บทที่ 5 ยังหวัง
“ไอ้นุ มึงจะพูดทำไม มันเกิดขึ้นแล้วก็แล้วไป”
ไวทินเสียงเข้ม ไม่อยากได้ยินเพื่อนซ้ำเติมตัวเอง ดารินกับมัทนามองอนุพนธ์
“ไอ้นุ อย่าโทษตัวเอง อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ทุกเวลานั่นแหละ”
ดารินพูดขึ้นแล้วหันไปมองวิภาวีกับลักษมี ทองกรเอ่ยออกมา
“พวกคุณไปเรือไอ้ทีป ผมจะไปตามเพื่อนคุณ ไอ้นพเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมากับไอ้ทีป”
“เออ.”
มานพรับคำเพื่อน ตอนนี้เขาเชื่อเพื่อนทุกอย่าง เขายื่นมือรับหญิงสาวจากเรือเพื่อนและชายหนุ่มคนสุดท้าย
“ขอบใจมากกร กูกับไอ้ทีปจะรีบมา”
“ถ้ายังไง บอกผู้ใหญ่ให้หาคนออกช่วยตามด้วย”
“เดี๋ยวกูจัดการเอง”
ประทีปตอบแทนมานพ พวกเขารู้ว่ามานพไม่มีกำลังใจจะคิดอะไรในตอนนี้นอกจากตามหาผู้โดยสารของเขาให้ครบตามจำนวนที่นั่งเรือออกมา หากมีใครสูญหายนั่นหมายถึงชีวิตของเขาต้องจบลงที่ห้องขัง
ทองกรมองเรือเพื่อนแล่นห่างออกไป เขาหันมามองเสื้อสีส้มวางสงบนิ่งอยู่ตรงหน้า เสียงถอนหายใจดังออกมาอีก มือสองข้างพนมขึ้น
“หลวงพ่อสุก ท่านพญานาค สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองและดูแลพวกเราอยู่ทุกท่าน โปรดเมตตาช่วยผู้ชายกับผู้หญิงที่ยังหาไม่เจอให้รอดปลอดภัยด้วยเถิด”
เขาจรดปลายนิ้วที่หน้าผากแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์พาเรือแล่นไปตามลำน้ำโขงอันเชี่ยวกราก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขากราบอ้อนวอนรับรู้หรือไม่ เขาไม่รู้แต่เขาเชื่อ ศรัทธาและเคารพต่อสิ่งเหล่านั้น
หลวงพ่อสุกที่มีการเล่าขานกันตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดว่าเหล่าพญานาคเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก พวกเขาถือศีลแปดอย่างเคร่งครัดจึงชอบทำบุญหากมีงานบุญใหญ่ที่เมืองฝั่งซ้ายกับเมืองฝั่งขวาของแม่น้ำโขง พวกเขาจะมาร่วมทำบุญด้วยและมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง พญานาครู้จึงพากันแปลงตัวเป็นคนมากราบและขอพระพุทธรูปจากเจ้าเมืองล้านช้าง เจาะจงขอพระสุกไปกราบไหว้ที่เมืองบาดาล ทุกวันนี้พระสุกยังจมอยู่ในแม่น้ำโขง เรื่องเล่าและความศรัทธา ทำให้ชาวบ้านนับถือเคารพพระสุกสืบต่อกันมายาวนาน
เรือแล่นตามลำน้ำไปเรื่อยๆ สายตาสอดส่ายไม่หยุด ไกลออกไปเรื่อยๆ เรือประทีปตามมาทัน ทองกรโบกมือให้ ประทีปเร่งความเร็วเรือเข้ามาหา
“เจอมั้ยวะ”
“ไม่เจอว่ะ”
คำถามของมานพและคำตอบของทองกรทำให้ประทีปต้องถอนหายใจดังๆ
“หมดหวังแล้วว่ะนพ คงต้องรอข่าวขึ้น”
มานพหันมามองเพื่อนเข้าใจคำพูดนั้นแต่ยังมีความหวัง
“มึงอย่าพูดอย่างนั้นสิวะ กูยังหวังว่าจะเจอเด็กสองคนนั่น พวกเขาน่าจะปลอดภัย”
แม้จะพูดกับเพื่อนเพื่อปลอบใจตัวเองแต่ใจก็เต้นแรง มือเย็นเฉียบ เขาคงต้องติดคุก เงินประกันไม่มี เงินชดใช้ให้ครอบครัวของหมอหนุ่มสาวคู่นั้นก็ไม่มี คงต้องก้มหน้ารับกรรม
“ไอ้นพ เราตามมาไกลมากแล้วนะไม่เจอเลย ตามไปอีกก็ไม่เจอหรอก เด็กที่รอดจะออกมาด้วย กูไม่ให้มาเพราะอย่างนี้แหละกลัวมาถามไอ้กรแล้วเจอคำตอบเหมือนที่เราได้ตอนนี้ไงล่ะ”
“แต่กูยังหวัง..”
มานพหันมาตอบเพื่อนที่ขับเรือพาเขามาตามหาแพทย์หนุ่มสาวที่หายไปกับสายน้ำ ทองกรมองเพื่อนร่วมอาชีพและเป็นเพื่อนที่รักกันมาก เขาต้องพูดให้เพื่อนเตรียมใจไว้รับกับความจริง
“นพ กูก็ยังหวังเหมือนมึงนั่นแหละแต่ตอนนี้มันมืดลงทุกทีแล้ว ถ้าปาฏิหาริย์มีจริงสองคนนั้นต้องปลอดภัยต้องมีคนช่วยขึ้นฝั่ง”
“พวกผู้ใหญ่ให้เรือเร็วตามมาแล้ว เราอยู่ต่ออีกนิดได้มั้ยวะ นายอำเภอรู้เรื่องแล้วสั่งเรือใหญ่ออกตามด้วย”
มานพพูดช้าๆ ประทีปพยักหน้ากับทองกร เขาแจ้งเรื่องให้ผู้ใหญ่บ้านรับทราบ ผู้ใหญ่มาหากลุ่มแพทย์ที่ท่าน้ำและออกคำสั่งลูกบ้านตามตัวแพทย์อีกสองคนให้พบซึ่งผู้ใหญ่ก็ร่วมทีมตามหาด้วย
“เรือเร็วไปโน่นแล้ว เราตามไปเรื่อยๆ ได้มั้ยวะกร ทีป”
มานพพูดขึ้นอีก เพื่อนพยักหน้าและออกเรือพร้อมกัน จากอากาศมืดสลัวเปลี่ยนเป็นมืดตลอดสองฝั่งโขงเห็นแสงไฟจากประเทศเพื่อนบ้านว้อบแวมเป็นบางกลุ่มของหมู่บ้านริมฝั่ง บางแห่งมืดสนิทเพราะไม่มีบ้านคน
โทรศัพท์ของทองกรกับประทีปดังสลับกัน การส่งข่าวผ่านทางโทรศัพท์เกือบทุก 5 นาที เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มานพไม่ได้สนใจและเรือเร็วของผู้ใหญ่บ้านก็แล่นผ่านมา ผู้ใหญ่สั่งหยุดการค้นหาให้ประทีปกับทองกรกลับเข้าฝั่ง มานพน้ำตาไหล ไม่มีเสียงสะอื้น เขาทำให้หนุ่มสาวคู่นั้นจบชีวิตอย่างนั้นหรือ
“พรุ่งนี้กูคงต้องเข้าไปอยู่ในคุก”