บทย่อ
มายาสีฝุ่น โดย อรอิสรา นิยายโรมานซ์ชุด สิงห์หนุ่มแห่งเชียงราช เมื่อ พราวพิชชา สาวสวยจากเมืองเพิร์ท กลับมายังเชียงราช โดยใช้สิทธิ์ลาพักร้อนสิบห้าวันมาทำภารกิจบางอย่าง...ทั้งหมดก็เพื่อน้องสาว อะไรๆ ก็เป็นไปตามแผน มันดูสำเร็จไม่ยาก แต่แล้วก็มีมนุษย์ป่าเถื่อนอย่าง รัชภาคย์ โผล่มาทำให้แผนของเธอล่มไม่เป็นท่า พราวพิชชาคิดว่าตัวเองแกร่งพอ รับมือเขาได้แน่นอน คราวนี้จะตอกกลับเขาให้หน้าหงาย สมกับที่เคยกวนอารมณ์เธอมาแล้วครั้งหนึ่ง แค่สบโอกาสเถอะ เธอจะจัดการให้อยู่หมัด ♥♥♥ แล้วจะเป็นไปได้แค่ไหน... เมื่อพราวพิชชาไม่รู้เลยว่าคู่ปรับเก่าอย่างรัชภาคย์มีแผนอะไรอยู่ในใจ เกมนี้เธอจะได้เอาคืนเขา... หรือจะเป็นเขาที่ทำให้ชีวิตเธอพลิกคว่ำคะมำหงายตลอดการลาพักร้อนกันแน่ +++++++++ ‘คนท้องคนไส้...หมายถึงลดางั้นหรือคะ ลดาท้องหรือ’ ‘อ้าว! ไม่รู้เหรอว่าน้องสาวคุณท้องจนจะคลอดแล้ว คุณป้า’ พราวพิชชา ถึงกับกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินคำพูดสวนของ รัชภาคย์ เธอตั้งใจจะไม่สนใจมนุษย์ป่าเถื่อนคนนี้อยู่แล้ว แต่วาจาเราะร้ายที่กระทบโสตประสาท ไม่อาจทนไหวจริงๆ แล้วชายชราที่ดูน่าเกรงขามก็ห้ามทัพ...เป็นครั้งที่เท่าไหร่เธอก็ไม่ได้จำ ‘นายเล็ก หยุดพูดสักห้านาทีเถอะ คุยไม่รู้เรื่องกันพอดี’ ท่านชายปราม แล้วถามแขกสาว ‘ชื่ออะไรล่ะหนู จะได้ให้เด็กบอกนายใหญ่ถูก’ ‘พราวพิชชาค่ะ พี่สาวของลดา’ ‘ชื่อยังกะลิเก’ เสียงเปรยเข้าหูในระยะประชิด พราวพิชชาต้องกลั้นอารมณ์อีกรอบ...
1 ความประทับใจนี้ไม่รู้ลืม
เป็นครั้งที่สองที่พราวพิชชาได้มาเยือนเมืองเชียงราช นับจากครั้งแรกเมื่อปลายปีก่อนที่ต้องเดินทางมาร่วมงานแต่งงานของปิ่นลดา...น้องสาวบุญธรรมอย่างกะทันหัน คราวนั้นหญิงสาวใช้เวลาอยู่ในเมืองนี้ไม่ถึงสามชั่วโมงดีก็ต้องเดินทางกลับเมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย...สถานที่ที่อยู่มาร่วมสิบปี ตั้งแต่เรียนไฮสกูล จนจบมหาวิทยาลัยแล้วใช้ชีวิตคนทำงานต่อ
พราวพิชชาคุ้นเคยกับเมืองเพิร์ทพอๆ กับกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองเกิดของเธอ ถึงขนาดเคยวางแผนว่าถ้า ‘ครอบครัว’ ในเมืองไทยจะย้ายไปอยู่ด้วยกันเสียที่นั่น เธอคงมีความสุขไม่น้อย
