๒ ส่วนเกิน (๒)
“จริงเหรอคะ” คนถูกถามกลับไม่ตอบราวต้องการกวนประสาทณภัสสรจนหล่อนต้องกำมือแน่นจ้องเขานิ่งพลางบังคับทางสายตาให้ตอบตกลง
“เอ่อ..” ดูท่าว่าคนขี้แกล้งจะยังไม่สาแก่ใจทำทีเป็นนึกคิดนานจนหัวใจของนักออกแบบหน้าใหม่แทบจะหลุดออกจากอกอยู่รอมร่อ
“ครับ จริงอย่างที่เอมบอก ผมคิดถึงพลูเลยมาหา” กลัวว่าร่างบางจะหัวใจวายเสียก่อนจึงได้ตอบรับทั้งที่ความจริงไม่ใช่เลยสักนิดเพราะหญิงที่เขาคิดถึงไม่ใช่คนพี่แต่เป็นคนน้องต่างหากเล่า
นอกจากบอกแล้วนักรบยังดึงตัวดาราสาวเข้ามาสวมกอดเอาไว้ต่อหน้าต่อหน้าณภัสสรที่ยืนมองนิ่งราวไม่รู้สึกรู้สาทั้งที่ความจริงข้างใจแทบระเบิดเป็นจุณ การเห็นคนพลอดรักกันไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บเลยสักนิดหากผู้ชายคนนั้นจะไม่ใช่เจ้าของดวงใจ
หล่อนก้มหน้าลงกล้ำกลืนน้ำตาให้ไหลกลับไปราวสั่งได้ทั้งที่ยากแสนเข็ญ ดวงตากลมโตแดงก่ำก่อนจะเดินหนีออกจากที่แห่งนั้นโดยไม่พูดจาปล่อยให้คู่รักได้อยู่ด้วยกันหลังจากที่เธอกักตัวเขาเอาไว้นาน
นักรบผละมองตามแผ่นหลังบางและยกยิ้มมุมปากสมใจค่อยผละห่างจากหญิงสาวพลางจ้องใบหน้าหวานที่ระบายยิ้มให้
นึกสงสัยตัวเองว่าเหตุใดใจไม่เคยเต้นแรงกับผู้หญิงคนนี้เลยทั้งที่หล่อนคือดาราดังระดับประเทศ ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่ามอง กิริยามารยาทก็อ่อนหวานงดงาม มองทีไรก็เพลินจนไม่อาจละสายตาได้ ทว่า..เขากลับไม่รู้สึกพิเศษอะไรมากไปกว่าการมองดอกไม้ที่ปักอยู่บนแจกันใบสวย
มีไว้ประดับแต่ก็ไม่ได้ให้ความชุ่มชื่นต่อใจ
“พลูก็คิดถึงรบค่ะ” บอกอย่างจริงใจเพราะแทบไม่ได้เจอว่าที่คู่หมั้นเลย เขาหายเข้ากลีบเมฆอาจเพราะงานที่ยุ่งหรือติดพันอย่างอื่น
แต่เธอก็ภาวนาให้เป็นเหตุผลแรก
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราไปเดทกันดีไหม” เสนอความคิดเห็นและคนที่เฝ้ารอก็เห็นดีด้วยพยักหน้าอย่างแข็งขันก่อนจะเดินเข้ามากอดแขนหนาเอาไว้อย่างรวดเร็ว หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่ล้นเปี่ยม
“ไปค่ะ พลูอยากไปเดทกับรบ” หล่อนเขย่งปลายเท้าขึ้นหวังจะจุมพิตข้างแก้มเขาเป็นรางวัลทว่าชายหนุ่มกลับหันหน้าไปทางอื่นพลางยกโทรศัพท์ขึ้นมารับเสียก่อน
“ผมขอตัวสักแปบนะ” การกระทำเมื่อครู่ถูกเมินอย่างน่าอับอาย ร่างบางแก้มแดงซ่านจากการจู่โจมของตนที่เขาเป็นคนทำลายมันพัง ณปภามองแผ่นหลังกว้างที่เดินออกไปคุยโทรศัพท์แล้วคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ
ถ้าเป็นเอมทำแบบเธอเขาจะปฏิเสธไหม เขาจะทิ้งสายที่โทรเข้าหรือเปล่า
แต่ก็ต้องสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป เธอจะเอาน้องที่ด้อยกว่ามาเทียบทำไมในเมื่อมองจากมุมไหนณภัสสรก็แพ้ทุกทางอยู่แล้ว
