บทที่ 6 หวางฮูหยินเปลี่ยนไป
"เสี่ยวลู่มาถึงจวนสกุลหวางมีธุระอันใดหรือ" หวางอี้เฉิงถามตามตรง
"ข้าทราบมาว่าเหมยเอ๋อร์โปรดปรานขนมวอวอโถว วันนี้ได้ลองฝึกทำก็เลยนำมาให้นางชิมดูเจ้าค่ะ" เอ่ยจบก็รับห่อผ้ามาจากสาวรับใช้พลางแกะออก เผยให้เห็นขนมนึ่งรูปร่างคล้ายรังนกที่ทำจากแป้งข้าวโพดหน้าตาน่ารับประทาน ส่งกลิ่นหอมฉุยออกมา
"เสี่ยวลู่มีน้ำใจ เหมยเอ๋อร์คงจะดีใจมาก"
"แล้วตอนนี้เหมยเอ๋อร์อยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ" เสียงหวานถามด้วยความสงสัย พลางกวาดตามองหาร่างเล็กที่แสนคุ้นเคย ทุกๆครั้งที่มาเยือนจวนสกุลหวาง หวางอี้เหมยจะออกมาหานางทุกครั้ง
สวีลู่ลู่รู้ดีว่าหวางอี้เฉิงชิงชังจางเหมียวเมียวผู้เป็นภรรยายิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือ ทว่าหวางอี้เฉิงกลับใจแข็งนัก แม้จะเกลียดภรรยาเอก แต่ไม่ยอมรับภรรยารอง สวีลู่ลู่รู้ว่าความรักที่นางมีให้หวางอี้เฉิงนั้นเป็นเพียงความรักข้างเดียว หวางโหวหาได้รักนางตอบไม่ นางจึงเข้าหาหวางอี้เฉิงผ่านทางหวางอี้เหมย พยายามทำตัวสนิทสนมกับเด็กน้อย เผื่อว่าสักวันหนึ่งหวางอี้เฉิงจะเห็นความดีและเปิดใจรับนาง
"ตอนนี้เหมยเอ๋อร์คงอยู่กับแม่ของนาง"
คำตอบของหวางอี้เฉิง ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้างามค้างไปเล็กน้อย หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย เดิมทีจางเหมียวเมียวเคยไยดีลูกเสียที่ไหนกัน แม้จะคิดเช่นนั้นแต่เมื่อเห็นสายตาคมมองมาที่ตนก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
"เช่นนั้น ท่านโหวพาข้าไปพบนางได้หรือไม่เจ้าคะ"
"ได้สิ" หวางอี้เฉิงตอบรับพร้อมลุกขึ้นยืน ก้าวเดินเคียงสวีลู่ลู่ออกไปจากห้องด้วยกัน
สอบถามจากพ่อบ้านฉีจึงรู้ว่าสองแม่ลูกกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาในสวนอุทยาน หวางอี้เฉิงจึงพาสวีลู่ลู่ตรงไปที่นั่น เมื่อใกล้ถึงจุดหมายได้ยินเสียงหัวเราะกังวานดังแว่วมา ในลานสายตาปรากฏร่างของสองแม่ลูกกำลังหยอกล้อกันอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะสดใสของหวางอี้เหมยทำให้ผู้เป็นพ่อจิตใจเบิกบาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรอยยิ้มร่าเริงของบุตรสาว
ในตอนที่หันไปมองร่างบางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของหวางอี้เหมย หัวใจแกร่งพลันกระตุกวาบไปหนึ่งหน ดวงหน้างามดุจหยกแย้มริมฝีปากบางออกกว้าง นัยน์ตาทอประกายระยิบระยับงดงามหาใดเปรียบ แต่ดูเหมือนว่าคนที่เป็นเป้าสายตาจะรู้ตัว จางเหมียวเมียวเงยหน้าขึ้น เพราะรู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังจับจ้องมองมา ทันทีที่ตาสบตา หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่น มองคนมาใหม่สองคนด้วยความประหลาดใจ หวางอี้เฉิงพลันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นกระแอมเบาๆเรียกสติของตนให้กลับคืนมา
ความงามของสตรีร้ายกาจผู้นั้นเป็นเพียงภาพลวงตา แม้จะงดงามแต่ภายในกลับเน่ากลวงดั่งมีหนอนชอนไช ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี!
"หลี่ซิน สตรีผู้นั้นคือใครกัน" จางเหมียวเมียวหันไปกระซิบถามบ่าวคนรับใช้คนสนิท
"นางคือคุณหนูสกุลสวีเจ้าค่ะ" หลี่ซินประหลาดใจไม่น้อยที่ได้ยินคำถามของผู้เป็นนาย แต่กระนั้นนางก็ยอมตอบแต่โดยดี
"อ้อ งั้นหรือ" จางเหมียวเมียวขานรับเสียงเบา เพราะในนิยายกล่าวถึงแค่เพียงว่า...
