๔ อดีตที่คิดถึง (๒)
คนที่โดนปกป้องยืนอึ้งไม่คิดว่านักรบจะทำขนาดนี้และเมื่อได้สติก็ถูกเขาลากออกมาเสียแล้วด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“เธอก็เหมือนกัน ตอนรับทำไมไม่ดูเลยถ้ากินแล้วแพ้หนักจะทำยังไง” เขาพาลโกรธใส่คนแพ้ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือแต่แปลกที่หล่อนไม่ได้โกรธเลยสักนิด กลับอุ่นวาบในหัวใจยามที่มีคนเป็นห่วง
ขนาดแม่ยังไม่รู้เลยว่าเธอแพ้กุ้ง
“ขอโทษ” เอ่ยเสียงเบาพลางเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวสูงทำเอาคำที่กำลังจะพ่นออกมาต้องเก็บเงียบดังเดิม นักรบรู้สึกแพ้กับสายตานั่นจนเกิดอาการร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ
“อือ ทีหลังก็ระวัง ทำไมอากาศประเทศไทยมันร้อนแบบนี้วะ” ว่าจบก็เปิดของที่ซื้อมากินโดยเลี่ยงไปอีกทางเพราะยังไม่อยากมองใบหน้าที่มีแว่นสายตาปกปิดกว่าครึ่ง
ทั้งที่เธอก็ไม่ได้ดูสวยสะดุดตาหรืองามผุดผาดแบบพี่สาวแต่ทำไมเมื่อสักครู่ณภัสสรถึงได้เปล่งประกายจนเขาแทบละสายตาไม่ได้แบบนี้ ยิ่งแววตากลมโตภายใต้แว่นตาหนาเตอะนั่นอีก มันปิดบังความสวยของหล่อนไปกว่าครึ่ง
ร่างสูงร้อนจนอยากกระโดดน้ำเผื่ออาการที่เป็นอยู่มันจะหายไปเสียที อาการที่เหมือนคนตกหลุมรัก!
อดีตแสนหวานหายลับไปมีเพียงปัจจุบันที่กลายเป็นเหมือนสงครามเย็น ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาก่อนและยามที่เขาจอดรถอยู่ภายใต้คอนโดมิเนียมหรูเธอก็รู้ชะตากรรมของตัวเองทันที ไม่คิดปริปากอ้อนวอนให้ไปส่งที่บ้าน ทำเพียงเปิดประตูรถเดินตามลงมาเงียบๆ เท่านั้น
เกลียดบรรยากาศแบบนี้ มันเหมือนว่าเธอกำลังจมน้ำอยู่ทั้งที่ว่ายน้ำเป็นแต่แขนขากลับไม่มีแรง ทำเพียงรอความตายอย่างทุรนทุราย ภายในลิฟต์ที่มีผู้โดยสารคนอื่นอยู่ทำให้พวกเธอทำราวคนไม่รู้จักจนกระทั่งมาถึงชั้นบนสุด
นักรบคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ก่อนจะกระชากให้เดินตามสุดแรง เขาใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการเปิดเพ้นเฮ้าส์ก่อนจะเหวี่ยงหล่อนเข้ามาภายในอย่างไม่ปราณี ใบหน้าคมเครียดจนเห็นเส้นเลือดนูนขึ้นข้างขมับสร้างความอึดอัดให้แก่คนมอง
“เธอมีความผิดสามกระทงนะ” เขาเดินเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ ในขณะที่ณภัสสรก็ก้าวถอยหลังจนชนโต๊ะกลมที่ตั้งแจกันไว้ตรงโถงกลาง
“กระทงแรก..ไม่รับสายฉัน” มันเรื่องตั้งแต่เช้าที่เป็นเหตุให้เธอต้องไปเดินดูเขาหวานกับพี่สาวทั้งที่ใจเจ็บปวดนักหนา
