บทที่ 6 เก็บแรง
มานพเอ่ยออกมา ประทีปถอนหายใจเขาช่วยเพื่อนไม่ได้จริงๆ ชีวิตของคนทำมาหากินไม่มีเงินเก็บมากมายแค่เลี้ยงครอบครัวไม่ลำบาก มีเงินพอไปหาหมอเวลาป่วยไข้บ้างแค่นั้น หากมานพติดคุกต้องมีเงินแสนประกันตัวออกมา พวกเขามีเงินไม่มากขนาดนั้น
“มันอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้อย่าเพิ่งคิดมาก ถ้าไม่เจอศพก็แสดงว่าหมอสองคนนั่นยังไม่ตาย เราคิดในทางดีไว้ก่อน พวกเขาต้องปลอดภัย”
เสียงของเพื่อนเหมือนดังอยู่ไกลๆ หนุ่มใหญ่เพ่งสายตาฝ่าความมืดพ้นแสงไฟฉายดวงใหญ่ของเพื่อนที่ส่องทางขณะเรือแล่นกลับเข้าฝั่ง เขาอยากเห็นอะไรบางอย่างแทรกอยู่กับความมืดเหนือผิวน้ำ อยากเห็นเงาตะคุ่ม อยากได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือแต่ทุกอย่างมีแต่ความเงียบมีเพียงเสียงสายน้ำไหลเชี่ยวเท่านั้น
อนุพนธ์ ไวทิน เดินไปเดินมาสวนทางกันบ้างเกือบชนกันบ้าง ดารินลุกจากเก้าอี้ดึงแขนไวทินให้นั่งที่เก้าอี้ข้างหล่อนและดึงแขนอนุพนธ์นั่งข้างวิภาวีแล้วชี้นิ้วมาที่หน้าเขาก่อนจะหันไปชี้ใส่หน้าไวทิน
“ห้ามลุกนะมึง เดินจนพวกกูปวดหัวจะอวกแล้วเนี่ย มึงสองคนเดินจนถึงกรุงเทพฯ มันก็ไม่หายเครียดหรอก รอฟังข่าวจากผู้ใหญ่ เราทำได้แค่นี้”
หล่อนพูดแล้วทรุดนั่งที่เดิม ผ่องศรีมองสองหนุ่มกับสี่สาวอย่างเห็นใจ พวกเขาเป็นห่วงเพื่อน ผู้ใหญ่กับลูกบ้านออกไปตามหาหมออีกสองคนนานแล้วยังไม่กลับ โทรศัพท์มาบอกเป็นระยะว่าไม่พบใครและเงียบหายไปนานกว่าชั่วโมง หล่อนโทร.ไปก็ไม่รับสาย ลางสังหรณ์บอกกับหล่อนว่าสามีของหล่อนตามหาหมอทั้งสองไม่พบ
เสียงรถแล่นเข้ามาจอดลานดินหน้าบ้านผู้ใหญ่ รถอีกสองสามคันแล่นตามกันเข้ามา ผู้ใหญ่ธงชัยโดดลงจากรถด้านผู้โดยสารข้างคนขับและอำพนลูกชายคนเดียวของผู้ใหญ่ก้าวลงทางด้านคนขับ ประตูด้านหลังมีลูกบ้านอีกสองสามคนก้าวตามลงมา
รถกระบะมีคนก้าวลงมา พวกเขาเดินมารวมตัวที่เพิงประชุมลูกบ้านของผู้ใหญ่ มานพ ประทีปและทองกรมารวมกับกลุ่มชาวบ้าน ไวทินลุกจากเก้าอี้ก้าวยาวๆ ไปหามานพ
“น้า เจอเพื่อนผมมั้ย เจอมั้ยน้า”
“ไม่เจอหรอกหมอ พรุ่งนี้เราจะตามกันอีกที วันนี้ดึกมาก มองอะไรไม่เห็น ฝนก็ทำท่าจะตกอีก เราไปไกลมากก็..ยังไม่เจอ”
ผู้ใหญ่เป็นคนตอบคำถามของไวทิน น้ำเสียงของผู้นำหมู่บ้านเบาลง อำพนมองหน้าพ่อ เขารู้ว่าพ่อลำบากใจที่จะตอบคำถามของหมอทุกคนที่รอฟังข่าวของเพื่อนรัก เขาก้าวมายืนข้างพ่อแล้วพูดขึ้น
“ผมรู้ว่าหมอเป็นห่วงเพื่อนมาก พรุ่งนี้เราจะตามอีกครั้ง ยังไงเราต้องเจอเพื่อนพวกคุณ เราต้องตามจนเจอแหละครับ”
หมอหนุ่มสาวมองคนพูด ผ่องศรีเดินเข้ามายืนข้างลูกชายแนะนำลูกกับหมอทั้ง 6 คน
“อำพนลูกชายฉันเองจ้ะหมอ ไอ้พนเพิ่งจบปริญญา กลับมาอยู่บ้านไม่กี่เดือนนี่เอง ยังไม่ได้ทำงานที่ไหน มันมีเวลาตามทั้งวัน หมอไปกินข้าวกันก่อนดีมั้ย”
“อะไรแม่ผ่อง นี่ยังไม่หาข้าวให้หมอกินกันอีกเหรอ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วนะ”
ผู้ใหญ่ธงชัยหันมาเสียงดังใส่ภรรยา ผ่องศรียิ้มกับสามีไม่รู้จะพูดอย่างไรเพราะนอกจากจะเตรียมอาหารจัดเป็นสำรับให้หมอหนุ่มกับหมอสาวทานแล้ว ยังเชิญไม่รู้กี่สิบรอบ หมอก็ยังคงปฏิเสธและไม่แตะต้องแม้น้ำในขันเงินใบใหญ่ที่ตั้งไว้บนโต๊ะ
“น้าผู้ใหญ่อย่าว่าอะไรน้าผ่องเลยค่ะ พวกหนูไม่กินเอง หนูเป็นห่วงเพื่อน กินอะไรไม่ลงหรอกค่ะ หนูขอโทษนะคะถ้าทำให้ลำบากกัน”
มัทนายกมือไหว้ผู้ใหญ่กับชาวบ้านทุกคน ผู้ใหญ่ยกมือรับไหว้แล้วเดินมายืนตรงหน้าหล่อน
“หมอ ยังไงก็ต้องกินข้าวกันนะ เก็บแรงไว้พรุ่งนี้ ถ้าหมอจะออกตามหาเพื่อน เราต้องแข็งแรงนะหมอ ไอ้พน ไปยกสำรับลงมากินกันที่โต๊ะนี่แหละ ข้าวมีเยอะมั้ยแม่ผ่องให้พวกนี้กินพร้อมกันค่อยแยกย้ายกลับบ้าน พรุ่งนี้ฉันขอแรงพวกเราอีกนะ”
ธงชัยหันไปมองลูกบ้าน มองประทีป ทองกรและหยุดที่มานพ เขาเดินกลับมายืนตรงหน้ามานพ ยกมือขึ้นตบไหล่หนุ่มรุ่นน้อง
“ไม่ต้องคิดมาก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”
“แต่ฉัน...”
มานพน้ำตาไหลก้มหน้าลงมองพื้น ทุกสายตารวมอยู่ที่ใบหน้าของเขาและวินาทีนั้น ฟ้าแลบแปล๊บแสงสว่างสาดเข้าตาทุกคน