บทที่ 5 อดีตคู่หมายมาเยือนถึงจวน
"อย่ามาพูดจาพล่อยๆ หากเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ!" ใครว่าเขาไม่รักลูกในไส้ของตนเอง แต่ที่เขาต้องทำเป็นไม่สนใจไยดีหวางอี้เหมยก็เป็นเพราะนางไม่ใช่หรือ!
"เจ้าคิดว่าตัวเจ้าดีไปกว่าข้านักหรือ เจ้าเป็นแม่ของเหมยเอ๋อร์แท้ๆ อุ้มท้องมาตั้งหลายเดือนยังทอดทิ้งลูกในไส้ของตัวเองได้ลง!"
"ข้ายังไม่ได้บอกว่าตัวข้าดีกว่าท่านพี่เลยนะเจ้าคะ เมื่อครู่ข้าแค่เอ่ยถึงบุรุษกับสตรีในเรื่องเล่าของท่านพี่แค่นั้นเอง จะร้อนตัวไปไย" จางเหมียวเมียวเบะปากเล็กน้อย เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้
"นี่เจ้า!"
หวางอี้เหมยเห็นท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยโทสะของบิดาก็พลันร้องไห้จ้าด้วยความหวาดกลัว ถึงแม้บิดาจะไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่เคยแสดงท่าทีน่ากลัวเช่นนี้มาก่อน
"เฉิงเอ๋อร์ ลูกใจเย็นก่อนเถอะ เหมยเอ๋อร์ตกใจหมดแล้ว" ฟ่านถิงเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น พยายามยับยั้งสงครามน้ำลายของสองสามีภรรยาที่กำลังจะเกิดขึ้น
"ท่านแม่เจ้าคะ วันนี้ข้ากับเหมยเอ๋อร์ต้องขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ"
จางเหมียวเมียวกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างสุภาพ หวางอี้เหมยยังเด็กนักไม่ควรต้องมารับรู้ถึงอารมณ์รุนแรงของผู้ใหญ่ ก่อนจะหันมาอุ้มบุตรสาวขึ้นมาแนบอกและก้าวเดินจากไป
"ท่านแม่ ท่านเห็นหรือไม่ว่านางจงใจยั่วโมโหข้า"
"งั้นหรือ? แต่เมื่อครู่ที่แม่เห็นคือเจ้าเป็นฝ่ายพูดจาหาเรื่องนางก่อนนะ"
หวางอี้เฉิงชะงัก หันมาสบสายตากับมารดาด้วยความไม่เข้าใจ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดอีก ลุกขึ้นก้าวเดินออกจากห้องไปอีกคน
"โธ่เว้ย!" หวางอี้เฉิงกระแทกกายนั่งลงบนเก้าอี้อย่างแรงพร้อมสบถขึ้นมาเสียงดังด้วยความหงุดหงิด
จางเหมียวเมียวมองบุตรสาวที่กำลังนั่งเล่นตุ๊กตาอยู่กับบ่าวรับใช้วัยกำดัดสองคน ดวงตากลมโตแดงขึ้นอย่างจางๆ ทำให้รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง หวางอี้เหมยคงจะรู้สึกตกใจกลัวหวางอี้เฉิงมากจริงๆ นางกับหลี่ซินต้องพากันพร่ำปลอบใจอยู่นานกว่าจะสงบลงได้
"เหมยเอ๋อร์ เจ้าเล่นรอแม่อยู่ที่นี่ก่อนนะ แม่จะไปทำธุระสักครู่" จางเหมียวเมียวกล่าวกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใจจริงไม่ได้อยากปล่อยให้เจ้าก้อนแป้งห่างจากอกเลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้นางมีเรื่องต้องจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน
"ท่านแม่จะไปไหน... เจ้าคะ"
"แม่มีเรื่องด่วนที่ต้องทำ เดี๋ยวแม่กลับมานะ"
หวางอี้เหมยผวาลุกตามมารดา มือเล็กดึงชายกระโปรงของจางเหมียวเมียวเอาไว้ ส่ายหน้าไปมาหยดน้ำอุ่นคลออยู่ในดวงตา
"ไม่เอา ข้าไม่ให้ท่านแม่ไป"
"เหมยเอ๋อร์..."
