1 ความประทับใจนี้ไม่รู้ลืม 2
“โอ๊ย! เจ็บ มือหนักเป็นบ้า เป็นหมอหรือหมากันแน่วะ จะขย้ำแผลฉันซ้ำหรือไง”
เสียงโอดครวญจากผู้ชายร่างใหญ่ในชุดเสื้อคลุมนอนตัวเดียวดังขึ้น เมื่อหมอหนุ่มเสร็จภารกิจปิดแผลบนขมับให้ แล้วเจ้าตัวก็ผ่อนลมหายใจตาม หากดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงทอประกายกล้า
“แผลเย็บเสร็จแล้ว แค่สองเข็ม โวยวายยังกับโดนระเบิดถล่ม”
“มันเจ็บใจโว้ย ไม่มาเป็นฉัน ไม่รู้หรอก” คนเจ็บมองคนสบประมาทตาขวาง พร้อมโต้ด้วยเสียงกัดฟันกรอด
“เล่าได้หรือยัง นายไปโดนใครตีหัวมา”
หมอแฟรงค์หรี่ตามองคนที่ตนไปหามปีกมาจากจุดเกิดเหตุ แล้วพามาส่งถึงห้องพักส่วนตัวชั้นบนสุดของโรงแรมหรูกลางเมืองเชียงราช ด้วยการโดยสารลิฟต์สำหรับผู้บริหารขึ้นมา เพื่อความเป็นส่วนตัวและป้องกันแขกของโรงแรมเห็นแล้วจะแตกตื่น
“นายแย่งผู้หญิงกับใครมาหรือเปล่า หรือว่ารถไฟชนกัน”
“รถไฟบ้าอะไร ยายนั่นมันซาเล้งดีๆ นี่เอง ไม่มีทางเป็นรถไฟให้ฉันเสยได้หรอก” คนถูกถามตอบด้วยอารมณ์ที่ยังหงุดหงิดไม่จางหาย
“พูดอย่างนี้แสดงว่าคู่กรณีเป็นผู้หญิง...ผู้หญิงใช่ไหมที่จะฉีกอกนาย แต่พลาด ดันไปทำหัวแบะเข้าแทน”
“ไอ้หมอปากหมา หยุดพูดเลย เสร็จธุระของนายแล้ว กลับไปเลย แล้วไม่ต้องเสนอหน้ามาอีก”
“เอาละ ฉันกลับก็ได้ แล้วแผลแค่นี้ไกลหัวใจตั้งมาก หยุดโวยวายแล้วพักซะ นี่ยากิน จะช่วยนายไม่ให้เจ็บแผลคืนนี้”
หมอแฟรงค์จัดเก็บอุปกรณ์ลงกล่องแล้วหิ้วเดินไปยังประตูห้อง ก่อนจะก้าวออกไปยังมีแก่ใจหันมามองคนเจ็บที่นอนลืมตามองเพดานห้องนิ่งๆ อย่างคนจมกับความคิด
“ให้ฉันบอกนายใหญ่ไหม”
คำถามนั้น ทำให้คนบนเตียงเบือนหน้ามามอง จ้องนิ่ง ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจะหรี่ลง สีหน้าสีตาดูแปลกเปลี่ยนไปเมื่อตอบคำถามนั้น
“ไม่ต้อง...เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แล้ววานนายบอกเจ้าของรีสอร์ตให้เก็บข่าวดีๆ อย่าให้เล็ดลอดออกไปได้”
“ได้สิ แค่นี้เอง”
หมอหนุ่มรับปากก่อนจะเดินผ่านออกไป แล้วปิดประตูตามให้อย่างเรียบร้อย