“กระทงที่สอง..ตบหน้าฉัน” รอยแดงบนใบหน้าคมยังเด่นชัดและนั่นสร้างรอยยิ้มเล็กน้อยแต้มที่ริมฝีปากเล็กจนนักรบต้องเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ดูเธอสะใจนะ แต่รับรองว่าถ้าเจอบทลงโทษต่อจากนี้เธอจะจำจนไม่กล้าทำอีกเลยล่ะ” ไม่ว่าจะบทลงโทษไหนมันก็ไม่ต่างจากครั้งที่ผ่านมาหรอก เขาไม่เคยดีกับเธออยู่แล้ว
“กระทงที่สาม..รับสายผู้ชายคนอื่น”
“เขาไม่ใช่คนอื่น เขาเป็นแฟนฉัน” ย้ำชัดถึงความจริงจนนักรบแทบคลั่ง ดวงตาคมจ้องใบหน้าหวานนิ่งก่อนกระชากเธอเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม
“เป็นแฟนกับอีกคน แล้วมานอนกับอีกคน แถวบ้านเธอเรียกว่าอะไร..บ้านฉันเรียกผู้หญิงมักง่าย” คำพูดเจ็บแสบถูกส่งให้ร่างบางจนสะท้านในอก
คิดว่าเธออยากตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เป็นคนในความลับของเขาที่ไม่มีไม่ได้อะไรตอบกลับมาเลยแม้กระทั่งความรัก บางทีชาติที่แล้วอาจทำเวรทำกรรมกับเขาไว้มากจึงต้องมาชดใช้กันในชาตินี้ แต่อยากถามเหลือเกินว่ามันพอหรือยังกับความเจ็บปวดที่เธอได้รับมาตลอด
เขายังต้องการให้เจ็บมากขนาดไหนเหรอ
“ฉันไม่ใช่” ย้ำชัดทั้งที่แววตาสั่นไหว น้ำตาร่วงลงมาทันทีจนคนที่กล่าวหาเริ่มผ่อนแรงที่บีบไหล่เล็ก
ณภัสสรไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้อีกเพราะก้อนสะอื้นมันจุกคอ ได้พูดมากกว่านี้น้ำตาคงไหลเยอะจนไม่สามารถห้ามได้ เธอไม่อยากอ่อนแอต่อหน้าผู้ชายที่ชอบรังแกตัวเอง
“บอกเลิกมันซะ” เขาขู่เสียงเข้มแล้วปล่อยมือออกจากไหล่ของเธอ อยากเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาแต่หล่อนก็ยกมือขึ้นปาดมันออกอย่างรวดเร็วพร้อมเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“ฉันไม่เลิก เพราะฉันรักเขา” เธอย้ำคำว่ารักให้ชัดเจนราวต้องการบอกกับคนตรงหน้า แต่เขากลับแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจเหมือนไม่สนกับสิ่งที่ณภัสสรพูดหรือไม่เขาก็ไม่เชื่อในคำว่ารักนั้น
“แน่ใจเหรอที่บอกว่ารักมันน่ะ แน่ใจใช่ไหม” เขาย่างเท้าเข้ามาหาพลางไล่ต้อนร่างเล็กที่เดินถอยหลังเลี้ยวไปทางห้องโถงด้านซ้ายเรื่อยๆ
“แววตาของเธอมันไม่ได้บอกแบบนั้นเลยนะ ยิ่งตอนที่ฉันเข้าไปในตัวของเธอมันยิ่งบอกว่าหัวใจของเธอมอบให้ฉันแล้ว” หล่อนเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินเขาเอ่ย
“ผู้หญิงมักปากไม่ตรงกับใจ บอกให้หยุดแต่ร่างกายกลับตอดรัดมันหมายความยังไงเหรอ” ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปาก
“มันหมายความว่าเธอต้องการฉันไงล่ะ” แผ่นหลังบางติดกับผนังจนไม่สามารถถอยหลังไปได้อีก เขากักหล่อนไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างพร้อมโน้มหน้าเข้าไปที่ใบหน้าหวานห่างกันไม่ถึงคืบ ยิ่งเห็นดวงตาสั่นไหวทั้งที่หน้ายังนิ่งก็ยิ่งมั่นใจ