เดิมทีหวางโหวมีคู่หมายคือคุณหนูสกุลสวี นามว่าสวีลู่ลู่ นางเป็นหญิงงามล่มเมือง ร่ำรวยเป็นอันดับสองรองจางสกุลหวาง ความงามเป็นที่เลื่องลือไม่แพ้จางเหมียวเมียว มารดาของหวางอี้เหมย
หลังจากที่หวางอี้เฉิงสมรสกับจางเหมียวเมียว ในนิยายก็ไม่ได้กล่าวถึงตัวละครนี้อีก อาจเพราะเนื้อหาส่วนนี้เป็นเพียงเนื้อหาประกอบเล่าถึงภูมิหลังอันน่าสงสารของตัวนางร้ายหวางอี้เหมยเท่านั้น เพราะในเนื้อหาของนิยายจะเน้นเล่าถึงช่วงเวลาวัยสาวของหวางอี้เหมยมากกว่า
แต่ใครจะรู้ว่าอันที่จริงแล้ว ถึงแม้ว่าหวางอี้เฉิงจะแต่งงานกับจางเหมียวเมียวไปแล้ว แต่สวีลู่ลู่จะยังคงไปมาหาสู่สกุลหวางอยู่เสมอเช่นนี้เล่า
"หวางฮูหยิน"
"คุณหนูสวี" จางเหมียวเมียวผุดลุกขึ้นยืนกล่าวคำทักทายตอบ พลางส่งยิ้มหวานกลับคืนให้
สวีลู่ลู่รู้สึกประหลาดใจอยู่มากกับท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของจางเหมียวเมียว เดิมทีแต่ก่อนยามที่เจอหน้ากัน จางเหมียวเมียวไม่เคยมองหน้านางเลยสักหน สตรีผู้นั้นจะเอาแต่เชิดหน้า และเดินกระแทกเท้าตึงตังจากไป เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงความไม่พอใจที่ได้พบหน้าของนาง
"ท่านน้าลู่" หวางอี้เหมยเห็นสวีลู่ลู่ก็แย้มยิ้มด้วยความดีใจ แต่เมื่อเห็นผู้เป็นบิดายืนอยู่เบื้องหลังของสวีลู่ลู่ก็ก้มหน้างุด และเดินไปหลบหลังของจางเหมียวเมียวด้วยความหวาดกลัว
หวางอี้เฉิงรู้สึกปวดใจไม่น้อยที่เห็นท่าทีเช่นนั้นของบุตรสาว เพื่อไม่ให้นางรู้สึกหวาดกลัวไปมากกว่านี้ เขาจึงขอตัวเดินออกมาโดยอ้างว่าจะไปอ่านตำราที่ห้องหนังสือ
สวีลู่ลู่มองตามร่างสูงที่เดินจากไปตาปรอย ก่อนจะหันมามองร่างเล็กของหวางอี้เหมยที่กำลังวิ่งเข้ามาหา สายตาของนางทำให้จางเหมียวเมียวรู้ว่าคุณหนูสกุลฉีผู้เลอโฉมยังมีความอาลัยอาวรณ์หวางอี้เฉิงอยู่มากทีเดียว แต่ไม่ว่าใครจะรักใคร จางเหมียวเมียวไม่สนใจเลยสักนิด เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการเลี้ยงดูให้บุตรสาวเติบโตไปเป็นคนดีต่างหาก ถึงผู้เป็นบิดาจะไม่สนใจก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับคนเป็นแม่อย่างนางจะไม่ทอดทิ้งบุตรสาวอย่างเด็ดขาด!
"เหมยเอ๋อร์ของน้า"
"ท่านน้ามาหาข้า มีขนมมาฝากข้าด้วยหรือไม่เจ้าคะ" เด็กน้อยเอียงคอถามด้วยความสงสัย ท่าทางน่ารักน่าชังจนสวีลู่ลู่อดใจไม่ไหวจึงใช้มือจับแก้มป่องสีชมพูเลือดฝาดของนางเบาๆอย่างเอ็นดู
"มีสิ วันนี้น้าทำขนมวอวอโถวของโปรดของเหมยเอ๋อร์มาให้ด้วยนะ"
หวางอี้เหมยทำตาโต กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
"เย้ ข้าดีใจที่สุดเลยเจ้าค่ะ"
สวีลู่ลู่หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมป้อนขนมเข้าปากของหวางอี้เหมยอย่างเอาอกเอาใจ
"อร่อยหรือไม่"
"อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ"
"หากเหมยเอ๋อร์ชอบ น้าก็ดีใจ"
จางเหมียวเมียวมองรอยยิ้มหวานของคุณหนูสกุลสวี พบว่าคนผู้นี้งดงามสมคำร่ำลือจริงๆ นางมั่นใจเหลือว่าในบุรุษสิบคนหากได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้จากสวีลู่ลู่ เก้าในสิบคนต้องตกหลุมรักนางอย่างแน่นอน จางเหมียวเมียวอดคิดไม่ได้ว่า แล้วความรู้สึกของหวางอี้เฉิงที่มีให้คุณหนูสกุลสวีเล่า เขาจะคิดอย่างไรกับนางกันนะ?
