ชะตาขัดแย้ง
“ข้าให้เหลียนถงเอาวันเดือนปีเกิดลูกสาวเจ้าไปที่วัดก่านเยว่เพื่อตรวจดูดวงชะตาก็พบว่านางกับข้ามีชะตาขัดแย้งกัน ข้าถึงได้ป่วยออด ๆ แอด ๆ ไม่หายเสียที หากให้นางอยู่ที่จวนต่อไปไม่ข้าก็นางต้องมีคนใดคนหนึ่งตาย”
“เรื่องงมงายทั้งนั้น ท่านหมอบอกแล้วมิใช่หรือขอรับว่าเป็นเพราะท่านอายุมากแล้วจะให้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนคงจะเป็นไปไม่ได้”
“ใช่สิ พอเจ้าแต่งงานมีครอบครัวแล้วแม่คนนี้ก็หมดความหมาย” นางร่ำไห้บอกลูกชายด้วยความน้อยอกน้อยใจ
“แล้วท่านจะให้ลูกทำเช่นไรเล่า”
“ให้นางออกไปจากจวนเสีย แล้วห้ามคนในจวนไปพบหน้านางเด็ดขาด”
“ท่านแม่ไม่เพียงไม่เอ็นดูลูกของข้า แต่ยังบอกให้ข้าไล่ลูกสาวที่ยังเป็นทารกอยู่ออกจากจวนอีก ท่านช่างใจร้ายยิ่งนัก”
“ที่ข้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อตระกูลอี้ของเรา อีกอย่างถ้าข้าตายไปตอนนี้ใครเล่าจะคอยสนับสนุนเจ้า จงอย่าลืมว่าที่ตำแหน่งของเจ้ามั่นคงได้ส่วนหนึ่งก็เพราะตระกูลหลิวของข้า”
“ท่านแม่ ท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าตั้งแต่ที่ท่านแต่งเข้าตระกูลอี้ท่านก็ไม่ใช่คนตระกูลหลิวอีกต่อไป”
“ข้ามีทางเลือกให้เพียงทางเดียว ส่งนางออกจากจวนเสีย แม่หวังว่าเจ้าจะจำให้ขึ้นใจว่าความกตัญญูต่อมารดาต้องมาก่อนเสมอ”
ฝ่ายฟู่ซิวได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ทำให้นางตื่นตระหนกยิ่งนัก เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีความเชื่อเรื่องดวงชะตาเสียยิ่งกว่าอะไร บัดนี้คงขึ้นอยู่กับสามีของนางแล้วว่าเขาจะตัดสินใจเช่นไร หากเขาไม่หนักแน่นมากพอนางคงถูกพรากลูกออกจากอก แต่ถ้าหากเขายืนหยัดทัดทานเรื่องครั้งนี้ได้คงทำให้ตัวนางเองถูกมารดาสามีเกลียดชังน้ำหน้ามากขึ้นกว่าเดิมเป็นแน่ กระทั่งเวลาผ่านไปเพียงสามวันเท่านั้นข่าวร้ายที่นางไม่อยากได้ยินก็มาถึง
“ฮูหยิน” เขาเรียกนางเสียงเหมือนคนหมดแรง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
“ดูเหมือนว่าอาการป่วยของท่านแม่จะแย่ลงกว่าเดิม ข้าเกรงว่า...”
“เกรงว่าอะไรหรือ”
“ข้าเกรงว่าท่านแม่จะเป็นอันใดไป” เขาตอบเสียงเศร้า ซึ่งฟู่ซิวเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี แต่จะให้นางเป็นคนเอ่ยปากว่ายอมให้ลูกสาวเพียงคนเดียวถูกพรากไปก็คงทำไม่ได้เช่นกัน
“ฮูหยิน เป็นไปได้รึไม่ว่าเป็นเพราะดวงชะตาของเหม่ยเหรินขัดแย้งกับท่านแม่จึงทำให้อาการป่วยทรุดลงเช่นนี้”
“ท่านพี่ ท่านเชื่อเรื่องงมงายเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ”
“เดิมทีข้าไม่เชื่อ แต่พอเห็นท่านแม่อาการทรุดลงข้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ หรือว่าเราควรทำตามที่ท่านแม่บอกดี”
“เช่นนั้นท่านจะบอกว่าให้ข้าทิ้งลูกตัวเองอย่างนั้นหรือ” นางถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ใช่ว่าข้าจะให้นางอยู่นอกจวนตลอดไปเสียหน่อย รอให้อาการป่วยของท่านแม่ดีขึ้น ข้าจะให้นางกลับเข้าจวนดังเดิม” อี้เฉียวลู่รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าภรรยา แต่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เพราะเขาไม่อาจกลายเป็นลูกอกตัญญูได้เช่นกัน
สาวใช้เรือนใหญ่เข้ามารายงานเรื่องที่ตนได้ยินให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบทันที
“ที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงแน่รึ”
“จริงเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินนายท่านพูดเองกับหู”
“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด” สตรีวัยชราเอ่ย หลังจากได้ยินเรื่องดังกล่าว
“นับว่าใต้เท้ายังมีความกตัญญูต่อท่านนะเจ้าคะ”
“ก็แน่อยู่แล้ว เพราะข้าเป็นมารดาของเขานี่”
“บ่าวสงสัยอยู่หนึ่งเรื่องเจ้าค่ะ”
“เรื่องอะไรรึ”
“แค่ให้คุณหนูเหม่ยเหรินออกจากจวนก็พอแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดต้องไม่ให้คนในจวนไปพบหน้านางด้วยล่ะเจ้าคะ”
“ข้าต้องป้องกันเอาไว้ก่อน อีกอย่างข้าจะให้นางได้ลิ้มรสเสียบ้างว่าความรู้สึกที่ต้องพรากจากคนที่รักมันเจ็บปวดเพียงใด เจ้าให้คนไปเรียกเฉียวลู่มาพบข้าที”
“เจ้าค่ะ”