มือแข็งแรงของคนถูกทิ้งไว้บนเตียงในห้องหยิบกระเป๋าสตางค์สีหวานดูคลาสสิกที่หยิบมาโดยไม่เจตนา คงเพราะมันปลิวปะทะตัวเขา ความตกใจทำให้คว้าติดมือไว้ จนเพิ่งมาสังเกตเห็น
รัชภาคย์เปิดกระเป๋าใบนั้น นอกเหนือจากธนบัตรไม่กี่ใบ ยังมีสิ่งที่เขาสนใจ บัตรพลาสติกพื้นสีขาวตัดด้วยสีฟ้าอ่อนตรงขอบ จนต้องคีบออกมา...แล้วทั้งชื่อนามสกุลที่ระบุเป็นภาษาอังกฤษ และภาพหน้าตรงในบัตรพนักงานก็ปรากฏขึ้น
กายใหญ่สั่นสะเทือน เมื่อเสียงหัวเราะถูกปล่อยออกมา ปริศนาคาใจนับชั่วโมงเริ่มออกมาเป็นคำตอบให้เห็น
“ใช่เธอจริงๆ ด้วย ยายป้า...ถ้ามาในสภาพยายป้าอย่างคราวก่อน ฉันก็จำได้แต่แรกแล้ว”
หญิงสาวร่างเพรียวบาง สวมสูทกระชับลำตัวสีขรึมกับผมรวบตึง แต่งหน้าสีอ่อน หากกรีดขอบตาคมเฉียบที่เขาเจอในวันแต่งงานของรัชตะเมื่อเกือบปีที่ผ่านมาผุดขึ้นในมโนสำนึก พร้อมกับคำถามที่เขาคิดไม่ถึงว่าจะออกจากปากเธอ อย่างที่ทำให้อดใจเข้าไปมีส่วนร่วมไม่ได้
‘เขาดีกับลดาไหม สามีของลดา’
‘คุณใหญ่หรือคะ ดีค่ะ ดีมาก’
‘แล้วเมื่อก่อนล่ะ พี่หมายถึงเขาดีมาตลอดหรือเปล่า’
คำถามของพี่สาวจอมเฮี้ยบทำให้เจ้าสาวหมาดๆ ถึงกับอึกอัก จนเขาที่ยืนกอดอกลอบฟังต้องแสร้งโวยขึ้น
‘จะซักกันอีกนานไหม จะขุดคุ้ยตั้งแต่เกิดเลยหรือเปล่าว่านายใหญ่นิสัยเป็นยังไง ผมช่วยตอบให้ได้นะ’
‘ลดา พี่ทนนายป่าเถื่อนคนนี้ไม่ไหวแล้วนะ สั่งคนจับโยนออกไปให้พ้นหูพ้นตาพี่สักสิบนาทีได้ไหม’
คราวนั้นดูก็รู้ว่าหล่อนโกรธเขามาก แววตาคุโชนเอาจริง ส่วนปิ่นลดานั่นหรือ ทำหน้าแหย มองหารัชตะทีเดียว แต่พอไม่เห็น จึงต้องแก้ปัญหาโดยการแนะนำเขาให้หล่อนรู้จัก
‘คุณแหวว รู้จักคุณเล็กสิคะ คุณเล็กเป็นน้องชายฝาแฝดของคุณใหญ่ สามีของลดาค่ะ’
‘อะไรนะ สามีลดาเป็นฝาแฝดกับนายคนนี้ งั้นก็เหมือนกันน่ะสิ’
อยากจะขำนัก ท่าทางหล่อนตกใจจริงจัง แล้วต่อด้วยคำถามที่ทำให้เขากลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว
‘กลับกับพี่ไหม พี่จะเลี้ยงหลานเอง’
รัชภาคย์นึกตามอย่างครึ้มใจ ปรือตามองเพดาน นึกเทียบภาพของหญิงสาวในความทรงจำกับสาวงามผมยาวรุ่ยร่ายในเสื้อผ้าที่ดูผ่อนคลายที่เจอกันวันนี้...
