับว่าวินาทีนี้หญิงสาวดังจนฉุดไม่อยู่ตั้งแต่ได้เล่นละครรีเมคแนวตบจูบ ชื่อก็เข้าชิงทุกรายการทั้งยังได้รางวัลมาครอบครองอีกมากมาย

เห็นการเล่นละครที่เข้าถึงบทบาทก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก ร่างบางนั่งมองด้วยแววตาพร่าเลือนจนต้องเช็ดน้ำตาออก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมน้ำตาถึงไหลอาจเพราะฉากที่กำลังดูเป็นบทเศร้าก็ได้ คำพูดที่ณปภาเอ่ยกับนางร้ายมันกระแทกใจจนอดกลั้นความเจ็บปวดไว้ไม่ไหว

“เธอมันก็แค่ของเล่นฆ่าเวลาเท่านั้นแหละ เขาเบื่อก็ทิ้ง” ราวกับประโยคนั้นนางเอกพูดกับเธอที่นั่งน้ำตาไหลอยู่นอกจอ

“นั่นสินะ..เขาเบื่อก็คงทิ้ง” พูดราวคนละเมอ

ถึงมันจะเป็นความจริงแต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้อย่างมหาศาล เธอทำใจอยู่ทุกวันว่าอีกไม่นานเขาก็คงเบื่อ ทั้งที่อีกใจก็ภาวนาขอต่อเวลาอีกนิด

ความสับสนตีกันในหัวทั้งอยากอยู่ทั้งอยากไป ทั้งรักทั้งเกลียด..

คนเราจะอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหนกัน เธอพิสูจน์มาแล้วเป็นเวลาห้าเดือน มันทรมานเหลือเกินที่ต้องแสดงเป็นเกลียดต่อหน้าคนที่ตัวเองรัก และต้องรองรับอารมณ์แปรปรวนตลอดเวลาของเขา

มันเหนื่อยเหลือเกิน

ละครเป็นอย่างไรเธอไม่รู้เพราะตอนนี้น้ำตาได้ปิดบังภาพตรงหน้าไปจนหมดสิ้น ร่างบางนั่งอย่างคนไร้เรี่ยวแรงปล่อยให้น้ำไหลออกจากตาโดยไม่คิดจะเช็ดออกสักนิด ไม่สนใจว่าเขาจะเข้ามาเมื่อไหร่หรือตอนไหน

เธอเหนื่อยจะรอแล้ว มันท้อจนแทบเดินต่อกับความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ไหว เปลือกตาค่อยปิดลงมาก่อนเธอจะปล่อยตัวเองให้จมดิ่งไปกับความมืดยามราตรี

เช้าที่หมู่เมฆไม่สดใสเริ่มขึ้นอีกครั้ง วันทำงานแสนเร่งรีบทำให้หล่อนต้องลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเหลียวมองรอบห้องก่อนสายตาจะไปหยุดยังโต๊ะอาหารซึ่งยังคงมีกับข้าววางไว้เช่นเดิม...

เขาไม่กลับมา

นั่นสินะ เธอจะไปหวังอะไรกับผู้ชายคนนั้น ไม่มีแม้แต่จะบอกสักนิดว่าไปไหน แต่จะโทษเขาก็ไม่ได้เพราะเธอปิดโทรศัพท์เอาไว้ไม่ต้องการจะพูดคุยหรือรับสายใคร มือเล็กเอื้อมไปหยิบเครื่องมือสื่อสารมากดเปิดแล้วค่อยลุกจากโซฟาห้องรับแขกไปที่โต๊ะอาหาร

เธอเทของที่ทำไว้ทั้งหมดลงถังขยะด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตากลับสั่นไหวด้วยความเจ็บปวด ทำไมต้องรอคอยในขณะที่เขาไม่สนใจเลยสักนิด มือเล็กยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาก่อนจะล้างจานชามแล้วคว่ำไว้อย่างเป็นระเบียบ

หลังจากนั้นจึงเดินเข้าห้องเพื่ออาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงาน อันที่จริงงานสถาปนิกไม่ได้สบายและมีเวลาว่างขนาดนี้ แต่เพราะสัปดาห์ที่แล้วเธอเคลียร์งานทุกอย่างเรียบร้อยจึงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แต่คาดว่าต่อจากนี้คงไม่ได้หลับไม่ได้นอนอีกตามเคย

หญิงสาวใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำแต่งตัว ณภัสสรเลือกเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเขียวอ่อนคู่กับกางเกงกระบอกสีขาว แล้วจัดการรวบผมขึ้นปล่อยหน้าม้าลงมาบางๆ เท่านั้น เธอแต่งหน้าเล็กน้อยให้ดูมีสีสันไม่ซีดเหมือนศพ หล่อนสำรวจตัวเองในกระจกพบว่าเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องนอน

เมื่อมาถึงโถงกลางก็ชะงักเพราะเจ้าของห้องยืนพิงผนังรออยู่ก่อนหน้าแล้ว เขาจ้องเธอนิ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

