พรากจากอกมารดา
เวลาผ่านไปไม่นานนักร่างสูงโปร่งของบุตรชายเพียงคนเดียวได้เดินย่างกรายเข้ามาหามารดา
“ท่านแม่ ให้บ่าวเรียกข้ามามีเรื่องอันใดจะพูดกับข้าหรือขอรับ”
“แค่ก ๆ เจ้าตัดสินใจแล้วรึยัง ร่างกายแม่อ่อนแอลงทุกวันไม่รู้ว่าจะสามารถอยู่ได้นานอีกเท่าใด” นางแสร้งถาม
“วันพรุ่งข้าจะส่งเหม่ยเหรินออกจากจวนขอรับ”
“เจ้าคิดไว้แล้วรึยังว่าจะให้นางไปอยู่ที่ใด”
“คนของตระกูลฟู่จะรับนางไปดูแล ข้าจึงไม่ได้จัดเตรียมอันใดมาก”
“ไม่ได้เป็นอันขาด!”
“หมายความเช่นไรขอรับ ที่บอกว่าไม่ได้ ไหนท่านบอกว่าขอเพียงให้นางออกจากจวนและไม่ให้คนในจวนไปพบนางก็พอแล้วนี่”
“ให้นางอยู่ตระกูลฟู่มันใกล้ไป เอาเช่นนี้ก็แล้วกันข้าจะให้นางไปอยู่กับตระกูลเสี่ยว”
“ตระกูลเสี่ยวที่ท่านว่าใช่ตระกูลพ่อค้าที่เมืองลั่วหยางใช่รึไม่”
“ใช่ ตระกูลเสี่ยวไว้ใจได้ อีกอย่างเสี่ยวชิวเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของพ่อเจ้า หากนางไปอยู่ที่นั่นข้าถึงวางใจ”
“แล้วข้าจะกล้าบอกฮูหยินของข้าได้เช่นไรขอรับ” เขาหยั่งเชิง แม้รู้ดีว่ามารดาคงวางแผนมาแล้ว
“หากเจ้าไม่กล้าบอก ข้าจะเป็นคนไปบอกนางด้วยตัวเอง”
“ลูกไม่รบกวนท่านแม่ เรื่องนี้ลูกจะบอกกับนางเองขอรับ”
หลังจากกลับจากไปหามารดาเขาได้ตรงดิ่งมาหาฮูหยินของตัวเองแทบจะทันที เพื่อปรึกษาหารือพร้อมกับเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้นางฟัง
“ข้าคิดไว้แล้วล่ะเจ้าค่ะ ว่าท่านแม่จะต้องหาทางกีดกันพวกเราสองแม่ลูกอย่างถึงที่สุด แต่ข้ายังไม่เข้าอยู่ดีว่าเหตุใดนางถึงต้องทำถึงเพียงนี้เพียงเพราะคำทำนาย”
“เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่เชื่อเรื่องงมงายแค่ไหน”
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดีเจ้าค่ะ เพียงแต่...” ฟู่ซิวไม่กล้าเอ่ยจนจบประโยค
“เพียงแต่อะไรงั้นหรือ”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าคงคิดมากไปเอง” ท้ายที่สุดนางก็มิได้เอ่ยบอกสามีและหวังเพียงขออย่าให้สิ่งที่นางคิดเป็นเรื่องจริงเถิด เรื่องที่ว่ามีคนคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง...
รุ่งขึ้นสองสามีภรรยาได้เดินมาที่รถม้าของตระกูลเสี่ยวที่มาจอดรออยู่ก่อนแล้ว
“ท่านใช่ท่านเสี่ยวชิวหรือไม่” เขาถามอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะคนท่านแม่บอกไว้บัดนี้คงเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่เหตุไฉนบุรุษตรงหน้าเขากลับยังหนุ่มและยังดูเหมือนว่าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเสียด้วย
“ข้าเป็นลูกชายน่ะขอรับ ข้าชื่อเสี่ยวอวี้ ท่านพ่อของข้าเพิ่งจากไปเมื่อเจ็ดวันก่อน”
“แล้วผู้ใดจะเป็นคนดูแลลูกสาวข้ากัน ในเมื่อบิดาของเจ้าตายแล้ว”
“เรื่องนี้ใต้เท้าไม่ต้องเป็นกังวล ก่อนท่านพ่อจะจากไปท่านฝากฝังให้ข้าเป็นคนเลี้ยงดูคุณหนูแทนท่าน”
“แต่เจ้ายังหนุ่มจะดูแลทารกได้เยี่ยงไร หากในอนาคตเจ้าแต่งงานแล้วผู้ใดจะดูแลนาง”
“ข้าไม่มีวันแต่งงานหรอกขอรับ ข้าเป็นคนรักอิสระ ไม่คิดอยากผูกมัดตัวเองเอาไว้เพราะแต่งงาน อีกอย่างข้าได้เตรียมแม่นมไว้ให้ลูกสาวของพวกท่านแล้ว โปรดวางใจเถิดขอรับ”
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร ว่าเจ้าจะดูแลเหม่ยเหรินเป็นอย่างดี” เป็นฟู่ซิวที่ถามออกไป
“ฮูหยิน แม้ตระกูลเสี่ยวของข้าไม่ได้ใหญ่โตเป็นขุนนางสูงศักดิ์เฉกเช่นตระกูลอี้ แต่ข้าก็มิได้ยากจนนะขอรับ”
“ถึงไม่วางใจและไม่ยินยอมแต่ข้าจะทำอันใดได้ เช่นนั้นฝากท่านดูแลนางให้ดี ถ้าหากนางเป็นอันใดไปข้าจะตามจองล้างจองผลาญท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่” นางบอกชายหนุ่มตรงหน้าด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“วางใจเถิดขอรับ”
“เหม่ยเหริน แม่ไม่เคยคิดอยากทิ้งเจ้าไว้กับผู้อื่น แต่เป็นเพราะเหตุจำเป็น” หญิงสาวร่ำไห้บอกกับลูกสาววัยแบเบาะ ก่อนจะสวมสร้อยคอที่ตนหวงแหนให้นาง
“ฮูหยิน...”
“ข้าฝากนางด้วยนะเจ้าคะ” นางฝากฝังไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง หลังจากส่งลูกน้อยสู่อ้อมกอดของเสี่ยวอวี้