“นายใหญ่บอกว่าพี่สาวเมียจะมาเชียงราช แล้วใครจะรู้เล่าว่ามาอยู่เกะกะตรงระเบียงรีสอร์ตนั่น แทนที่จะไปพักกับน้องสาว”
หากแค่ครู่เดียวเรียวคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นครุ่นคิด แล้วแปรเปลี่ยนเป็นไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
หล่อนจำเขาไม่ได้ และที่ร้ายกาจกว่าคือหล่อนคิดว่าเขาเป็นนายใหญ่! มิน่า...
“พราวพิชชา เธอนี่มัน...ตัวแสบชัดๆ”
เกือบสว่าง พราวพิชชายังเดินวนอยู่ในห้องพักของรีสอร์ต ทุกอย่างดูนิ่งเงียบจนเธอแปลกใจ...เงียบเสียจนเธอไม่อาจข่มตาหลับจนถึงตอนนี้
“เป็นไปได้ยังไง สามีของลดาเป็นคนกว้างขวางของเมืองเชียงราช เกิดเรื่องขนาดนี้ แล้วทำไมถึงไม่มีใครตามเราไปเคลียร์ ถึงเขาจะจำเราไม่ได้จริงๆ แต่พนักงานรีสอร์ตก็เห็น ต้องรู้ว่าเราเป็นแขกที่มาเปิดห้องพักเมื่อช่วงบ่าย หรือว่านายคุณใหญ่ห้ามไว้เพราะกลัวรู้ถึงหูลดา...มันต้องใช่แน่ๆ”
หล่อนพึมพำถามตัวเอง หัวจิตหัวใจไม่อาจสงบด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงหัวค่ำ
“เขาคงโกรธเรามาก...”
พราวพิชชายังจำเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดนั้นติดหู เพิ่งนึกออกว่าของที่หยิบมาจากโต๊ะลูกค้าข้างๆ แล้วทุ่มใส่เขานั้นเป็นเหยือกเบียร์ขนาดใหญ่...แรกทีเดียวเธอก็นึกสยดสยองตาม แต่วินาทีถัดมาก็ไหวไหล่ เมื่อคิดว่าสาสมกับสิ่งที่เขาทำกับน้องสาวของเธอ
แล้วดวงตาหวานก็สลดลงเมื่อนึกว่าภาพพจน์ดีงามของรัชตะที่เธอหลงเชื่อตาม จนวางใจมอบชีวิตของปิ่นลดาให้อยู่ในมือของเขานั้นล้วนแต่ลวงตา
“ทำไมต้องทำร้ายกันด้วยนะคุณใหญ่ ถ้าไม่รักลดาก็คืนมาให้เราสิ น้องกับหลานแค่สองคน ทำไมเราจะเลี้ยงไม่ได้”
ยิ่งคิด ยิ่งเจ็บแค้นใจ แล้วที่ผ่านมาเรื่องกวนใจพวกนี้จะรู้ถึงหูปิ่นลดาบ้างหรือเปล่านะ...
“นี่ขนาดเมียท้องแก่ใกล้คลอดยังทำกันได้ ระริกระรี้นัดผู้หญิงหน้าด้านมาเปิดห้องกกกอดกัน ถ้ายิ่งปล่อยนานไป นายคุณใหญ่ไม่พาแม่นั่นเข้าบ้าน ระรานลดาเลยหรือ”
คิดวนเวียนอยู่ไม่นาน พราวพิชชาก็ตัดสินใจว่าหล่อนควรจะใช้เวลาพักร้อนช่วงสิบห้าวันนี้จัดการเรื่องน่าอายให้จบสิ้น
“เป็นไงเป็นกัน พี่ไม่ยอมให้ใครทำร้ายลดาอีก ถ้าจะแตกหักก็ช่าง...ต่อไปพี่จะดูแลลดาเอง ต่อให้สิบคุณใหญ่ พี่ก็ไม่สน”
ท้องฟ้าสว่างเรืองรอง หญิงสาวหยิบนาฬิกาข้อมือที่ถอดวางอยู่บนโต๊ะใกล้หัวเตียงมาดู นั่งรอจนเวลาล่วงมาถึงหกนาฬิกา คะเนดูว่าน้องสาวคงตื่นนอนแล้ว จึงเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายในตู้เสื้อผ้า แล้วล้วงโทรศัพท์มือถือมาเปิดเครื่อง
มีเบอร์โทร.เข้ามาสามสาย ล้วนเป็นสายของปิ่นลดา...
“คุณแหวว มาถึงเชียงราชแล้วใช่ไหมคะ ลดาโทร.หาตั้งแต่เมื่อวาน เห็นปิดเครื่อง ยังร้อนใจอยู่เลย แต่คุณใหญ่ว่าคุณแหววคงอยากพักหลังจากเดินทางมาเหนื่อยๆ ลดาเลยไม่กวนต่อ รอให้คุณแหววติดต่อมาเอง แต่เช็กกับรีสอร์ตแล้วว่าคุณแหววเข้าพักเรียบร้อยแล้ว เป็นไงบ้างคะ สะดวกสบายดีไหม”
น้องสาวถามยาวเหยียดเมื่อเธอโทร.หา น้ำเสียงใส่ใจที่เจือความตื่นเต้นนั้นทำให้พราวพิชชาเผลอยิ้มออกมาหลังจากผ่านเรื่องให้ขบคิดอยู่ทั้งคืน แม้ยังมีชื่อของคนที่พาดพิงถึงซึ่งทำให้เธอกระอักกระอ่วนใจอยู่ก็ตาม
“จ้ะ พี่ปิดมือถือไว้ตั้งแต่ขึ้นเครื่องจากเพิร์ท พอลงที่เชียงราชก็ตรงมายังที่พักเลย เห็นบรรยากาศแล้วลืมทุกอย่าง ขอโทษด้วยนะที่ทำให้ลดาเป็นห่วง”
“ขอโทษอะไรกันคะ ได้ยินคุณแหววพูดอย่างนี้ลดาก็โล่งอกแล้วค่ะ อย่างน้อยบรรยากาศของเมืองเชียงราชในหน้าหนาวก็ไม่ทำให้คุณแหววรู้สึกเสียเที่ยว ยังมีที่สวยๆ ที่ลดาอยากให้คุณแหววได้เห็นอีกมาก ถ้าไม่มีโปรแกรมเที่ยวไหนต่อ ลดาจะพาคุณแหววเที่ยวในเชียงราชให้ทั่วเลย”
“ท้องแก่ขนาดนี้ยังคิดจะพาพี่ตะลอนเที่ยวอีกหรือจ๊ะ”
“ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ คุณใหญ่ยังพาลดาเปิดหูเปิดตาข้างนอกออกจะบ่อย แล้วนี่ขนาดลดาอยู่มาเป็นปี ยังมีที่ไม่ได้ไปอีกตั้งหลายแห่ง จนต้องจดไว้เลยนะคะ กันลืม”
ปลายสายหัวเราะเสียงใส ถ้าเป็นเมื่อก่อนพราวพิชชาคงเบิกบานหัวใจตาม แต่เพราะเรื่องราวเมื่อคืนนั่นน่ะสิ ถึงทำให้เธอยิ่งหนักใจอย่างบอกไม่ถูก
“เขา เอ่อ...ยังดีกับลดาอยู่ไหมจ๊ะ”
“คุณใหญ่หรือคะ ก็เหมือนเดิมค่ะ คงเส้นคงวากับลดามาก ไม่ได้ดีขึ้นเลย ชอบขัดใจเป็นที่สุด บางทีก็แอบปากร้ายกับลดาด้วย”
น้ำเสียงกระแทกกระทั้น ถ้าเป็นเวลาปกติ พราวพิชชาอาจจับกระแสเสียงที่เจือมากับถ้อยคำนั้นได้ แต่ในเวลานี้ สติไม่มีเหลือ แค่ได้ยินว่าคุณใหญ่ไม่ได้เป็นผู้ชายแสนดีที่คอยดูแลและตามใจปิ่นลดาอย่างที่เคยให้สัญญา ก็ทำให้เธอเบิกตาขึ้น อึกอักอยู่ในลำคอ พูดต่อไม่ได้เลย
“แล้วเขา อืม...”
“คุณแหววมีอะไรหรือคะ บอกมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น ลดายินดีให้บริการเต็มที่ ทดแทนที่ทำให้พี่สาวมาค้างด้วยกันที่บ้านไม่ได้” ท้ายประโยคเป็นเสียงขึ้นจมูกของปิ่นลดา ทำให้พราวพิชชาต้องรีบบอก กลัวน้องสาวจะไม่เข้าใจในเจตนาของตนตั้งแต่แรก
“ไม่นะ อย่าคิดมากสิลดา พี่อยากพักข้างนอก เพราะสะดวกสบายสำหรับพี่มากกว่า ไหนลดาบอกว่าให้พี่เลือกตามใจชอบแล้วไง”
“ลดาพูดเล่นค่ะ ลดาเข้าใจคุณแหววแล้ว คุณใหญ่ยังบอกไม่ให้ลดาไปคาดคั้นคุณแหววมาก คนทำงานหนักมาตลอด พอได้ช่วงลาพักร้อนก็อยากมีเวลาอยู่กับตัวเอง มีความเป็นอิสระ ได้ทำทุกอย่างตามใจตัวเอง ลดาเข้าใจดีค่ะ ให้คุณแหววมาพักอยู่ใกล้ๆ ขาดเหลืออะไรได้บอกกัน ลดาก็รู้สึกดีมากแล้วค่ะ”
“พี่ขอบใจนะ ที่เข้าใจ”
“ค่ะ”
“พี่ขอสัญญาอีกข้อได้ไหม ลดาจะให้พี่ได้ไหม”
“มีอะไรหรือคะ คุณแหววถามอย่างนี้ลดาไม่กล้ารับปากเลย”
“ไม่มีอะไรมากหรอก พี่อยากเห็นลดามีความสุขจริงๆ อยากเห็นชีวิตของลดานับจากนี้มีแต่รอยยิ้ม ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ ลดาไม่ต้องฝืนทน ลดายังมีพี่อยู่ทั้งคน จำได้ไหมจ๊ะ เราเป็นพี่น้องกัน เรามีกันอยู่แค่นี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับลดา ให้บอกพี่ทันที พี่จะดูแลลดาให้ดีที่สุด”
“คุณแหวว ลดาขอบคุณมากค่ะ”
“สัญญากับพี่ได้ไหมจ๊ะ” พราวพิชชาย้ำถาม น้ำเสียงคาดคั้น แล้วรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ลดาดีใจ แค่คุณแหววรับลดาเป็นน้องสาว ลดาก็ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้แล้ว...แต่สัญญาค่ะว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ลดาจะไม่ปิดบังคุณแหวว ลดาไม่ทำให้คุณแหววต้องเป็นกังวลแน่นอน ลดาเข้าใจคุณแหววดีค่ะ”
“เอ่อ...แล้วนี่ สามีของลดาอยู่บ้านไหมจ๊ะ”
ตอนนี้ยังเช้าตรู่ ถ้ารัชตะจะยังไม่กลับถึงบ้าน เพราะอาการอาจเจ็บหนักจนต้องพักค้างอยู่ที่ไหนสักแห่ง มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่สิ่งที่ได้ยินจากปิ่นลดา กลับทำให้เธอเผลอขมวดคิ้วมุ่น
“คุณใหญ่อยู่ค่ะ นั่งเฝ้าลดาตั้งแต่เช้ามืดแล้ว ไม่ยอมลุกไปอาบน้ำแต่งตัว ถ้าวันนี้ไปประชุมสายขึ้นมา ลดาจะสมน้ำหน้าให้”
“แล้วเขา...ยังสบายดีไหม”
“สบายดีค่ะ ไม่ต้องห่วง คนคนนี้แข็งแรงอย่างกับอะไรดี ไม่เจ็บไข้ง่ายๆ หรอก นอกจากจะขี้บ่นมากขึ้น อันนี้ลดาแปลกใจจริงๆ ค่ะว่าเขาเป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนแรกๆ ไม่เห็นเป็นนะคะ”
“คุณใหญ่เปลี่ยนจากเดิมมากเลยหรือจ๊ะ”
“ไม่เท่าไหร่ค่ะ แต่ยังไงลดาก็ทนได้”
เกือบจะเครียดอยู่แล้วเชียว แต่พอจบคำตอบนั้นกลับได้ยินเสียงหัวเราะร่วนของปิ่นลดาตามเข้ามา ต่อด้วยเสียงห้าวของคนที่พราวพิชชาถามถึง คล้ายว่าเขากำลังแย้งคำกล่าวหานั้น ซึ่งน่าแปลก บรรยากาศที่สัมผัสจากน้ำเสียงของสองคน มันดูรื่นรมย์ชะมัด
นายคุณใหญ่นี่ ไม่ธรรมดาจริงๆ คงรู้ว่าเป็นเราที่โทร.หาลดา เลยเล่นละครตบตาว่ารักเมียซะฉากใหญ่ แล้วอย่างนี้ลดาจะตามทันได้ยังไง
“ลดา...พี่มีเรื่องอยากบอก”
“คะ ว่ายังไงคะ”
“พี่อยู่เชียงราชไม่นานหรอก เพราะนัดเพื่อนที่จะตามมาสมทบเมืองไทย อาจไม่มีเวลาเที่ยวกับลดา”
“อ้าว ทำไมเป็นงั้นล่ะคะ ลดาอุตส่าห์ดีใจว่าจะได้อยู่กับคุณแหวว นานๆ” น้ำเสียงคนปลายสายบ่งบอกอารมณ์ผิดหวัง...เสียจนพราวพิชชาเกือบเปลี่ยนใจ เปลี่ยนแผนใหม่ ถ้าอีกฝ่ายจะไม่ชิงพูดขึ้นก่อน “แต่ไม่เป็นไร แค่เมืองไทยเอง คุณแหววเที่ยวกับเพื่อนเสร็จก็กลับมาหาลดาอีกทีก็ได้ ก่อนจะกลับไปเพิร์ท”
“ได้สิจ๊ะ ยังไงเราก็ได้เจอกันอีกแน่นอน พี่จะไปหาลดาเอง”
“โอเคค่ะ ลดาสบายใจแล้ว เที่ยวกับเพื่อนให้สนุกนะคะ ว่าแต่ก่อนไปต้องกินข้าวกับลดาสักมื้อก่อน เอาเป็นเย็นนี้ลดาจะไปหาคุณแหววที่รีสอร์ต อยากออกไปข้างนอกอยู่พอดี ไว้ตอนคุณแหววกลับมา แล้วค่อยกินข้าวกันที่บ้านลดานะคะ”
“ตกลงจ้ะ”
“งั้นลดาให้คุณแหววไปเที่ยวกับเพื่อนได้ค่ะ”
น้ำเสียงรื่นเริงดุจเดิม ทำให้พราวพิชชาคลี่ยิ้มออก แม้หัวใจจะยังหน่วงอย่างหนักอยู่ก็ตาม
“จริงๆ เลยนะเรา งั้นก็เอาตามนี้เลยจ้ะ”
ขณะที่พราวพิชชากำลังครุ่นคิดถึงแผนการช่วยน้องน้อย ทางด้านเจ้าตัวเมื่อกดตัดสาย ก็หันไปยิ้มกร่อยให้กับคนนั่งพิงหัวเตียง กอดอกมองเธออยู่
“คุณแหววไม่ได้มาหาลดาสักหน่อย”
“มานี่ มา”
รัชตะดึงเรียวแขนเสลาของคนอุ้มท้องอุ้ยอ้ายที่ยืนปักหลักคุยโทรศัพท์เสียงเจื้อยแจ้วอยู่หน้าเตียง ก่อนจะเห็นสีหน้าเธอเจื่อนลงเรื่อยๆ แม้หล่อนจะฝืนทำเสียงร่าเริงอยู่ก็ตาม ทำให้คนเฝ้ามองอดสงสารไม่ได้
“ได้ยินว่าจะไปหาพี่สาวเย็นนี้ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ” ปิ่นลดาพยักหน้า โอนอ่อนตามแรงดึงเข้าซบอกกว้างของสามี แต่เมื่อนึกบางอย่างได้จึงเงยหน้ามองเขา “ไม่ต้องห่วงนะคะ ลดารู้ว่าคุณใหญ่ติดประชุม คงกลับมาไม่ทัน คุณใหญ่บอกล่วงหน้าตั้งหลายวันแล้วว่าวันนี้ต้องกลับบ้านค่ำ ลดาจะให้คนรถไปส่งแล้วรอรับกลับ แล้วจะรายงานคุณใหญ่ให้รู้ทุกชั่วโมงเลยค่ะ”
“ครึ่งชั่วโมง”
“คะ?”
