บทที่ 4 ลูกสะใภ้คารวะแม่สามี
หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อย จางเหมียวเมียวไล่บ่าวรับใช้ที่เดินเข้ามาหมายจะช่วยปรนนิบัติออกไปจากห้อง ก่อนจะลงมือจัดการแต่งกายให้หวางอี้เหมยด้วยตนเอง
หญิงสาวมองเข้าไปในกระจกทองเหลือง หยิบผ้ามัดผมสีแดงขึ้นมา ก่อนจะบรรจงผูกตรงหางแกะทั้งสองข้างบนเรือนผมนุ่มของหวางอี้เหมย
"เหมยเอ๋อร์ของแม่น่ารักน่าชังเสียจริง"
"ท่านแม่ก็งดงาม" เด็กน้อยตอบมารดาเสียงเจื้อยแจ้ว คราแรกนางรู้สึกกลัวผู้เป็นมารดาไม่น้อย ทว่าหลังจากที่ได้นอนกอดจางเหมียวเมียวเมื่อคืน และเห็นว่านางไม่ได้ทุบตีด่าทอตนเหมือนที่ผ่านมา กอปรกับการที่รู้สึกโหยหาความรักจากบุพการีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้เจ้าก้อนแป้งเปิดใจรับจางเหมียวเมียวได้ไม่ยาก
"เหมยเอ๋อร์ เวลาพูดกับคนที่อายุมากกว่า เจ้าต้องกล่าวปิดท้ายด้วยคำว่าเจ้าค่ะ"
".... เจ้าค่ะ" เจ้าก้อนแป้งทำตามคำสั่งของมารดาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
"ถูกต้อง ไหนเวลาที่เจ้าเจอกับท่านย่า เจ้าจะกล่าวว่าอย่างไร"
"..."
คิ้วเรียวเล็กขมวดมุ่นเข้าหากัน หวางอี้เหมยทำหน้าขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่นานก็ส่ายศีรษะไปมา ดวงตาแดงก่ำ มีหยดน้ำใสคลออยู่ที่หน่วยตาจางๆ
"อย่าร้องไห้ แม่ไม่ได้จะดุด่าเจ้า" นิ้วเรียวเช็ดหยดน้ำตาที่ค่อยๆไหลอาบไล้แก้มนุ่มนิ่มอย่างแผ่วเบา ชีวิตของหวางอี้เหมยแม้จะเป็นถึงบุตรสาวของหวางโหว หากแต่ชีวิตไม่ต่างอะไรจากเด็กกำพร้า ความอบอุ่นและความรักจากบุพการีเป็นเช่นไร เด็กน้อยผู้นี้ไม่เคยล่วงรู้เลยแม้แต่น้อย
"หากเจ้าเจอกับท่านย่า เจ้าต้องกล่าวว่า เหมยเอ๋อร์ คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ" จางเหมียวเมียวค่อยๆบอกสอนบุตรสาวอย่างใจเย็น
"เหมยเอ๋อร์ คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ..."
"เก่งมาก!"
หวางอี้เหมยได้ยินคำชมจากมารดาก็พลันแย้มยิ้มกว้าง
"ท่านแม่ ข้าอยากไปหาท่านย่าเร็วๆแล้ว... เจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ" จางเหมียวเมียวมองมือเล็กที่จับมือบางของนางไม่ยอมปล่อย รู้สึกเอ็นดูเจ้าก้อนแป้งตัวน้อยมากเหลือเกิน
ฝั่งปีกซ้ายของจวนสกุลหวางเป็นที่พำนักของฟ่านถิงมารดาของหวางโหว ทุกๆเช้าหวางอี้เฉิงจะมารับประทานมื้อเช้าก่อนไปจวนว่าการกับผู้เป็นมารดาเสมอ หลังจากที่หวางอี้เหล่ยผู้เป็นบิดาจากไป ฟ่านถิงรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวไม่น้อย ถึงแม้ว่าหวางอี้เหล่ยจะจากไปร่วมสิบปีแล้ว แต่ฟ่านถิงยังคงระลึกถึงเขาอยู่เสมอ ท่านแม่กับท่านพ่อรักกันมาก ข้อนี้เขารู้ดี เพื่อเป็นการปลอบโยนมารดา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างเขาจะมาใช้เวลาร่วมกับนางเสมอ
และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน...