"คุณหนูสกุลสวี ท่านช่างงดงามยิ่งนัก" จางเหมียวเมียวเอ่ยชมจากใจ พลางยกนิ้วโป้งขึ้นส่งให้หญิงสาว
มือที่กำลังป้อนขนมหวางอี้เหมยค้างอยู่กลางอากาศ สวีลู่ลู่ช้อนสายตาขึ้นมองจางเหมียวเมียวอย่างตกตะลึง
เมื่อครู่นี้นางต้องหูฝาดไปเองเป็นแน่!
"วะ หวางฮูหยินกล่าวว่าอะไรนะเจ้าคะ"
"ข้าบอกว่าท่านงดงามมากอย่างไรเล่า" จางเหมียวเมียวตอบ โดยเน้นคำว่างดงามให้นางได้ยินอย่างชัดเจน
"ข้าเป็นสตรีเหมือนท่านยังรู้สึกชื่นชมท่านอยู่มากทีเดียว" จางเหมียวเมียวเอ่ยต่อ พลางส่งสายตามองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความชื่นชม
สวีลู่ลู่ถึงกับขนเกรียวลุกชัน จ้องมองจางเหมียวเมียวอย่างไม่ละสายตา ครุ่นคิดไปว่าคนตรงหน้าคงกำลังวางแผนการร้ายกาจอันใดอยู่เป็นแน่ และหากนางต้องปะทะกับคนผู้นี้ นางไม่มีวันสู้ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งตอนนี้หวางโหวก็ไม่ได้อยู่ข้างกาย จะเป็นการดียิ่งหากวันนี้นางจะกลับไปตั้งหลักเสียก่อน เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงกล่าวคำลากับจางเหมียวเมียวและหวางอี้เหมยโดยอ้างว่ามีธุระด่วน จากนั้นก็รีบก้าวดุ่มๆจากไปอย่างรวดเร็ว
เพราะมัวแต่ครุ่นคิดกังวลเรื่องของบุตรสาวกับสตรีร้ายกาจทำให้คนที่อยู่ในห้องหนังสือไม่มีสมาธิแม้แต่จะจับตำราขึ้นมาอ่านจริงๆ แววตาคมเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ ในใจมีคำถามเกิดขึ้นมากมายหลังได้ฟังคำรายงานของพ่อบ้านฉี
"นางไม่ตบตีบ่าวไพร่เหมือนอย่างเคยเลยหรือ"
"เปล่าขอรับ นอกจากการสั่งลงโทษพี่เลี้ยงของคุณหนูในวันนั้น ฮูหยินไม่เคยลงโทษหรือรังแกผู้ใดอีกเลยขอรับ" พ่อบ้านฉีตอบ หลังจากจับตาดูความเคลื่อนไหวของจางเหมียวเมียว ทำให้เขาเห็นถึงความเปลี่ยนไปของนางหลายอย่าง เริ่มแรกรู้สึกคลางแคลงใจ แต่ตอนนี้เริ่มจะคุ้นชินไปเสียแล้ว และแอบดีใจเสียด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จวนสกุลหวางคงถึงคราวสงบสุขได้เสียที
"เป็นไปได้อย่างไรกัน" เสียงแหบห้าวพึมพำเสียงเบา เผลอตัวเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
"อ้อ นอกจากนั้นนางยังหันมาตั้งใจทำบัญชีด้วยตนเองด้วยนะขอรับ"
"ทำบัญชี?" ครานี้วาจาของพ่อบ้านฉีทำให้หวางอี้เฉิงขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม จางเหมียวเมียวไม่เคยสนใจความเป็นไปในจวนเลยสักหน ตั้งแต่จางเหมียวเมียวแต่งเข้าสกุลหวาง นางไม่เคยช่วยหยิบจับสิ่งใด วันๆหากไม่อาละวาดทุบตีบ่าวไพร่ ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องหอ ขนาดลูกในไส้ยังไม่เคยเหลียวแลเลยสักหน
"จับตาดูนางต่อไป หากนางมีความเคลื่อนไหวทำสิ่งใด ให้รีบมารายงานข้าทันที"
"ขอรับ" พ่อบ้านฉีตอบรับคำจากนั้นก็เดินจากไป
ดวงตาคมทอดมองไปบนโต๊ะ มองตุ๊กตาไม้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาพร้อมก้าวเดินออกไปจากห้องด้วยความรวดเร็ว