บทที่ 3 เจ็บปวด
ไวทินยิ้มดีใจที่รู้ว่าเพื่อนสาวสองคนปลอดภัย เขาถามหาคนที่ยังไม่พบ
“เราต้องตามให้เจออยู่แล้วครับ”
มานพตอบก่อนประทีป ไม่ว่าจะอย่างไรเขาจะตามหาอีก 4 คนให้พบในวันนี้ เขาภาวนาอยู่ในใจให้หลวงพ่อสุกที่เขานับถือช่วยชีวิตแพทย์หนุ่มสาวให้ปลอดภัยด้วยเถิด
“น้าครับ ผมขอคุยกับเพื่อนผมได้มั้ยครับ”
ไวทินอยากได้ยินเสียงวิภาวีกับลักษมีขอให้ได้ยินเสียงเพื่อนสักนิดก็ยังดี
“ได้ครับ เดี๋ยวนะครับ ไอ้กร คุณเขาขอคุยกับเพื่อนเขาหน่อย นี่ครับ”
ประทีปส่งโทรศัพท์ให้ไวทิน เขารับโทรศัพท์มาแนบข้างหู ดารินแนบหน้าชิดกับเขาเพื่อฟังเสียงเพื่อนรักพร้อมกัน
“ไอ้หมี ไอ้วิ เป็นไงบ้าง”
“ไอ้ทิน ไอ้ดาปลอดภัยใช่มั้ย ฉันกับไอ้วิปลอดภัย ยังไม่เจอไอ้สี่คนใช่มั้ย”
ลักษมีตอบเพื่อนเสียงสั่นและถามเร็ว ไวทินนิ่งไปนิดหนึ่ง ดารินจึงตอบเพื่อนแทน
“ใช่ น้าเขาจะตามจนกว่าจะเจอ”
“เออ น้าทางนี้เขาก็จะตามต่อแค่นี้ก่อนนะช่วยน้าเขามองหาไอ้พวกนั้นก่อน”
“เออ ฉันก็จะช่วยน้าเขามองเหมือนกันแล้วเจอกันบนฝั่งนะ”
“เออๆ”
ไวทินส่งโทรศัพท์ให้มานพ เพื่อนเขาอีก 4 คนจะปลอดภัยเหมือนกับเขาหรือเปล่า เขาขอให้เพื่อนปลอดภัยทุกคน
เรือขับไปตามลำน้ำ ฝนหยุดตกชนิดขาดเม็ด ลมพัดแรงเบาลง คลื่นยังแรงแต่ไม่น่ากลัวเท่าเมื่อตอนฝนตกหนัก ดารินกับไวทินมองไปข้างหน้า ขอให้พบเพื่อนของพวกเขาอีกเถอะ ทางด้านทองกร สองสาวช่วยคนขับเรือมองทั้งสองฝั่งเช่นกัน ครู่ใหญ่วิภาวีเห็นสีส้มอยู่ข้างตอไม้ริมฝั่ง
“น้าคะ นั่นสีส้มค่ะ เพื่อนหนูใช่มั้ยคะ”
หล่อนชี้มือให้ทองกรดู น้ำเสียงตื่นเต้น ลักษมีมองตามมือเพื่อนรัก
“ใช่.น่าจะไม่เป็นอะไรนะ”
ทองกรหันเรือเข้าหาฝั่งเลียบฝั่งจนถึงตอไม้ใหญ่ที่หักโค่นจากตลิ่งลงมา สีส้มที่เห็นเกี่ยวกิ่งไม้แห้งอยู่ ลักษมีกับวิภาวีช่วยกันดึงอนุพนธ์ขึ้นเรือแต่ไม่สำเร็จเพราะเขาหมดสติ
“คุณถอยออกมาคนนึงครับเดี๋ยวผมจะดึงเขาขึ้นมาเอง”
วิภาวีผลักลักษมีออกส่วนหล่อนช่วยทองกรดึงอนุพนธ์ขึ้นเรืออย่างทุลักทุเล ลักษมีจับชีพจรเพื่อน
“ยังเต้นใช่มั้ยหมี”
วิภาวีถามด้วยหัวใจเต้นระทึก ลักษมีพยักหน้าและยิ้ม
“อือ แต่เต้นอ่อนมากคงจะเหนื่อย ไอ้นุ ไอ้นุ ไอ้นุ ตื่นสิ”