"ท่านแม่อย่าไปเลยนะเจ้าคะ ข้าสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน" กล่าวจบก็เปล่งเสียงสะอื้นออกมาหนึ่งหน ก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลร่วงเผาะลงมา
จางเหมียวเมียวบังเกิดความสงสารเด็กน้อยเป็นอย่างมาก หวางอี้เหมยไม่เคยได้รับความรักความอบอุ่นจากบุพการี แต่เมื่อได้รับก็รู้สึกมีความสุขจนกลัวว่าความรู้สึกนั้นจะหายไป
ร่างบางย่อตัวคุกเข่าลงเบื้องหน้า ดึงร่างเล็กเข้ามากอดแนบอก
"เหมยเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล แม่สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเจ้า ใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น เดี๋ยวแม่จะรีบกลับมา"
แววตาของหวางอี้เหมยวูบไหว ฉายชัดถึงความลังเล
"ท่านแม่ สัญญานะเจ้าคะ"
"สัญญาจ้ะ" จางเหมียวเมียวยกนิ้วขึ้นมาเกี่ยวก้อยกับหวางอี้เหมยแทนคำสัญญา หวางอี้เหมยจึงปล่อยแขนออกจากมารดา ไม่รั้งไว้อีกต่อไป ทว่ายังคงมองตามร่างบางของจางเหมียวเมียวไปจนลับสายตา
"คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ เดี๋ยวท่านแม่ก็กลับมา" สาวใช้วัยกำดัดที่รับหน้าที่เป็นเพื่อนเล่นรวมถึงคนดูแลหวางอี้เหมยชั่วคราวกล่าวอย่างปลอบประโลม เด็กน้อยผงกศีรษะรับ พลางคุกเข่านั่งลงอยู่บนพื้น รอคอยการกลับมาของจางเหมียวเมียวอย่างใจจดใจจ่อ
"หลี่ซินไปตามบ่าวไพร่ทุกคนมาพบข้าที่ห้องโถงรับแขก" ทันทีที่เดินออกมาจากห้อง จางเหมียวเมียวหันไปเอ่ยกับหลี่ซินทันที
"เจ้าค่ะ" หลี่ซินรับคำก่อนจะแยกตัวออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ บ่าวไพร่ทุกคนก็มารวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงรับแขกตามคำสั่ง ไม่เว้นแม้แต่ฉีหงฝู พ่อบ้านเก่าแก่คนสำคัญของจวนสกุลหวาง
"มากันครบแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน" หลี่ซินกล่าว ก่อนจะขยับกายไปยืนเบื้องหลังอย่างนอบน้อม
"พวกเจ้าคงสงสัยว่าเหตุใดวันนี้ข้าถึงเรียกพบ" เสียงหวานกังวานดังก้อง ทุกคนพร้อมใจกันเงียบรอรับฟัง
วาจาของจางเหมียวเมียวไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นร่างบางระหงกำลังกวาดตามองมายังพวกเขาด้วยแววตาราบเรียบ คาดเดาอารมณ์ไม่ถูกก็รีบพากันก้มหน้างุด
"พวกเจ้าคงได้ยินข่าวที่ข้าไล่พี่เลี้ยงของคุณหนูเหมยเอ๋อร์ออกไปจากจวนแล้ว"
"เจ้าค่ะ/ขอรับ"
"ข้ารักหวางอี้เหมยปานแก้วตาดวงใจ หากผู้ใดกล้าทำร้ายนางไม่ว่าจะเป็นทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง จากวาจาหรือการกระทำก็ตาม ข้าจะถือว่าคนผู้นั้นทำร้ายข้าด้วย"
"..."
"พ่อบ้านฉี โทษของคนที่ทำร้ายฮูหยินสกุลหวางจะต้องได้รับโทษทัณฑ์เช่นไร" จางเหมียวเมียวหันไปถามพ่อบ้านฉี
"โบยเจ็ดสิบไม้และขับไล่ออกจากจวนขอรับ" พ่อบ้านฉีตอบ
จางเหมียวเมียวผงกศีรษะรับ
"ต่อไปนี้บ่าวไพร่ทุกคนจะต้องรู้หน้าที่ของตนเอง เราจะอยู่ด้วยกันอย่างครอบครัว ห้ามทะเลาะเบาะแว้งหรือคิดร้ายต่อกันไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือบ่าวไพร่ด้วยกันเอง หากมีเรื่องทุกข์ร้อนใดให้มาบอกข้า เข้าใจหรือไม่"
"ขอรับ/เจ้าค่ะ" ทุกคนก้มหน้าขานรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ถึงแม้จะสงสัยในท่าทีที่เปลี่ยนไปของผู้เป็นนาย แต่กระนั้นก็ยังคงย้ำเตือนตนเองห้ามทำให้หวางฮูหยินโกรธเป็นอันขาด
"ดี! เช่นนั้นพวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปทำงานเถอะ" เอ่ยจบร่างบางก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องเพื่อกลับไปหาหวางอี้เหมยที่รอคอยตนอยู่ภายในห้องหอตามคำสัญญา
หวางอี้เฉิงมองตุ๊กตาไม้แกะสลักรูปแมวในมือ มุมปากหยักยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ตลอดเวลาที่ทำงานอยู่จวนว่าการ เขาไม่มีสมาธิในการทำงานเลยแม้แต่น้อย เพราะภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตาของบุตรสาวเมื่อวานนั้นทำให้รู้สึกกวนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
หวางอี้เหมยคงจะเกลียดเขาแล้วเป็นแน่...