"ท่านแม่ ลองชิมซาวม่าย(เกี๊ยวใส่ใส้)ชิ้นนี้ดูสิขอรับ กลิ่นหอมน่ากินเลยทีเดียว"
ฟ่านถิงมองอาหารที่บุตรชายตักให้ก่อนจะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ทว่าสายตาของนางยังไม่ละไปจากใบหน้าของบุตรชายแม้แต่หนหนึ่ง เพราะมีเรื่องบางอย่างที่กำลังกวนใจนางอยู่มากทีเดียว
หวางอี้เฉิงรับรู้ถึงความผิดปกติ เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าผู้เป็นมารดากำลังจดจ้องมองมาที่เขาอยู่
"ท่านแม่จ้องข้าเช่นนี้ มีเรื่องอันใดหรือเปล่าขอรับ"
คำถามของบุตรชายทำให้คนเป็นแม่อึกอัก อยากจะกล่าวแต่ก็ไม่กล้านัก
"ท่านแม่มีสิ่งใดบอกข้ามาเถิดขอรับ" หวางอี้เฉิงถามขึ้นอีกครั้ง คนเป็นแม่ได้ยินเช่นนี้จึงวางตะเกียบในมือลง ก่อนจะผุดลุกนั่งตัวตรงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"แม่อยากคุยกับเจ้าเรื่องสวีลู่ลู่" ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวพลางลอบสังเกตท่าทีของหวางอี้เฉิงไปพลาง
"..."
"ที่ผ่านมาแม้ว่าเจ้าจะแต่งงานกับจางเหมียวเมียวไปแล้ว แต่สวีลู่ลู่ก็ยังคงแวะเวียนมาที่จวนสกุลหวางอยู่ตลอด แม่กับนางเป็นสตรีเหมือนกันย่อมดูออกว่านางยังคงมีใจให้เจ้า"
"ท่านแม่หมายความว่าอย่างไรขอรับ" หวางอี้เฉิงถามออกไปตามตรง แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามารดาของเขากำลังจะเอ่ยเรื่องใด
"เจ้ากับจางเหมียวเมียวแต่งงานกันได้สามปีแล้ว ทว่ายังไม่มีบุตรชายไว้สืบสกุล แม่รู้ว่าเจ้าไม่อยากร่วมหอกับนาง เช่นนั้นลองพิจารณาสวีลู่ลู่ดูดีหรือไม่"
"ท่านแม่หมายความว่าอยากให้ข้าแต่งลู่เอ๋อร์เข้ามาเป็นฮูหยินรองงั้นหรือ"
ฟ่านถิงผงกศีรษะรับ ก่อนจะรีบเอ่ยต่อ เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของหวางอี้เฉิง
"อย่างไรเจ้ากับนางก็เคยเป็นคู่หมายกันอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งสวีลู่ลู่ก็มีใจให้กับเจ้าไม่น้อย ฝั่งคนสกุลสวีรักบุตรสาวผู้นี้มาก หากนางยอมตกลงไม่มีผู้ใดกล้าขัดใจนางหรอก เรื่องนี้แม่จะลองพูดกับนางเอง" ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย นางรู้ดีว่าหวางอี้เฉิงเกลียดจางเหมียวเมียวเข้าไส้ เรื่องที่จะหวังให้ทั้งสองร่วมหอกันเพื่อให้จางเหมียวเมียวตั้งครรภ์บุตรชายสืบสกุลหวางนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
"ท่านแม่..." หวางอี้เฉิงกำลังจะเอ่ยปาก ทว่าสาวใช้หน้าห้องกลับเดินเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
"ขออภัยเจ้าค่ะ หวางฮูหยินกับคุณหนูเหมยเอ๋อร์มาขอพบฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ"
สองแม่ลูกหันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย รู้สึกสงสัยระคนแปลกใจไม่น้อย จางเหมียวเมียวมาที่นี่ทำไมกัน อีกทั้งยังมากับหวางอี้เหมยอีกต่างหาก ก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะเอ่ยคำอนุญาต
"เชิญพวกนางเข้ามา"
สิ้นคำกล่าวอนุญาต เปิดตูพลันเปิดออกปรากฏร่างบางระหงกับร่างเล็กกลมป้อมก้าวเดินเข้ามาด้านใน
หวางอี้เฉิงมองมือบางที่กอบกุมมือเล็กของหวางอี้เหมยก็ขมวดคิ้วมุ่น สตรีร้ายกาจผู้นี้กำลังวางแผนคิดจะทำการสิ่งใดอยู่กันแน่
จางเหมียวเมียวชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อย ทันทีที่เห็นว่าภายในห้องไม่ได้มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าแค่คนเดียว ทว่ากลับมีใครบางคนที่นางไม่เคยคิดอยากพบเจอนั่งอยู่ด้วย
หลังจากเกิดเหตุการณ์วุ่นวายในวันนั้น นางกับหวางอี้เฉิงไม่ได้เจอหน้ากันอีกแม้สักหน แต่สำหรับจางเหมียวเมียวแล้ว นางจำเหตุการณ์และความรู้สึกตอนที่หวางอี้เฉิงจับนางกดน้ำได้ขึ้นใจ
นึกถึงเมื่อใดก็รู้สึกแค้นใจเมื่อนั้น!
"ไอ้คนสารเลวเอ๊ย!"
"หืม... เจ้าพูดว่าอะไรหรือ เมื่อครู่นี้แม่ฟังไม่ถนัด" ฮูหยินผู้เฒ่าถามขึ้น เมื่อได้ยินลูกสะใภ้กล่าวพึมพำเสียงแผ่ว คิดว่าจางเหมียวเมียวกำลังพูดกับตน
"เอ่อ... ข้าบอกว่าข้าปวดเอวเจ้าค่ะ" จางเหมียวเมียวตอบพลางส่งยิ้มแหยๆให้ กะว่าจะแอบด่าหวางอี้เฉิงในใจ แต่ความแค้นมันล้นอก จึงทำให้เผลอด่าออกมาเป็นคำพูด
"ลูกสะใภ้ขอคารวะท่านแม่เจ้าค่ะ"
หวางอี้เหมยเห็นท่าทางของแม่สามีจึงก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พร้อมยอบกายคารวะฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนอบน้อม
"เหมยเอ๋อร์ ขอคารวะท่านย่าเจ้าค่ะ" หวางอี้เหมยทำตามจางเหมียวเมียวอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ฟ่านถิงมองหลานสาวตาเป็นประกาย คลี่ยิ้มกว้างด้วยความเอ็นดู ในขณะที่หวางอี้เฉิงอึ้งไปเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเบาๆอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะรีบซ่อนมันไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย
"มาเถอะ มานั่งทานข้าวด้วยกัน"
ฮูหยินผู้เฒ่ากวักมือเรียก หวางอี้เหมยเงยหน้าขึ้นสบตากับมารดา จางเหมียวเมียวผงกศีรษะเบาๆเป็นเชิงอนุญาต นางจึงรีบวิ่งกระโดดขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้
ขณะที่กำลังนั่งรับประทานอาหาร จางเหมียวเมียวรู้สึกได้ถึงความอึดอัดและรัศมีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สายตาของหวางอี้เฉิงที่มองจ้องมาทำให้ความอยากอาหารในวันนี้ลดลงไปโดยปริยาย
"วันนี้เจ้ามาเยี่ยมแม่ถึงที่นี่ มีเรื่องอะไรหรือไม่"
"ลูกสะใภ้ตั้งใจมาคารวะท่านแม่เท่านั้นเจ้าค่ะ แล้วก็อยากพาเหมยเอ๋อร์มาพบท่านย่าด้วย"
"เช่นนั้นหรือ" ฮูหยินผู้เฒ่าขานรับเสียงเบา ในใจเกิดคำถามอยู่มาก จางเหมียวเมียวไม่เคยทำตามธรรมเนียมเลยสักหน นางไม่เคยใส่ใจเรื่องของผู้อื่น ยกเว้นเรื่องของนางเอง ฟ่านถิงไม่อยากมองลูกสะใภ้ผู้นี้ในแง่ร้ายนัก แต่เพราะนิสัยร้ายกาจที่เป็นที่กล่าวขานของนางทำให้อดคิดไม่ได้ว่านางกำลังใช้บุตรสาวเป็นเครื่องมือ
"เหอะ!" เสียงแหบห้าวดังขึ้น ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆหยุดลงเมื่อเห็นสายตาของทุกคนกำลังจดจ้องมายังเขา
"ขออภัยขอรับท่านแม่ ข้าเพียงนึกถึงเรื่องขบขันเรื่องหนึ่งขึ้นมา สตรีร้ายกาจผู้หนึ่งเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนดี หลอกใช้บุตรสาวของตนเป็นข้อต่อรองเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสามี สตรีไร้ยางอายเช่นนี้ ช่างน่ารังเกียจเสียจริง! " หวางอี้เฉิงทำทีหันไปพูดคุยกับมารดา ทว่าสำหรับจางเหมียวเมียวแล้ว นางรู้ดีอยู่เต็มอกว่าชายผู้นี้ตั้งใจพูดประชดแดกดันนาง
"น่าสงสารสตรีผู้นั้นเหลือเกินนะเจ้าคะ แต่บุรุษผู้นั้นก็หาใช่คนดีไม่ มีลูกเป็นสมบัติล้ำค่าอยู่กับตัวแท้ๆแต่ไม่คิดจะปกป้อง กลับปล่อยให้สตรีร้ายกาจผู้นั้นใช้ลูกเป็นเครื่องมือได้ บุรุษนิสัยเหลาะแหละอ่อนแอเช่นนั้น นางไม่น่าหน้ามืดตามัวจับเขามาเป็นสามีเลย"
หวางอี้เฉิงอ้าปากค้าง หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ขบกรามแน่นจนเห็นสันนูนก่อนจะใช้มือตบลงบนโต๊ะเสียงดังปัง!