ลักษมีตบแก้มเพื่อนหนุ่มเบาๆ วิภาวีเขย่าแขนเพื่อน ทองกรมองแล้วยิ้ม เด็กหนุ่มสาวพวกนี้รักกันมากเหลืออีก 3 คน เขาโทรศัพท์บอกประทีปและได้ข่าวดีกลับมา
“คุณครับ เจอเพื่อนคุณอีกคนแล้วครับชื่อมัทนา”
“เหรอคะ ไอ้มัทปลอดภัยดีใช่มั้ยคะ”
วิภาวีถามน้ำเสียงตื่นเต้นอีกและจะเป็นอย่างนี้จนกว่าจะพบเพื่อนรักครบทุกคน
“ครับ”
“อ่ะ อ่ะ อ้ะ อ่ะ อ่ะ อ้ะ”
เสียงไอของอนุพนธ์ยิ่งเพิ่มความดีใจให้กับวิภาวีกับลักษมีมากยิ่งขึ้น
“ไอ้นุ ไอ้นุ ลืมตามองฉันเร็วๆ ลืมตา”
“เออ. ฉันตายรึยังหรือว่าพวกแกตายแล้ว”
ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นนั่งจ้องหน้าเพื่อนสาวสายตาหวาดกลัว วิภาวีจึงตบผลัวะที่หน้าของเขาจนหน้าหัน ทองกรถึงกับเลิกคิ้วสูง เพื่อนๆ เขาทำกันอย่างนี้หรือแต่ก็ยิ้มในเวลาต่อมา
“โอ๊ย กูเจ็บนะ”
“ก็เออสิ กูจะให้มึงเจ็บน่ะสิ มึงจะได้รู้ไงว่าพวกเรายังไม่ตาย ปลอดภัยทุกคน”
“ปลอดภัยทุกคน เจอครบแล้วเหรอวะ”
เขาลืมความเจ็บที่ถูกเพื่อนตบ เขาดีใจมากกว่าเจ็บในเวลานี้ วิภาวีเงียบทันทีที่เพื่อนหนุ่มพูดคำว่าครบออกมา ลักษมีนิ่งไปเช่นกัน ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงเบา
“ยังว่ะ เหลืออีกสองคน ไอ้ชลกับไอ้นีรา”
รอยยิ้มของอนุพนธ์จางหายไปอย่างรวดเร็ว เขาจำภาพก่อนที่เรือจะล่มได้ ชลชาติคว้าแขนเขาไว้ตอนที่เขาเสียการทรงตัวตกลงน้ำ ความกลัวผสมกับความตกใจทำให้เขาดึงมือเพื่อนไว้แน่นและพยายามปีนขึ้นเรือ น้ำหนักจึงเทมาฝั่งเดียวและเรือก็จมแต่ก่อนเรือจะจมชลชาติตกน้ำไปอีกทางหนึ่ง สายฝนที่ตกจนมองไม่เห็นใครและเสียงฟ้าเปรี้ยงปร้าง ทำให้เขากับเพื่อนลอยไปคนละทิศคนละทาง
“มันจะเป็นยังไงบ้างเพราะมันช่วยดึงกูเรือถึงล่มเพราะกูคนเดียว”
น้ำตาของชายหนุ่มไหลออกมาโดยไม่ปิดกั้น เขากอดวิภาวีสะอื้นกับหล่อน ลักษมีกลืนน้ำลายเหนียวหนึบ เอื้อมมือไปลูบศีรษะเพื่อนหนุ่ม กำลังจะหาคำปลอบโยนเพื่อนแต่เสียงของคนขับเรือทำให้หล่อนลืมความคิดจะปลอบอนุพนธ์และเสียงร้องไห้ของเขาก็หยุดทันที คนที่กอดเขาอยู่ผลักเขาออกอย่างรวดเร็วแล้วหันไปมองทองกรพร้อมกัน
“คุณครับ ใช่สีส้มมั้ยครับนั่นน่ะ”