“โทร.หาฉันทุกครึ่งชั่วโมง เริ่มจากที่ออกจากบ้าน จนกลับเข้าบ้าน ฉันจะได้ไม่ห่วง”
“แต่คุณใหญ่ประชุม ลดาว่า...คงดูไม่จืดแน่ ถ้าประธานใหญ่ต้องคอยรับสายถี่ขนาดนั้น”
“งั้นส่งข้อความมาบอก”
“ได้ค่ะ แต่คุณใหญ่ต้องปิดเสียงนะคะ ลดาไม่อยากให้รบกวนคนอื่น”
“นี่สั่งประธานใหญ่เลยนะ มากไปหรือเปล่า”
รัชตะทำเสียงเข่นเขี้ยว หากดวงตาคมพราวระยับ มองภรรยาสาวด้วยสายตาเปี่ยมความรักใคร่
“ยังน้อยไปค่ะ ถ้าเทียบกับคนที่สั่งลดาตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอนทุกวันๆ”
“ฉันเป็นห่วงนี่”
“รู้ว่าคุณใหญ่รักลูกและห่วงลูกมาก ลดาสัญญาแล้วไงคะว่าจะดูแลตาหนูอย่างดีที่สุดเลย”
“ใครว่ากัน ห่วงทั้งลูกทั้งเมียนั่นแหละ ยิ่งคนหลังยิ่งห่วงมาก เพราะดื้อเป็นที่หนึ่ง บอกอะไรไม่ค่อยเชื่อ ระวังลูกออกมาจะติดนิสัยดื้อตามแม่”
“ดีสิ คุณใหญ่จะหัวหมุนไม่เว้นวัน ลดาหมั่นไส้มานานแล้ว ได้เวลาแก้แค้นคืนก็คราวนี้แหละ”
หล่อนทำเสียงฮึ่มฮั่มใส่ แถมยังกางนิ้ว กรีดเล็บคมๆ บนแผงอกหนาอย่างเย้าหยอก คนตัวใหญ่ได้แต่มองตาพราว คว้าต้นคอเมียรักมากดจูบอย่างอดใจไม่ไหว สองมือใหญ่เคล้นคลึงอกอวบใหญ่สล้างที่ขยายรองรับความเป็นมารดาในไม่ช้า เนิ่นนานหลายนาทีกว่าปิ่นลดาจะดึงตัวเองออกมาจนสำเร็จ
รัชตะมองดวงหน้าหวานงดงามที่กลายเป็นสีแดงเรื่อด้วยอารมณ์เขินอายระคนหวามไหวที่เขาจุดขึ้นมา รัชตะกดจูบขมับหนักๆ แล้วลุกเข้าห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวเพื่อออกไปทำงาน ตัดใจจากดวงตาหวานที่มองตามตาปรอยอยู่ข้างหลัง