ไม่มีวันชนะหรอก..ไม่มีวัน
นักออกแบบสาวขึ้นมาบนห้องด้วยอาการอ่อนแรงแล้วนั่งลงบนเตียงในขณะที่ดวงตาเหม่อลอย พยายามสูดลมหายใจเข้าก็เจ็บเสียดที่หัวใจแม้จะผ่อนลมหายใจก็สะท้านไปทั่วอก บางทีร่างกายเธออาจกำลังจะแตกหักจากน้ำมือของตัวเองที่กล้าเดินเข้าไปเหยียบกองไฟ
ที่กำลังโหมกระหน่ำพร้อมแผดเผา รู้ว่าอันตรายก็ยังเดินลงไปไม่หักห้ามใจว่ามันอาจทำให้เธอตายทั้งเป็น
และวันนั้นก็อาจมาถึงในไม่ช้าเพราะดูท่างานที่เคยพูดไว้มานานคงกำลังจะเกิดขึ้นเป็นแน่
งานแต่งของพี่สาวและว่าที่คู่หมั้นหนุ่มสุดหล่อ คงกลายเป็นงานที่ยิ่งใหญ่สมกับตำแหน่งดาราสาวชื่อดังกับหนุ่มนักธุรกิจรายใหญ่ของประเทศ ส่วนเธอก็คงเป็นแค่คนร่วมงานหรือไม่ก็เพื่อนเจ้าสาว..
ไม่สิ ตำแหน่งเพื่อนเจ้าสาวคงถูกจับจองด้วยเพื่อนดาราของณปภาจนหมด เธออาจทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของพี่สาวเท่านั้น
มือเล็กยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลเป็นสายออก พยายามข่มใจไม่คิดอะไรแต่ก็เป็นไปได้ยากในเมื่อภาพที่เห็นเมื่อครู่มันชัดเจนเหลือเกิน เขาทั้งสองคนรักกันแล้วนักรบจะเอาเธอไปเป็นตัวต่อรองทำไม
คิดว่าเธอไม่มีหัวใจเจ็บไม่เป็นอย่างนั้นเหรอ หรือต้องการเอาคืนที่ครั้งนั้น...เธอเป็นคนปฏิเสธความรู้สึกของเขา
ร่างบางคนวนเวียนกับคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้โดยไม่รู้เลยว่าภัยกำลังจะมาถึงตัวเองในไม่ช้าเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมการเรียกของพี่สาวที่ลอดเข้ามาในห้องทำให้เธอต้องรีบเช็ดน้ำตาแล้วมองกระจกว่าตาหายแดงหรือยังก่อนจะเดินไปเปิด
“เอมว่างไหมจ๊ะ” เสียงหวานที่เอ่ยถามขัดกับดวงตากลมที่จ้องเขม็งจนคนมองต้องลอบกลืนน้ำลาย
“เอ่อ”
“ว่างสิ วันนี้วันหยุด เอมก็ต้องว่างอยู่แล้ว” ร่างสูงที่ไม่อาจทราบได้ว่าขึ้นมาบนชั้นสองได้อย่างไรปรากฏตัวพร้อมกับเอ่ยแกมบังคับไปในตัวจนคนถูกถามจนปัญญาจะตอบเพราะนอกจากสายตาจากพี่สาวที่กดดันแล้วยังมีนักรบที่เสริมทัพด้วยอีกคน
“ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ พี่เข้าใจ” บอกเสียงเรียบทั้งที่ในใจกำลังปะทุได้ที่
อันที่จริงก็สงสัยอยู่แล้วว่าเหตุใดชายหนุ่มที่แทบไม่โผล่มาให้เห็นหน้าถึงจะชวนเดทโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยจนกระทั่งได้ยินประโยคต่อมาทุกอย่างก็กระจ่าง
‘แต่เราไปสองคนก็ดูจะน่าเบื่อ ชวนเอมไปด้วยดีไหม’ แค่นั้นณปภาก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่การเดท ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด
‘ถ้าเอมไปด้วยจะเรียกว่าเดทได้ไงคะ’
‘ได้สิ ไม่เห็นมีปัญหาเลย ดีซะอีกเอมจะได้ไปช่วยพลูถือของถ้าขากลับเราแวะซื้ออะไร’ ข้ออ้างสารพัดที่เขาจะหามาเพื่อทำตามความต้องการของตัวเอง
‘รบก็ช่วยพลูถือก็ได้นิคะ พลูซื้อไม่เยอะหรอก’ กอดแขนเขาพลางเอนศีรษะซบอย่างออดอ้อนแต่ดูเหมือนร่างสูงจะไม่ให้ความร่วมมือซักเท่าไหร่
‘พลูเป็นดารานะ ถ้ามีคนถ่ายรูปจะทำยังไง ผมว่าให้เอมไปด้วยน่าจะตัดปัญหาเรื่องข่าวดีที่สุด’ อยากจะกรีดร้องโวยวายเหลือเกินว่าเธอยินยอมจะเป็นข่าวกับเขาจนตัวสั่น อยากให้นักข่าวหรือคนทั่วไปถ่ายรูปไปลงโซเชียลด้วยซ้ำ แต่เมื่อเงยหน้ามองใบหน้าคมก็ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ในเมื่อแววตาคบกริบกำลังบังคับอยู่ในที
ถ้าหากว่าเมื่อหลายปีก่อนเธอไม่ให้ชะเอมไปเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ ป่านนี้ใจของเขาก็คงยกให้เธอใช่ไหม..
“แต่ผมว่าเอมน่าจะว่างนะ จริงไหม” แม้ริมฝีปากจะแย้มยิ้มทว่าแววตาคมกลับมองมาอย่างกดดันราวต้องการจะสื่อว่าหากไม่ทำตามพี่สาวอาจล่วงรู้ถึงคลิปนั้นก็เป็นได้
“ค่ะ ว่าง” ก้มหน้าตอบรับเสียงแผ่วรู้ดีแก่ใจว่าณปภาคงโกรธเป็นแน่ และก็เป็นจริงเพราะพี่สาวกำมือแน่นพยายามควบคุมตนเองไม่ให้เข้าไปทุบตีหรือทำร้ายร่างกายน้องสาวอย่างคนไร้วุฒิภาวะ สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนหันไปยิ้มให้ว่าที่คู่หมั้น
“ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะ พลูขอไปเปลี่ยนชุดก่อน” เธอเดินหันหลังเข้าห้องในขณะที่ณภัสสรเองก็ตั้งท่าจะปิดประตูทว่าร่างสูงไวกว่าจับกลอนเอาไว้ได้พร้อมใช้แรงยึดเอาไว้แน่นจนคนตัวเล็กไม่สามารถปิดมันลงดังใจปรารถนา
“ปล่อย” บอกเสียงเบาทว่าดุดันเพราะกลัวพี่สาวที่อยู่ห้องตรงข้ามได้ยิน
“หนูรู้ใช่ไหม ว่าถ้าดื้อกับพี่อีก จะโดนอะไร” เขาถามด้วยใบหน้ากวนประสาทจนอยากพุ่งเข้าไปตบเสียเหลือเกิน ใบหน้าคมยิ้มยียวนราวเป็นผู้เหนือกว่ากำลังมองลูกไก่ตัวน้อยๆ เดินวนไปมาในกำมือตัวเอง
“ฉันเกลียดนาย” ย้ำความรู้สึกของเธอให้เขารู้อีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่สะท้านเลยสักนิด
“เกลียดไปเถอะ เพราะถึงเกลียดยังไงเธอก็หนีจากฉันไม่ได้อยู่ดี” นักรบปล่อยมือออกพร้อมเดินลงไปข้างล่างปล่อยให้ณภัสสรปิดประตูเสียงดังก่อนจะกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ
เป็นจริงดังที่เขาว่าเธอไม่มีทางหนีพ้น
หากไม่ใช่เพราะวันนั้นดื่มจนเมาไม่ได้สติเรื่องทุกอย่างก็คงไม่เป็นแบบนี้ ทั้งที่หนีจากเขามาได้เจ็ดปี แต่สุดท้ายก็เหมือนวนกลับไปที่เดิมอีกครั้ง
เวลาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย..ความทรงจำทุกอย่างยังอัดแน่นทุกอณูและมันคงไม่เลือนหายไปง่ายแน่นอน