บทที่ 4 ทำลายของต้องชดใช้ (1/2)
หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายอยู่กันคนละมุมของห้องก็เพื่อที่จะสงบสติอารมณ์และความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ไหนจะเรื่องการทะลุมิติมาของเจ้าจิ้งจอกที่ไม่ว่าจะครุ่นคิดอีกกี่ครั้งก็น่าเหลือเชื่อจนไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเธอ
หลิวเมี่ยวเมี่ยวเบนใบหน้าหวานทอดสายตามองไปยังเจ้าจิ้งจอกที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นด้วยความมุ่งมั่น เขายกฝ่ามือทั้งสองขึ้นเหนือหน้าอกและกดลงไปบริเวณท้องเพื่อเรียกพลังลมปราณราวกับหนังจีนกำลังภายในที่เธอเคยได้ชมจากโทรทัศน์ ดวงตาเฉี่ยวคมของเขาหลับลงและดูสงบนิ่งจนเธอรู้สึกได้ถึงความแปลกไป
ว่าแต่เจ้าจิ้งจอกก็อยู่ห้องของเธอมาราวสองวันแล้ว เธอยังไม่ได้ถามชื่อและทำความรู้จักกับผู้ร่วมชะตากรรมที่มาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวอย่างเป็นทางการเสียที เพราะมัวแต่วุ่นวายจัดการกับหมาบ้าที่คลุ้มคลั่ง จนห้องที่ตกแต่งด้วยวัสดุชั้นดียับเยินอย่างไม่เหลือชิ้นดี
“นายชื่ออะไรอะ” หลิวเมี่ยวเมี่ยวโพล่งถามออกไปโดยลืมคิดไปว่าเจ้าจิ้งจอกกำลังตั้งมั่นอยู่ในสมาธิเพื่อเรียกพลังให้กลับคืน
“เฮ้อ ข้ากำลังจะเรียกพลังกลับคืนได้บางส่วนแล้ว แต่เจ้าก็ขัดจังหวะข้าเสียได้” ดวงตาคมเข้มเบิกขึ้นโพลงจนนัยน์ตาสีฟ้าครามของเขาจ้องเขม็งมาที่เธอจนรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ขอโทษ ๆ แต่ช่วยหยุดแล้วมาทำความรู้จักกันหน่อยจะดีกว่า เห็นทีนายคงต้องอยู่กับฉันไปอีกสักระยะ ตกลงชื่ออะไร”
“หลางเฉินจิน…” เพียงแค่ชื่อเขาก็ทำท่าจะหลับตาลงพร้อมกับทำท่าทางที่แปลกประหลาดอีกครั้ง
“นี่นาย ฉันบอกให้หยุดก่อนไม่เข้าใจหรือไง”
“สตรีนี่อารมณ์ช่างแปรปรวนนักประเดี๋ยวบอกให้ข้ารีบหาวิธีเก็บหาง พอข้าทำกลับมาบอกให้ข้าหยุดกลางคันเสียอย่างนั้น”
เจ้าจิ้งจอกบ่นอุบอิบไม่หยุด มิหนำซ้ำยังรู้จักประชดประชันเสียด้วย จนท้ายที่สุดเขาก็ต้องเลิกรวบรวมพลังและหยัดกายลุกขึ้นเดินมายังโซฟาที่หลิวเมี่ยวเมี่ยวนั่งอยู่ด้วยใบหน้าที่ยับยู่ไปด้วยความไม่พอใจ
“แล้วเจ้านามว่ากระไร” เขาเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้างหลังจากที่เขาหย่อนกายใหญ่โตนังลงบนโซฟาหนานุ่มข้าง ๆ กายของเธอ
“เรียกข้าว่าหลิวเมี่ยวเมี่ยว”
“อืม” แล้วเขาก็เงียบไป มีเพียงนัยน์ตาสีฟ้าครามเท่านั้นที่จับจ้องไปยังภาพวาดจิ้งจอกบนฝาผนังด้วยความรู้สึกที่อ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว
“คิดถึงบ้านใช่ไหม”
“ก็ไม่เชิง เพียงแต่…ข้าคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะกับข้าทุกอย่างดูแปลกประหลาดจนข้ารู้สึกกลัวขึ้นมา ข้าจะต้องรีบหาทางกลับไปให้เร็วที่สุด” น้ำเสียงของเขาดูหม่นหมองราวกับหมดอาลัยในชีวิตไปเสียอย่างนั้น
“นายบอกว่าบ้านของนาย เอ่อ พระราชวังจิ้งจอกมีภาพนี้เหมือนกันใช่ไหม” เธอถามเขาพร้อมกับชี้มือไปยังภาพจิ้งจอกเก้าหางบนผนัง
“ใช่ เหมือนกันทุกประการ”
“เช่นนั้นรูปวาดนั่น ต้องเป็นตัวกลางในการข้ามมิติแน่ ๆ”
หลิวเมี่ยวเมี่ยวพึมพำอ้างอิงจากละครที่เคยได้ดู และพอจะคาดเดาได้ว่าจะสามารถเกิดขึ้นได้จริง
“แล้วข้าจะทะลุผ่านภาพนี่ไปได้อย่างไรกัน”
หลางเฉินจินลุกขึ้นยืนก่อนที่เขาจะเดินไปยังภาพวาดขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนฝาผนัง ฝ่ามือหนาของเขาลูบไล้รูปภาพนั้นราวกับจะหาทางที่จะหวนคืนสู่มิติเดิมของเขา แต่ทว่าทุกอย่างกลับราบเรียบไปเสียหมด
“เมื่อคืนเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงพอดี จากละครที่ฉันเคยดูมา มิติเวลาก็คงจะเปิดอีกครั้งเมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวงเช่นเดียวกัน และนั่นก็ห่างกันราว ๆ 30 วัน...ห๊า 30 วันเลยเหรอ!”
หลิวเมี่ยวเมี่ยวร้องขึ้นด้วยความตกใจหลังจากที่เธอนับนิ้วเพื่อคำนวณวันที่พระจันทร์จะกลับมาเต็มดวงอีกครั้ง จนพบว่าต้องใช้เวลานานแรมเดือน และเขาก็ต้องอยู่กับเธอไปอีกเป็นเดือนเช่นเดียวกัน และเมื่อเป็นเช่นนั้นเส้นเลือดข้างขมับก็ขยับแรงขึ้นมาจนปวดหนึบ เพียงแค่สองวันเธอยังวุ่นวายและสูญเสียข้าวของไปมากมายขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าครบหนึ่งเดือนเธอจะมีชีวิตอย่างไร
“จากละครที่เคยดู คือสิ่งใด”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก ถึงอย่างไรนายก็ต้องรอคืนพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้งอยู่ดี”