“ไปทำงานได้แล้ว” ณภัสสรไม่ได้ตอบรับเป็นคำพูดแต่เธอเดินมาหยิบรองเท้าส้นสูงสวมเข้าทันทีบอกเป็นนัยว่าพร้อมสำหรับการทำงาน

นักรบเดินนำออกไปจากห้อง ระหว่างทางก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาจนรู้สึกอึดอัดแต่ดีที่เข้ามาภายในลิฟต์มีผู้โดยสารจำนวนมากจึงพอได้หายใจหายคอบ้างแต่ก็รู้ว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา

มาถึงรถยนต์เห็นว่าไม่ใช่คันเดียวกับเมื่อวานก็สงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไรมาก ร่างสูงเคลื่อนตัวออกจากคอนโดไปส่งณภัสสรที่บริษัทก่อน ระหว่างทางโทรศัพท์ของคนขับรถกิตติมศักดิ์ก็ดังขึ้นแต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะรับเสียทีปล่อยให้มันดังสร้างความรำคาญจนหล่อนต้องหันมามอง

“ถ้าไม่รับก็กดตัดสาย มันหนวกหู” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นทำให้ใบหน้าคมยกยิ้ม

“ไม่อยากตัด กดรับให้ทีมือไม่ว่าง” บางทีเขาก็น่าหมั่นไส้จนอยากจะทุบหลายๆ ครั้ง เธอเมินหน้าหนีไม่ยอมทำตามความต้องการของร่างสูง

“มีมือก็รับเอง” เธอยกมือขึ้นกอดอกแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นไม่ทันเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่ม และเมื่อหล่อนอนุญาตนักรบก็กดรับโทรศัพท์พร้อมเปิดลำโพงทันที

“สวัสดีครับ”

‘นึกว่าคุณรบจะไม่รับสายแล้วซะอีก’ เสียงจากปลายสายอ่อนหวานจนหญิงสาวซึ่งนั่งข้างคนขับรถรู้สึกลำคอแห้งผาก

“รับสิครับ ผมไม่มีทางใจร้ายตัดสายคนสวยได้ลงคอหรอก” อยากจะหันไปบอกให้เขาปิดลำโพงก็ไม่อาจทำได้เพราะศักดิ์ศรีมันค้ำคอ

‘ปากหวานจังเลยนะคะ ไม่รู้ว่าอย่างอื่นจะหวานด้วยหรือเปล่า’ คำพูดสองแง่สองง่ามทำเอาร่างบางกำมือที่กอดอกแน่น พยายามระงับอารมณ์เอาไว้ทั้งที่ดวงตาคลอไปด้วยน้ำสีใส ตอนไหนจะถึงที่ทำงานของเธอเสียที

“ลองชิมสิครับ แล้วจะรู้” หากทำได้ก็อยากหายตัวไปให้รู้แล้วรู้รอดจะได้ไม่ต้องรับรู้ว่าเขามีคนอื่นนอกจากเธอ

ทำไมต้องยอมขนาดนี้ด้วย..

‘ถ้าอย่างนั้นคืนนี้คุณว่างไหมคะ แนนซี่อยากชวนไปกินของหวานยามดึกน่ะค่ะ’

“ว่างสิครับ สำหรับคุณผมว่างเสมอ” เขาเอ่ยจบพอดีกับที่รถยนต์จอดหน้าบริษัทของหล่อนพอดี ณภัสสรไม่เอ่ยอะไรกับเขาไม่แม้แต่จะหันไปมองรีบเปิดประตูลงมาทันที กลัวว่าน้ำตาที่กักเก็บไว้จะไหลออกมาประจานความโง่ของตัวเองเสียก่อน

ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือไม่ที่ทำให้เธอรู้สึกด้อยค่าได้ขนาดนี้ ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยกลับมีแต่ความอ่อนล้า ไม่รู้จะทนไปได้อีกนานแค่ไหน อยากจะถามเขาเหลือเกินว่าสนุกมากไหมที่เล่นกับความรู้สึกของคนอื่น

“เอม!” เสียงเรียกทำให้หันไปมองก็พบเพื่อนร่วมงานที่เดินส่งยิ้มมาแต่ไกล เขาเดินแกมวิ่งมาหาหล่อนอย่างรวดเร็วแล้วหยุดตรงหน้า

“สวัสดีค่ะพี่อุ่น” ทักทายพี่ชายที่อยู่บริษัทเดียวกัน

วรภพหรือพี่อุ่นมีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมมักจะส่งยิ้มให้เธอเสมอและเป็นคนที่ให้กำลังใจยามโดนลูกค้าติติงงาน ชายหนุ่มให้ความช่วยเหลือเสมอจนรู้สึกเคารพ ยามมีปัญหาก็จะถามไถ่เขาตลอดและดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจมากเหลือเกิน

“มาเร็วเหมือนกันนะเรา” หล่อนไม่ได้ดูเวลาก่อนออกจากห้องด้วยซ้ำจึงทำเพียงพยักหน้ายิ้มเล็กน้อยค่อยเดินเข้าตึกสูงใหญ่ที่มีหลายบริษัทเช่าอยู่ในแต่ละชั้น

บริษัทอชิตะ พลีสถือเป็นบริษัทออกแบบน้องใหม่ที่น่าจับตามอง เพราะแม้จะก่อตั้งได้เพียงสามปีแต่กลับได้งานใหญ่มาครอบครองถึงสองงานด้วยกัน มีข่าวลือหนาหูว่าประธานบริษัทใช้เส้นสายในการหาลูกค้าแต่ข่าวเหล่านั้นก็ต้องปัดตกไปเมื่อเห็นผลงานของสถาปนิกที่ออกแบบได้สวยงามจนน่าทึ่ง ไม่แปลกใจสักนิดถ้าจะได้รับเลือกให้เป็นบริษัทชั้นนำด้านการออกแบบภายในประเทศ

พนักงานมีไม่เยอะเพราะเพิ่งเริ่มก่อตั้งและงานที่เขาก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่ แต่ว่าก็สร้างเม็ดเงินให้ไม่น้อย บริษัทอยู่ชั้นที่สิบเอ็ดและสิบสองโดยจ่ายค่าเช่าแบบรายปี คาดว่าหากทำกำไรได้แบบนี้เรื่อยๆ ก็จะแยกตัวไปสร้างอาคารของตัวเอง แต่เพราะที่นี่อยู่ใจกลางเมืองสะดวกในการเดินทางและทุกคนก็คุ้นชินแล้วจึงต้องเลื่อนโครงการย้ายสถานที่ทำงานไปอย่างไม่มีกำหนด

อีกทั้งเพิ่งขยายสาขาไปตามต่างจังหวัดที่เป็นเมืองใหญ่ของแต่ละภูมิภาคทำให้ต้องอาศัยอยู่ในตึกสูงใหญ่ซึ่งมีหลายบริษัทอยู่ร่วมกันไปก่อน

นักรบตัดสายไปนานแล้วตั้งแต่มองเห็นว่ามีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาหาผู้หญิงของตัวเอง เขามองด้วยความขัดตาทั้งขัดใจ ยิ่งเห็นใบหน้าหวานแย้มยิ้มตอบกลับก็อยากลงจากรถไปแยกสองคนนั้นให้ห่างกันเหลือเกิน

เขารู้ว่าไม่มีสิทธิ์จะทำอย่างนั้น จึงได้นั่งเจ็บใจอยู่ภายในรถไม่สามารถทำอะไรได้เลย มองตามทั้งสองเข้าไปภายในอาคารจนลับสายตาแล้วค่อยเคลื่อนรถออกไปยังบริษัทที่ตนเองทำงาน

อันที่จริงอยากลองไปทำงานที่อื่นบ้างแต่พ่อก็ไม่อนุญาตเพราะตอนนี้งานที่บริษัทเยอะเหลือเกิน ตอนเข้ามาทำงานครั้งแรกโดนคนอื่นปรามาสเอาไว้เยอะพอสมควรว่าเป็นลูกของประธานบริษัทจึงได้ตำแหน่งมาโดยง่าย

แต่เขาก็พิสูจน์ฝีมือให้เห็นว่านอกจากหน้าตาหล่อ พ่อรวยแล้วสมองยังดีอีกต่างหาก

“ไอ้แฟรงก์ตอนนี้มึงทำงานกับบริษัทนักสืบเอกชนอยู่ไหม” เขาจอดรถตรงที่ของผู้บริหารเรียบร้อยแล้วจึงกดโทรออกหาเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันสมัยมัธยมแต่ไม่สนิทเท่าไหร่

“กูอยากจ้างมึงให้สืบประวัติของคนคนหนึ่งให้หน่อย ชื่ออะไรไม่รู้แต่ทำงานที่บริษัทอชิตะ พลีสน่าจะเป็นสถาปนิก เอาให้ละเอียด ค่าตอบแทนก็ตามงานที่มึงทำ” เขากดล็อครถก่อนจะเดินเข้าอาคารบริษัทวิจิตร จำกัดค้อมศีรษะให้ยามที่ทำความเคารพเล็กน้อย ขยับสูทให้เข้าที่แล้วกดลิฟต์สำหรับผู้บริหารที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว

“มึงก็หามาทุกคนที่ทำงานที่นั่นแหละ ส่งรูปมาเดี๋ยวเลือกเองว่าคนไหน ขอไม่เกินเที่ยง กูใจร้อน”

“เออ ขอบใจ” วางสายไปก่อนจะยกยิ้มมุมปาก

เขาจะไม่ปล่อยผ่านเรื่องของณภัสสร

และผู้ชายทุกคนที่ยุ่งกับเธอ..เขาก็จะไม่ปล่อยไปเช่นกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel