2 พี่สาวที่แสนดี
ประตูห้องพักแกรนด์สูทในชั้นบนสุดของโรงแรมห้าดาวกลางเมืองเชียงราชถูกเปิดออก ตามด้วยร่างสูงใหญ่ในสูทสีดำ ตัดเย็บอย่างประณีตย่างเข้ามาด้วยฝีเท้าเงียบกริบ จนถึงห้องด้านในจึงดันประตูออก แล้วเห็นคนร่างกำยำไม่ต่างกันนั่งก้มหน้าอยู่ขอบเตียง มือหนาแตะขมับนิ่งอยู่...จนรู้ว่าเขาเข้ามาถึงเงยหน้าขึ้นมอง
“มาได้ยังไง”
“คนของฉันโทร.บอก”
รัชตะตอบพลางเดินเอื่อยเข้ามาใกล้ ท่าทางดูสงบ มีเพียงแววตาเท่านั้นที่รู้ว่าข้างในเริ่มไม่นิ่งอย่างท่าทางที่แสดงออก
“ไปมีเรื่องกับใคร แล้วโดนอะไรมา”
“นายจะอยากรู้ไปทำไม”
คำพูดปัดความห่วงใย ทำให้คนถามเลิกคิ้ว หรี่ตามองน้องชายฝาแฝดด้วยดวงตาพินิจมากขึ้น
“ไม่ใช่เรื่องงานใช่ไหม”
“อืม...” เสียงรับคำในลำคอ หลายวินาทีกว่าเจ้าตัวจะเงยหน้าพูดต่อ “ใช่ ไม่ใช่เรื่องงาน และไม่ใช่เรื่องของฉันด้วย แต่ฉันมันดวงซวย ต้องเจ็บตัวเพราะนาย”
“หมายความว่าไง”
ถึงคราวที่รัชตะจะเสียงแข็งเข้าบ้าง เขาทนไม่ได้แน่ถ้าหากว่ารัชภาคย์ต้องมีเรื่องกับใครด้วยตัวเขาเป็นต้นเหตุ...แต่ดูว่าน้องชายจะไม่ใส่ใจในความหวังดีของเขา กลับเปลี่ยนไปถามถึงอีกเรื่อง
“วันนี้ฉันต้องเข้าร่วมประชุมกับนายใช่ไหม”
“ใช่ เพื่องานของนาย นายควรมีคอนเน็กชั่นเองด้วย อย่างน้อยก็มาให้คนอื่นเห็นว่านายยังมีตัวตน ไม่ใช่เจ้าของเหมืองที่ใครต่อใครได้ยินแต่ชื่ออย่างทุกวันนี้ ฉันอยากให้นายเข้ามามีบทบาทในงานของฉันมากกว่านี้ ในฐานะหุ้นส่วน เพราะมันจะส่งผลถึงงานเหมืองของนาย อย่างน้อยพวกที่จ้องจะกินฟรีทางฝั่งพม่าจะได้เกรงใจว่านายมีพรรคพวกและคนรู้จักทางนี้อยู่”
“ฉันมีนายทั้งคนแล้วนี่” รัชภาคย์บอกปัด
“มันไม่เหมือนกัน”
“ทำไมถึงไม่เหมือน...นายดูฉันตอนนี้สิ แล้วส่องกระจกดูตัวเองว่าต่างกันตรงไหน”
รัชตะปรายตามองคนพูด เมื่อวานมีงานรับรองลูกค้าจากฮ่องกง เป็นงานเหมืองของรัชภาคย์โดยตรง เจ้าตัวเลยไม่อาจบิดพลิ้ว แต่กว่าจะให้คนอย่างรัชภาคย์ยอมแต่งเนื้อแต่งตัว โกนหนวดเครา รวมถึงตัดผมเผ้าให้เป็นทรงอย่างที่เห็น ก็เล่นเอาคุณทิพย์ ผู้เป็นแม่บ้านที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่พวกเขาเป็นเด็กนั้นแทบถอดใจ แต่สุดท้ายก็รัชภาคย์ก็เปลี่ยนใจมาตามใจคุณทิพย์เสียดื้อๆ ...แทบจะจับอารมณ์ตามไม่ทัน
แต่เมื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้ว รัชภาคย์คงมาคล้ายกับเขามากไป ถึงได้เกิดเรื่องให้เจ้าตัวต้องนั่งกุมแผลตรงขมับอย่างที่เห็น
“นายกำลังบอกว่าที่มีเรื่องหัวแตก เพราะเกิดจากการเข้าใจผิดว่านายเป็นฉันใช่ไหม”
“ทำนองนั้นมั้ง”
“พูดมาให้หมด อย่ามาทำท่ามาก มันเป็นพวกไหน ฉันจะส่งคนไปสั่งสอน”
รัชตะเสียงกร้าวขึ้น มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สำหรับเขาที่จะมีใครมาหยามกันถึงเพียงนี้ แต่อีกฝ่ายกลับใจเย็นจนดูผิดเป็นคนละคนเสียอย่างนั้น
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้น แค่นี้ฉันรับมือไหว”
รัชตะต้องหรี่ตามองน้องชายฝาแฝดอย่างแปลกใจอีกรอบ...ก็เมื่อกี้มันยังทำฉุนเฉียวตอนบอกว่าต้องเจ็บตัวเพราะเกิดการเข้าใจผิดกัน คงเข้าอีหรอบตีผิดคนนั่นแหละ เขาก็อยากรู้ว่าตัวเองมีศัตรูที่ไหนเหมือนกัน แต่พอคิดจะจัดการมือดีพวกนั้นให้ น้องชายตัวดีกลับทำเหมือนมีลับลมคมในเสียนี่
“เอาเป็นว่าจบเรื่องนี้ นายไม่ต้องยุ่ง เพราะฉันจะจัดการเอง” รัชภาคย์ย้ำตัดบท ทำท่าทางว่ารำคาญพี่ชายเสียอย่างนั้น “แล้ววันนี้ฉันก็จะเข้าประชุม แต่จะเป็นตัวของฉันเอง และสัญญาว่าจะไม่ทำให้หุ้นส่วนของนายแตกตื่น ฉันแค่เบื่อไอ้พวกเสื้อผ้าอย่างของนาย ทีหลังไม่ต้องให้คุณทิพย์มาจัดหาของพวกนี้มาให้อีกนะ อย่าให้ต้องใส่สูท ผูกเนกไทเป็นคุณชายอย่างนายด้วยเลย เห็นแล้วเอือมตัวเองชะมัด”
รัชภาคย์ทำเสียงและสีหน้าว่าเบื่อหน่ายเต็มทน ยกมือลูบปลายผมที่ท้ายทอยอย่างแสนเสียดายที่ต้องตัดเล็มออก พอไล่มาจนถึงปลายคางที่เมื่อวานยังเกลี้ยงเกลา แต่วันนี้สัมผัสหนวดเคราสั้นๆ จนเมื่อเหลือบมองพี่ชายก็กระตุกยิ้มพอใจขึ้น
“ฉันไม่เห็นจะสนใจ พ่อแม่แยกพวกเราออกทุกครั้ง นายจำได้ไหม ไม่ว่าเราจะแกล้งสลับตัวกันยังไง คุณทิพย์ก็อีกคน และคนล่าสุดที่พิสูจน์ได้ คือลดา ลดามองปราดเดียวก็รู้ว่าฉันเป็นฉัน และนายก็คือนาย ไม่ว่าเราจะแต่งตัวเหมือนหรือต่างกัน”
“เมื่อวานยายผู้หญิงตาถั่วเอาเหยือกเบียร์ปาหัวฉัน เพราะคิดว่าฉันเป็นนาย” รัชภาคย์เล่าเชิงแย้ง
“เธอทำร้ายนายเพราะคิดว่าเป็นฉันงั้นหรือ ใครกัน”
รัชตะงงเป็นไก่ตาแตก ยิ่งเป็นผู้หญิงแล้วนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเธอคนไหนจะเป็นศัตรูคอยจ้องจะทำร้ายเขา จนรัชภาคย์ต้องมารับเคราะห์แทน
“ใช่ เธอเห็นฉันอยู่กับผู้หญิงอื่น เธอคงคิดว่าคนที่อยู่ข้างฉันควรเป็นพี่สะใภ้ฉันคนเดียวเท่านั้นน่ะสิ เข้าใจหรือยังนายคุณใหญ่”
“อย่าบอกนะว่า...นายหมายถึงคุณแหววใช่ไหม แล้วนี่เธอรู้ความจริงหรือยัง”
ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่กล้าทำอย่างนี้กับเขาหรือรัชภาคย์ นอกเสียจากว่ามีแรงจูงใจมากพอจนมองข้ามความกลัวและกริ่งเกรงได้ ดังนั้นรัชตะจึงเพ่งไปที่พราวพิชชา พี่สาวที่แสนจะหวงและห่วงปิ่นลดาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
“ไม่รู้ ยายป้านั่นน่าจะยังหูหนวกตาบอดอยู่เหมือนเดิม”
รัชภาคย์ว่าอย่างเผ็ดร้อน ไม่เคยนึกถึงคู่กรณีอย่างหล่อนในแง่ผู้หญิงที่ควรให้เกียรติมากกว่านี้หรอก ก็ดูที่หล่อนทำกับเขาสิ...อย่างนี้มันน่าจะตาต่อตา ฟันต่อฟันชะมัด
“มิน่าล่ะ เมื่อเช้าคุณแหววโทร.หาลดา ไม่รู้ว่าสองคนนั้นพูดอะไรกัน แต่ฉันก็เห็นลดาสีหน้าไม่ค่อยดี”
“ระวังพี่เมียของนายไว้หน่อยแล้วกัน ยายคนนี้จ้องแต่จะพาเมียนายหนีตั้งแต่ที่พบหน้ากันในวันแต่งงาน ผู้หญิงบ้าอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีความอ่อนหวานเหมือนน้องสาวสักนิด ความคิดก็แปลกประหลาด”
“นายพูดเกินไปหรือเปล่า อย่างน้อยคุณแหววก็เป็นผู้หญิง ฉันว่าที่เธอทำลงไปมันก็มีเหตุผลที่เข้าใจได้ และที่สำคัญเธอเป็นคนที่เมียฉันรักมากด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นนายโอ๋เมียเสร็จ ก็อย่าลืมโอ๋พี่เมียไปด้วยเลยนะนายใหญ่ ชีวิตนายคงสดใสดีพิลึก”
“เอ๊ะ! ไอ้นี่ พูดยังไงของมัน อย่าพาลนอกเรื่องสิ”
“ฉันรู้สึกรำคาญยายนั่นตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว ไม่คิดอยากยุ่งด้วยเลย แต่เมื่อวานฉันมันดวงซวย นัดผู้หญิงเอาไว้กะจะกินให้อิ่มก่อนเข้าเหมือง ดันมาเจอยายป้านี่ปาหัวแตก จนต้องให้นายแฟรงค์เย็บตั้งสองเข็ม คิดแล้วอยากจับหล่อนหักคอหมกป่าซะให้รู้แล้วรู้รอด”
“อย่าแม้แต่คิด” รัชตะปรามเสียงเรียบ ไม่อยากเสี่ยงกับคนบ้าดีเดือดอย่างน้องชายสักเท่าไร
“นายนี่ก็กลัวฉันแตะพี่เมียจริงๆ”
“เรื่องมันแล้วไปแล้ว ก็ปล่อยไปเถอะ ฉันจะบอกลดาให้ เธอจะได้คุยกับพี่สาวให้เข้าใจ เย็นนี้เห็นว่าจะไปหากันที่รีสอร์ต คุณแหววเธอไม่ได้อยู่เชียงราชนานหรอก เห็นว่ากำลังรอเพื่อนตามมาสมทบแล้วจะไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ”
“นายว่าอะไรนะ ยายนั่นไม่ได้อยู่เชียงราชทั้งสิบห้าวันหรือ”
“สิบห้าวัน?” รัชตะทวนตามแล้วเลิกคิ้วดูงงๆ จนอีกฝ่ายต้องย้ำคำพูดเขา
“อ้าว ก็ยายป้ามีช่วงพักร้อนสิบห้าวันไม่ใช่หรือ นายพูดเองนะ”
“เหรอ ฉันจำไม่ได้ สงสัยลดาเคยบอก แต่อย่างที่ว่านั่นแหละ อย่ามีปัญหากับเธอมากกว่านี้ ถือว่าฉันขอ ฉันสงสารเมีย แค่นี้เธอก็ยังเคว้งเพราะครอบครัวเธอเหลือคุณแหววคนเดียวพอให้เธอยึดอยู่”
“ทำไมต้องเคว้ง เธอมีนายอยู่ทั้งคน”
“นั่นพี่สาวของเขา มันเหมือนกันที่ไหน”
รัชภาคย์เหลือบมองคนพูดแวบหนึ่ง แล้วเมินหนี ลุกเดินไปยังตู้เสื้อผ้า คิดจะจัดการตัวเอง เตรียมตัวเข้าร่วมประชุมในห้องประชุมใหญ่ที่จัดขึ้นในโรงแรมแห่งนี้ ในสมองครุ่นคิดถึงบางเรื่องอยู่ พลันก็หันขวับมามองพี่ชายตัวเอง
“เอาเป็นว่าฉันเข้าใจนาย เข้าใจลดา”
คำพูดรับปากง่ายๆ ทำให้รัชตะเลิกคิ้ว แล้วไหวไหล่เมื่อคิดว่ารัชภาคย์ก็เป็นแบบนี้เสมอ ตามอารมณ์ไม่ค่อยทัน นึกจะดีก็ดี พอจะร้ายก็ไม่ค่อยมีสัญญาณเตือนให้รู้ก่อนอย่างใครเขา
“แล้วนาย เอ่อ...ไม่ต้องบอกลดา เรื่องที่พี่สาวเขาตีหัวผิดคน”
“หืม...ทำไม”
“เห็นใจคนอยากเอาใจเมียท้องแก่ ฉันก็ไม่อยากให้เธอเครียดด้วย”
รัชตะหัวเราะออกมาได้ แม้จะไม่อยากเชื่อสักเท่าไรว่าเป็นเหตุผลแท้จริง แต่ก็ถือว่าจบเรื่องนี้กันไป...เพราะไม่ว่าอย่างไร เขายังคงทำหน้าที่พี่ชายใหญ่ในการดูแล ไว้ใจ และให้เกียรติน้องชายที่เกิดหลังสิบกว่านาทีเสมอ
การประชุมระดับผู้บริหารประจำปีของธุรกิจผลิตรถยนต์หรูที่มีโรงงานฐานผลิตตั้งในฝั่งพม่า ส่วนสำนักงานใหญ่อยู่ในฝั่งไทย ซึ่งอยู่ภายใต้อาณาเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษระหว่างสองประเทศ เริ่มต้นขึ้นในเวลาสิบนาฬิกา
ก่อนถึงเวลาประมาณห้านาที รัชภาคย์เข้ามาในห้องประชุมด้วยเครื่องแต่งกายกางเกงยีนส์สีน้ำเงินกับเสื้อทีเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวใน สวมทับด้วยสูทสีดำสนิท...เขาหยิบมันมาสวมเป็นชิ้นสุดท้ายเพื่อไม่ให้ประธานในงานขัดสายตาโดยเฉพาะ
ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมสัน หล่อสมาร์ตไม่ต่างกัน พวกเขาจึงดูโดดเด่นท่ามกลางนักธุรกิจอีกหลายสิบคน เมื่อรัชภาคย์เดินมาหยุดใกล้รัชตะซึ่งกำลังสนทนากับนักธุรกิจฮ่องกง จึงเห็นสไตล์ที่แตกต่างของสองหนุ่มอย่างเด่นชัด...หากก็ดึงดูดสายตาไม่แพ้กัน
“วันนี้ผมโชคดี มาไม่เสียเที่ยว เพราะได้เจอคุณรัชภาคย์ จะได้ขอหารือเรื่องสัมปทานเหมืองแร่ทองคำในเวียดนาม ทางผมอยากเชิญคุณเข้าร่วมในฐานะผู้มีประสบการณ์ เพราะเรายังใหม่สำหรับงานนี้อยู่มาก”
มิสเตอร์จางทักทายด้วยท่าทีเคร่งขรึม จริงจัง รัชภาคย์เหลือบมองพี่ชายฝาแฝดแวบหนึ่ง แววตาคมที่สงบนิ่ง แทบจะไม่ส่อความรู้สึกใดๆ ให้คนนอกได้สัมผัส แต่พวกเขาสามารถสื่อถึงกันได้
รัชภาคย์ละสายตาจากรัชตะออกมา ก่อนจะสบตามิสเตอร์จาง
“ยินดีครับ วันนี้ก่อนห้าโมงเย็น...ผมสะดวก”
“ตกลงตามนั้นครับ”
แล้วชายหนุ่มก็ผละออกมา เขาทักทายนักธุรกิจที่คุ้นตาอีกสองสามคน แต่อีกจำนวนไม่น้อยที่มองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ แล้วไม่กี่วินาทีต่อมาก็เหมือนจะสามารถเข้าใจอะไรได้เอง
รัชภาคย์ทรุดกายนั่งประจำเก้าอี้ซึ่งมีป้ายชื่อตัวเองกำกับไว้ มุมปากหยักกระตุกยิ้มอย่างเสียไม่ได้ เมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของคนอื่นเมื่อกี้นี้
ตอนเด็กเขาไม่เคยชอบใจที่รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเงาของรัชตะ แต่ถ้าให้เลือกที่จะทำตัวเหนือกว่าหรือโดดเด่นกว่าเขาก็ไม่เอาเหมือนกัน รัชภาคย์ยอมรับรัชตะในฐานะพี่ชายใหญ่ อุ่นใจที่มีพี่ชายอย่างรัชตะอยู่เสมอ แต่กระนั้นก็ยังตระหนักว่าคนเราควรต้องมีตัวตนของตนเอง ไม่ใช่การอยู่ภายใต้เงาของใคร แม้ตอนเด็กรัชภาคย์จะรับมือได้ไม่ดีนัก แต่เมื่อต่างอยู่ในวัยผู้ใหญ่ วิถีชีวิตสองคนก็เบนห่างจากกันไปเอง
รัชภาคย์เริ่มชัดเจนในแนวทางของตัวเอง รู้จักตัวเองมากขึ้น แม้หลายคนที่ไม่คุ้นเคยจะยังสับสนระหว่างพวกเขาสองคน แต่คราวนี้ชายหนุ่มก็มองเป็นเรื่องขำๆ บางครั้งยังนึกสนุกตามน้ำไปด้วย นึกไม่ออกว่าเรื่องพวกนี้กวนใจเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่...แต่ชัดเจนว่าเหตุการณ์เมื่อวานที่ใครคนหนึ่งมองเห็นเขาเป็นรัชตะ แล้วตัดสินโทษเขาจนต้องนอนซมทั้งคืนด้วยอาการปวดแผลปานศีรษะจะแตกร้าวนั้น มันยากแก่การลืมจริงๆ
ถึงจะเห็นแก่พี่ชายว่าจะไม่ทำให้ปิ่นลดาต้องลำบากใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถปล่อยวางเรื่องนี้ไปได้ง่ายๆ ...