๑.๔ คุณพ่อจอมเฮี้ยบ
“ปล่อย! ปล่อยหนูลงเดี๋ยวนี้นะ!”
ร่างบางดิ้นพล่านๆ เตะขาไปมา มือระดมทุบที่แผ่นหลังของเขาเป็นพัลวัน แต่แรงมือของเธอกลับไม่ระคายผิวของราชันย์สักนิด มิหนำซ้ำเขายังปราบพยศของเธอ ด้วยการฟาดมือลงบนลอนสะโพกผายเต็มแรงสามสี่ครั้งติดๆ กัน
เพียะ! เพียะ!
“โอ๊ย! ตาแก่บ้า ตีหนูทำไมวะ เจ็บนะโว้ย!”
“เด็กดื้อปากเก่งอย่างเธอ มันก็ต้องโดนแบบนี้ละ”
ราชันย์ทั้งพูดทั้งก้าวยาวๆ ตรงไปยังรถของตัวเอง เขาเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับออกแล้ววางร่างน้อยๆ ของเพื่อนลูกสาวลงบนเบาะ จากนั้นก็จัดการดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้อย่างรวดเร็ว ซึ่งปอไหมที่จู่ๆ ก็มาตกอยู่ในสถานการณ์อันเสียเปรียบและเป็นอันตรายกับตนเช่นนั้นรีบเอี้ยวตัวไปด้านขวาเพื่อจะปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย หากแต่เสียงดุๆ กลับดังขึ้นอย่างข่มขู่เสียก่อน
“อย่าปลดเชียวนะปอไหม ไม่อย่างนั้นเธอโดนหนักกว่าเมื่อกี้แน่”
ตาของเขาที่จ้องมองมาอย่างคาดโทษนั้นดุพอๆ กับน้ำเสียง ซึ่งมันก็มากพอที่จะทำให้ปอไหมชะงักงันไปชั่วขณะ กว่าจะได้สติอีกทีก็ตอนที่เขาก้าวมานั่งที่เบาะหน้าฝั่งคนขับ พร้อมกับเสียงล็อกประตูที่ดังขึ้นอย่างอัตโนมัติ
“คุณจะทำอะไร” ปอไหมหันไปถามเสียงห้วนอย่างไม่ไว้ใจต่อสถานการณ์ ทั้งยังเจ็บใจที่เมื่อครู่นี้ถูกมือหนักๆ ฟาดสะโพกไปตั้งหลายที
“ฉันก็จะไปส่งเด็กอวดดีอย่างเธอน่ะสิ แต่งตัวล่อแหลมเปิดเผยเนื้อตัวขนาดนี้ คงกลับไม่ถึงหอพักหรอก”
“ไม่มีใครเขาคิดอะไรอกุศลเหมือนคุณหรอกค่ะ”
“ก็คงไม่มีใครคิด ถ้าผู้หญิงอย่างเธอไม่หลอกล่อ”
“คุณ!”
“เธอควรจะเรียกฉันว่าคุณพ่อ”
“ใครจะไปเรียกลง...”
ปอไหมบ่นพึมพำแล้วสะบัดหน้าพรืดหนีไปมองทางหน้าต่างรถ เมื่อราชันย์เริ่มสตาร์ตเครื่องและพารถแล่นออกจากคฤหาสน์หลังงามอย่างรวดเร็ว
รถแล่นจากซอยเข้าสู่ถนนใหญ่ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ความเย็นฉ่ำของแอร์รถยนต์ทำให้ปอไหมรู้สึกหนาว แต่นั่นก็ยังน้อยกว่าความรู้สึกประหม่าอาย เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในที่แคบๆ แบบสองต่อสองกับผู้ชายแบบราชันย์ เขายังขับรถไปเงียบๆ แบบไม่เดือดร้อน และไม่คิดจะถามด้วยซ้ำว่าหอพักของเธออยู่ที่ไหน แต่สายตากลับจ้องมายังขาอ่อนของเธออยู่บ่อยครั้ง ประกายตาของเขาทำให้ปอไหมต้องเอาเป้ใส่เสื้อผ้าที่กอดอยู่มาวางทับเพื่อบดบังนวลเนื้อขาวละมุนบริเวณต้นขาของตัวเองทันที
“ไหนว่าใจกล้านักหนา แล้วจะปิดทำไมกะอีแค่ถูกมองแค่นี้ หรือว่าอายเป็นเหมือนกัน”
คำพูดนั้นทำให้ปอไหมรู้ว่าทำไมเขาถึงจงใจมองเช่นนั้น เขาอยากให้เธออาย อยากให้เธอรู้สึกผิดที่แต่งตัวแบบนี้ อยากให้เธอยอมศิโรราบต่อคำพูดติติงของเขา แต่ไม่มีทางเสียละ ถ้าเป็นผู้ใหญ่คนอื่นเธออาจจะฟัง แต่ผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยอคติกับเธอมาตลอดแบบนี้ เธอไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ เด็ดขาด
“ใครว่าปออาย ปอก็แค่จะทำตัวให้สบายขึ้นเท่านั้นเอง”
ว่าแล้วปอไหมก็ค่อยๆ ก้มลงเอาเป้วางบนที่พักเท้า จากนั้นก็จัดการแกะผมเปียสองข้างของตัวเองออก แล้วใช้มือสางผมลวกๆ และเสยมันขึ้นไปให้พ้นหน้าผาก พร้อมทั้งยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างเหมือนกับจะทำตัวให้เซ็กซี่กว่าเดิม ทำเอาราชันย์ถึงกับเสียสมาธิไปแวบหนึ่งเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยโดนผู้หญิงยั่ว เพียงแต่เขาไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะกล้าขนาดนี้