และภาพที่วาดหวังก็เกิดขึ้น...เหตุการณ์นั้นผ่านมาแค่ปีกว่า พ่อกับแม่ของพราวพิชชาพากันหอบหิ้วบินไปหาอย่างที่เธอไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันได้บอกกล่าวให้เตรียมต้อนรับ หากนั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะก่อนย้ายไปคราวนั้นพ่อกับแม่ได้ขายบ้านและทรัพย์สินในเมืองไทยจนหมดสิ้นแล้ว ทั้งสองคนจึงมีเงินมากพอไว้ดูแลตัวเองโดยไม่ต้องเป็นภาระใดๆ สำหรับเธอเลย
พราวพิชชาดีใจที่ได้อยู่พร้อมหน้า คิดจะซื้อบ้านและตั้งต้นใหม่กัน แต่ก็ยังมีสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเธอ...ปิ่นลดาที่เธอถือว่าเป็นคนร่วมครอบครัวกลับไม่ได้ไปพร้อมกับพ่อและแม่ด้วย
เมื่อถามจากผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนก็ได้คำตอบว่าน้องสาวบุญธรรมสมัครใจอยู่เมืองไทยต่อ เพราะเจ้าตัวมีงานมีการทำ จึงไม่ต้องการย้ายไปอยู่ที่เพิร์ทเอง
ช่างขัดแย้งเหลือเกิน...มันก่อกวนจิตใจของพราวพิชชาจนไม่อาจสลัดความสงสัยนั้นไปได้
ปิ่นลดาเป็นคนเรียนเก่ง เจ้าตัวเคยวางแผนให้เธอช่วยหาทุนเรียนต่อในระดับปริญญาโทไว้ให้ที่ออสเตรเลียด้วยซ้ำ พราวพิชชาชื่นชมในความตั้งใจและมุ่งมั่นของน้องสาวเสมอ ความรู้สึกนั้นเคยปนด้วยความอิจฉา ในความไม่พร้อมของปิ่นลดาด้วยพ่อกับแม่อุปการะเพียงไม่ให้ขาดแคลน แต่ไม่ได้สนับสนุนเต็มที่อย่างที่มีให้เธอ แต่ปิ่นลดาก็ไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจ ตรงกันข้ามเจ้าตัวกลับยิ้มตาพราวทุกครั้งเมื่อพูดถึงการได้อยู่ร่วมครอบครัวกับเธอ แถมตบท้ายด้วยคำพร่ำถึงบุญคุณของพ่อกับแม่...จนพราวพิชชายอมแพ้ในความคิดดีของปิ่นลดาไปเอง
จนเมื่อเจ้าตัวเรียนจบมหาวิทยาลัย เป็นจังหวะที่พ่อแม่ย้ายไปอยู่กับเธอ...คนที่ตั้งมั่นจะย้ายไปเรียนต่อด้วย อีกทั้งยังเคยสัญญาว่าจะดูแลพ่อกับแม่ตอนแก่ชราเองกลับไม่ได้ตามไป...พราวพิชชาถึงได้คาใจมาตลอด
กระทั่งได้รู้เกี่ยวกับน้องสาวในวันที่ล่วงผ่านไปหลายเดือน พราวพิชชาได้รู้ว่าสิ่งที่พ่อกับแม่บอกนั้นมันไม่ใช่เลย
ความเป็นจริงคือปิ่นลดาถูกส่งไปให้ทำงานที่น่าอดสูใจในเมืองเชียงราช เมืองที่เธอไม่เคยแม้จะได้ยินชื่อมาก่อน ภาพที่นึกไว้จึงมีแต่ความเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน และยิ่งทำให้หญิงสาวแทบล้มทั้งยืนเมื่อรู้เพิ่มว่าชะตากรรมของน้องสาวเกิดขึ้นโดยมีต้นเหตุมาจากตัวเธอ ครอบครัวมีหนี้สินล้นพ้นตัวจากการส่งเธอเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก เมื่อถูกเจ้าหนี้ตามทวงอย่างเลือดเย็น พ่อกับแม่จึงเลือกล้างหนี้ด้วยการส่งปิ่นลดาไปรับเคราะห์แทน