“เธอไม่ได้รักมันหรอก คนที่เธอรักคือฉันต่างหาก” เขาบอกอย่างมั่นใจก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าณภัสสรยิ้มเยาะ
“รักเหรอ คำนั้นเก็บไปโยนทิ้งถังขยะเถอะ เพราะฉันไม่เคยรักนายเลย” จ้องตาเข้าไว้นิ่งยามที่บอกปฏิเสธกับข้อสันนิษฐานของอีกฝ่าย ทั้งที่หัวใจสั่นไหวแต่การแสดงออกมากลับดูราวกับว่าหล่อนรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
บางทีคนที่เหมาะจะเล่นละครอาจไม่ใช่ณปภาหรอก แต่เป็นเธอต่างหาก
“การที่ฉันอยู่กับนายทุกวันนี้มันไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะนายแบล็คเมล์ฉันต่างหาก” มันคือความจริงที่นักรบพูดไม่ออก การที่เธอยังอยู่ก็เพราะเขาใช้คลิปเสียงและคลิปวีดีโอเพื่อหาผลประโยชน์จากเธอ มันไม่ใช่เพราะความรักอย่างที่พยายามหลอกตัวเอง
ณภัสสรไม่ได้รักเขา เธอไม่เคยรักเขาเลยสักครั้ง
“คนอย่างนายไม่สมควรจะได้รับความรักจากใคร” พูดจบเขาปิดปากเธอด้วยริมฝีปากของตัวเอง มือหนาจับที่ท้ายทอยหล่อนเพื่อไม่ให้หันหน้าหนีไปได้ก่อนจะบดขยี้ปากเล็กที่พ่นแต่คำร้ายกาจมาทำลายหัวใจไม่หยุด
ไม่มีความอ่อนโยนสักนิดในการกระทำ มีเพียงแรงอารมณ์ที่มากจนณภัสสรรู้สึกได้ พยายามผลักออกและทุบตีมากแค่ไหนเขาก็ไม่ไหวติงอาจไม่รู้สึกถึงความเจ็บเสียด้วยซ้ำ กลิ่นคาวเลือดคลุ้งขึ้นจมูกเพราะชายหนุ่มกัดริมฝีปากล่างของเธอเป็นการลงโทษที่ปากดี
บางทีเธอก็มักจะทำให้ตัวเองเจ็บตัวอยู่เสมอด้วยการใช้คำพูดว่าเกลียด..หรือไม่รัก ซึ่งมันทำร้ายจิตใจของคนฟังจนแทบกระอัก และนักรบก็มักจะจัดการด้วยวิธีของตัวเองเช่นครั้งนี้เป็นต้น
ไม่มีการพูดจาด้วยเหตุผลมีเพียงแรงอารมณ์ความจริงจึงไม่ปรากฏ
ความจริงที่ว่าเขาสองคนรักกันมากแค่ไหน...
“ฉันจะขังเธอไว้ในกรง ตลอดไป” เขาผละออกเล็กน้อยเพื่อเอ่ยวาจาที่รังแต่จะสร้างความทรมานให้คนฟัง
“นายไม่มีวันขังฉันได้หรอก เพราะฉันไม่ใช่นกของนาย” เธอจ้องเขาตอบอย่างไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน หล่อนจะไม่ยอมอยู่ในกรงขังของเขาเด็ดขาด ต่อให้เขาเข่นฆ่าจนตายก็ไม่มีวันยอม
“ได้ แล้วเรามาดูกันว่าใครจะชนะ” เขาทุบผนังห้องเสียงดังจนหล่อนสะดุ้งก่อนจะเดินออกไปจากเพ้นเฮ้าส์โดยปล่อยณภัสสรเอาไว้เพียงลำพัง
และเมื่อลับหลังคนตัวสูงสถาปนิกสาวก็ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไร้เสียงสะอื้น หัวใจบีบรัดจนต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอกด้วยใบหน้าเจ็บปวด
เมื่อไหร่อาการเหล่านี้จะหายไปเสียที เมื่อไหร่เธอจะได้รับอิสระที่เฝ้ารอมาเนิ่นนาน
หรือวันนั้นจะไม่มาถึง...