“แบบนี้ค่อยน่าสบายหน่อย คุณว่ามั้ยคะ”
“หอพักเธออยู่แถวไหน” ราชันย์ถามเสียงเข้มดุ และยังคงทำตัวนิ่งเหมือนการกระทำของเธอไม่มีผลใดๆ กับอารมณ์และความรู้สึกของเขาแม้แต่นิด
“อยู่แถวๆ หลังมหา’ลัยค่ะ”
ปอไหมตอบเสร็จก็เงียบบ้างเหมือนกัน แต่ก็มีบ้างที่เธอลอบมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาคร้ามของคนขับกิตติมศักดิ์ ซึ่งหลังจากที่ถูกยั่วเขาก็ไม่หันมามองเธออีกเลย ปอไหมไม่รู้ว่าราชันย์คิดอะไรอยู่ แต่เดาว่าไม่ใช่แง่ดีกับตัวเองแน่ๆ เพราะในสายตาเขา เธอเป็นเด็กแก่แดดมาตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องทำดีหรือทำให้เขามองว่าเธอเป็นเด็กดีให้เสียเวลา
รถออดี้รุ่นทีทีสีบรอนซ์ราคาเฉียดสามล้านตกเป็นเป้าสายตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่น้อย เมื่อราชันย์แล่นมันเข้าไปจอดที่หน้าหอพักซึ่งอยู่ในย่านหลังมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง แม้แถวนี้จะเป็นเขตพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ แต่หอพักก็ล้วนแต่สร้างอย่างหรูหราและราคาแพงเอาการเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่คนฐานะทางบ้านดีอยู่แล้วก็ไม่น่าจะมีศักยภาพที่จะเช่าอยู่ได้
“นี่น่ะเหรอหอพักของเธอ” ราชันย์หันมาถามพลางกวาดสายตามองดูภายนอกของอาคารขนาดห้าชั้นแห่งนั้น ซึ่งดูหรูหราพอสมควร
“ค่ะ” ปอไหมรับสั้นๆ กำลังจะเอี้ยวตัวมาปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำถามต่อมาของราชันย์
“คงอยู่กับแฟนสินะ”
คำถามนั้นทำเอาปอไหมอึ้งไปพักหนึ่งเหมือนกัน เพราะเกิดมาจนอายุยี่สิบสองแล้วก็ยังไม่เคยมีแฟนสักคน แต่ก็ไม่แปลกใจสักนิดที่ผู้ชายคนนี้จะคิดเช่นนั้น ในเมื่อภาพลักษณ์ของเธอในสายตาเขาก็ไม่เคยดีอยู่แล้ว
“ใช่ค่ะอยู่กับแฟน คุณนี่เดาเก่งจังเลยนะคะ” ปอไหมรับสมอ้างแบบตามน้ำในทันที ด้วยรู้ว่าต่อให้ตัวเองบอกว่าอยู่คนเดียว คนที่เต็มไปด้วยอคติอย่างคุณพ่อสุดเฮี้ยบของอุมารินทร์ก็คงไม่มีทางเชื่อ
“คนที่เท่าไหร่ล่ะ” ราชันย์ถามพลางทำเสียงบางอย่างในลำคอ ซึ่งปอไหมรู้ดีว่านั่นคือการดูถูกแกมเยาะหยัน ทว่าไหนๆ เธอก็ลอยหน้าลอยตาสู้มาแต่ต้นแล้ว สู้อีกสักตั้งจะเป็นไรไป
“เอ...ลืมนับซะด้วยสิคะ พอดีหนูเปลี่ยนแฟนบ่อย คุณรู้แค่ว่าเป็นคนล่าสุดก็น่าจะพอมั้งคะ”
“ก็เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงไม่อยากให้ยัยอุ๋มคบเพื่อนแบบเธอ”
“แหม...ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คุณเลี้ยงลูกมาดีซะขนาดนั้น ยัยอุ๋มไม่มีทางใจแตกเหมือนหนูหรอกค่ะ คุณสบายใจได้”
“ฉันไม่มีวันสบายใจหรอก ถ้าตราบใดที่เธอกับยัยอุ๋มเรียนยังไม่จบแล้วต่างคนต่างไป”
“งั้นก็ทนเครียดอีกสักอาทิตย์นะคะ เพราะเดี๋ยวหนูกับอุ๋มก็สอบเสร็จแล้ว”
“ฉันอยากให้วันนั้นมาถึงไวๆ เธอลงไปได้แล้ว”
ปอไหมรู้สึกเหมือนถูกไล่ในประโยคสุดท้ายของเขา จึงรีบเอี้ยวตัวมาปลดเข็มขัดนิรภัย ก้มหยิบเอาเป้ที่วางอยู่บนที่พักเท้าและกำลังจะขยับไปเปิดประตูรถลง แต่ร่างบางก็หยุดชะงักคล้ายกับลืมอะไรบางอย่าง และโดยที่ราชันย์ไม่ทันได้คาดคิด เด็กสาววัยยี่สิบสองก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างซุกซน
“ขอบคุณนะคะป๋าที่มาส่ง คืนนี้อย่าลืมฝันถึงหนูล่ะ”
พูดจบปอไหมก็เปิดประตูลงไปยืนอยู่ข้างๆ รถ พร้อมกับโบกมือลาราวกับเขาและเธอเป็นเพื่อนวัยเดียวกันก็ไม่ปาน
“เด็กบ้า!” ราชันย์ได้แต่บ่นตามหลังพลางส่ายหน้ากับพฤติกรรมอันสุดแก่แดดของเพื่อนลูก แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากออกรถ แล้วรีบขับกลับบ้านเพื่ออบรมลูกสาวตัวเอง