รู้เพียงเท่านั้นพราวพิชชาก็ไม่ยอมอยู่เฉย...วันรุ่งขึ้นเธอก็เดินทางออกจากเมืองเพิร์ทโดยไม่ยอมฟังคำคัดค้านจากใคร
ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับตน ก็จะสู้จนยิบตาเพื่อจะพาน้องสาวกลับไปให้ได้
จนเมื่อมาถึงเมืองเชียงราช ภาพในวันนั้นซึ่งเป็นวันฉลองการแต่งงานของปิ่นลดากับรัชตะ เจ้าของอาณาจักรราชเกียรติกูรแถมพ่วงด้วยตำแหน่งเจ้าหนี้ของครอบครัว...บางสิ่งที่เห็นระหว่างคนทั้งสองก็ทำให้พราวพิชชาต้องลังเล แล้วเกิดความโล่งใจแทรกเข้ามาแทน
ท่าทีของปิ่นลดาและรัชตะที่แสดงต่อกันทำให้พราวพิชชายอมเปลี่ยนใจ นอกเหนือกว่านั้นความรู้สึกผิดในใจเธอก็บรรเทาลง มันเจือจางบางเบา...แม้จะไม่หมดสิ้นเสียทีเดียว
‘แหววฝากลดาให้คุณใหญ่ดูแลนะคะ ลดาเป็นเด็กดี ได้เห็นวันนี้ว่าน้องมีความสุข แหววก็ดีใจ ทางครอบครัวเราไม่ต้องการอะไรหรอกค่ะ’
พราวพิชชายังจำประโยคของตัวเองที่บอกกับน้องเขยซึ่งวัยอาวุโสกว่าอย่างน้อยก็คง 6-7 ปี เมื่อเขาถามถึงสินสอดย้อนหลัง วูบหนึ่งนั้นเธอรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ เมื่อเห็นว่าทั้งปิ่นลดาและรัชตะยังคงให้เกียรติครอบครัวเธออยู่...
‘คุณแหววไม่ต้องห่วงครับ ลดาเป็นผู้หญิงที่ผมรัก เธอเป็นหัวใจของผม ผมมีหน้าที่ดูแลและรักเธออยู่แล้ว’
คำพูดของรัชตะดังก้องหูตามมา พราวพิชชาจดจำถ้อยคำนี้ไม่ลืมเลือน...ประทับใจในความรักและความรู้สึกปกป้องของรัชตะที่มีต่อน้องสาว คำยืนยันหนักแน่นจากผู้ชายตัวโต ท่าทางสง่าภูมิฐานกับบุคลิกที่ดูน่าเกรงขามนั้น ทำให้ความกังขาในใจของเธอจางหายแทบจะทันที
พราวพิชชาหยิบแก้วพั้นช์ขึ้นมาจิบ เอนกายกับเก้าอี้หวายตรงระเบียงรีสอร์ต แสงอ่อนของแสงอาทิตย์ยามเย็นกำลังอุ่นสบาย เธอหลับตา ใบหน้ายังเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม...ภาพของสองคนในวันนั้นคงตรึงอยู่ในใจเธอ
แล้วรอยยิ้มของพราวพิชชาก็คลายลง ดวงตาคู่สวยหรี่ปรือขึ้น
เสียงใสๆ ช่างฉอเลาะเคล้าเสียงห้าวทุ้มของผู้ชายดังมาใกล้เรื่อยๆ ...เรียวคิ้วสวยของหญิงสาวขมวดมุ่น เริ่มจะไม่พอใจเมื่อความสงบที่อยู่คู่กับความทรงจำอันแสนจะอบอุ่นหัวใจของเธอกำลังถูกขัดจังหวะ
หล่อนถอนหายใจอย่างปลงๆ จนเมื่อคิดว่าต่างคนต่างอยู่แล้วกัน ระเบียงรีสอร์ตออกจะกว้าง ทอดยาวเกือบยี่สิบเมตร เก้าอี้หวายก็วางอยู่ตั้งหลายมุม หนุ่มสาวสองคนคงอยากสวีตกัน เดี๋ยวพวกเขาเห็นเธออยู่ ก็คงหลบไปเลือกมุมส่วนตัวไกลๆ เองนั่นแหละ...