ด้วยความกังวลปนร้อนใจกลัวบุตรสาวเกลียด ทันทีที่กลับมาถึงจวนก็รีบร้อนเดินไปหาหวางอี้เหมยถึงเรือนนอน แต่เมื่อไปถึงก็พบเพียงความว่างเปล่า สอบถามบ่าวรับใช้หน้าห้องจึงรู้ว่าจางเหมียวเมียวรับบุตรสาวไปนอนด้วยที่ห้องหอ
จุดหมายในครั้งนี้จึงเปลี่ยนไป ขายาวรีบก้าวไปยังห้องหอทันที แม้จะไม่ได้อยากพบหน้าสตรีร้ายกาจผู้นั้น แต่ในยามนี้หวางอี้เหมยสำคัญกว่า เขาผิดเองที่เผลอใช้อารมณ์ต่อหน้าบุตรสาวจนทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว
"ท่านโหวขอรับ คุณหนูสกุลสวีมาขอพบขอรับ"
หวางอี้เฉิงชะงักฝีเท้า หลังจากได้ยินคำรายงานของพ่อบ้านฉี ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววลังเล ก่อนจะตัดสินใจหมุนตัวหันหลังกลับไปยังห้องโถงรับแขกแทน
หวางอี้เฉิงก้าวเข้าไปในห้อง แลเห็นมารดากำลังพูดคุยกับสวีลู่ลู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทันทีที่ฟ่านถิงเห็นหน้าบุตรชายจึงเอ่ยปากทักทาย
"เฉิงเอ๋อร์มาแล้วหรือ"
วาจาของฟ่านถิงทำให้สตรีร่างบางที่นั่งหันหลังอยู่ในตอนแรก ค่อยๆเบือนใบหน้าหันกลับมา ดวงตากวางทอประกายระยิบระยับยามที่เห็นผู้มาใหม่ ริมฝีปากบางได้รูปแต้มชาดสีชมพูจิ้มลิ้มคลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
"ท่านโหว" ร่างหงส์ลุกขึ้นยืน ยอบกายคารวะผู้อาวุโสกว่าอย่างนอบน้อม กิริยาอ่อนหวานดั่งผู้ที่ได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี หวางอี้เฉิงจึงผงกศีรษะรับเบาๆ
ฟ่านถิงเห็นท่าทีเอียงอายของสวีลู่ลู่จึงผุดลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะเปิดโอกาสปล่อยให้คนทั้งคู่อยู่ด้วยกันตามลำพัง อันที่จริงนางไม่ได้เห็นด้วยกับการที่บุรุษมีภรรยาหลายคนแม้แต่น้อย นับว่าตัวนางยังพอมีวาสนาที่สามีรักใคร่นางเพียงคนเดียว อีกทั้งนางยังคลอดบุตรชายให้กับหวางอี้เหล่ยไว้สืบสกุลได้ หาไม่เช่นนั้นคงต้องยอมกล้ำกลืนฝืนทนเห็นสามีพาสตรีอื่นเข้าเรือนเป็นแน่
แต่สำหรับในกรณีของหวางอี้เฉิงกับจางเหมียวเมียวนั้นไม่ใช่ ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าจางเหมียวเมียวรักหวางอี้เฉิงมาก แม้นางจะเห็นใจในฐานะที่เป็นสตรีเหมือนกัน แต่สกุลหวางจำเป็นต้องมีผู้สืบสกุลต่อ นางรู้ดีว่าไม่อาจคาดหวังให้หวางอี้เฉิงกับจางเหมียวเมียวร่วมหอกันอีกครั้งได้ ฟ่านถิงจึงจำต้องละเว้นความรู้สึกเห็นใจลูกสะใภ้ทำเพื่อสกุลหวางแทน
"แม่รู้สึกเพลีย ขอตัวกลับไปเอนหลังก่อน เฉิงเอ๋อร์ดูแลแม่นางสวีให้ดีๆล่ะ" ไม่ต้องรอฟังคำตอบของบุตรชาย ฮูหยินผู้เฒ่าก้าวเดินออกจากห้องด้วยความรวดเร็ว