ใครจะบ้าเลือกสถานที่ฉอเลาะต่อหน้าคนอื่นกันเล่า
พราวพิชชาหลับตาพริ้มลง เริ่มต้นบรรยากาศผ่อนคลายของตัวเองต่อ หากแค่แพขนตาทาบชิดพวงแก้มนวล ดวงตาหวานก็มีอันเบิกโพลงขึ้น...
“เมื่อวานหายไปทั้งวัน นัดกันแล้วด้วยซ้ำ หนูโทร.ไปหาก็ติดต่อไม่ได้ หนูร้อนใจทั้งวัน กลัวว่าคุณจะไม่สบาย หรือเป็นอะไรไป แล้วหนูจะทำยังไง”
“โถ แค่โทร.ไม่ติด คิดว่าผมจะชิงหนีตายไปเลยหรือจ๊ะ”
เสียงหัวเราะห้าวดังขลุกขลักในลำคอ...จะว่าซาบซึ้งก็ไม่เชิง มันฟังดูขำๆ ระคนเย้ยหยันชอบกล จนคนแอบฟังเผลอมุ่นคิ้วสงสัยตาม!
“คุณอยากทำให้หนูเป็นห่วงเองนี่ พอโทร.ไปที่ทำงาน ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้รับสาย พูดจากระโชกโฮกฮาก ฟังไม่ได้เลยค่ะ”
“คนทำงานอย่างพวกผมก็อย่างนี้แหละ อีกอย่างผมบอกหลายครั้งแล้วว่าห้ามติดต่อมา โดยเฉพาะเวลาทำงาน เพราะผมยุ่งมากจ้ะ เห็นไหม พอไม่ฟังกันก็ต้องมาอารมณ์เสีย”
“หนูคิดว่าเป็นผู้หญิงของคุณซะอีก แต่ถึงใช่ก็ไม่สน วันนี้ไหนๆ คุณก็มาแล้ว หนูไม่ให้กลับไปง่ายๆ แน่ หนูเปิดห้องไว้แล้วค่ะ คืนนี้ใครจะรอคุณอยู่ก็เตรียมตัวรอเก้อไปได้เลย”
กรี๊ด! ไม่ไหวแล้ว ทุเรศที่สุด ที่ทางออกตั้งเยอะ ยังมาเลือกจู๋จี๋กันอยู่บนหัวฉันนี่นะ!
พราวพิชชาหายใจถี่ เมื่อสดับรับฟังจนมั่นใจว่าแหล่งเสียงกระซิบระริกระรื่นนั้นดังอยู่เหนือศีรษะเธอ...มันจ่อใกล้นิดเดียว...ยังดีนะที่มีพุ่มไม้เตี้ยๆ ในกระถางวางประดับกั้นไว้พอพรางสายตา ไม่อย่างนั้นภาพอุจาดก็คงตามจ่อให้เธอเห็นเต็มๆ ด้วยแน่
หญิงสาวกลั้นอารมณ์เดือดปุดไว้ เมื่อนึกต่อว่าชายหญิงที่กำลังพลอดกัน ไม่ใช่คู่รักหวานชื่น แต่ฟังดูเหมือนว่าเป็นพวกหนีเมียมาหาผู้หญิงนอกบ้านเสียมากกว่า...
“ใครรอกันจ๊ะ ไม่มี บอกกี่ครั้งก็ไม่เชื่อกัน”
เสียงห้าวกระซิบยังดังตามมา มือเรียวของพราวพิชชากำแน่น ยิ่งฟังถ้อยคำมากเข้า เธอก็ยิ่งรู้สึกขนลุกขนชัน จนเกินสุดจะทนต่อได้อีก
ให้ตายเถอะ ถึงไม่เคยมีประสบการณ์ตรง แต่เธอก็เกลียดเรื่องทรยศหักหลังพวกนี้จริงๆ!
ร่างบางลุกขึ้นยืนพรวด นึกอยากจะพาตัวเองออกจากบรรยากาศชวนสะอิดสะเอียนนี้เต็มทน
เพล้ง...
“ว้าย!”
พราวพิชชาผงะ เมื่อเสียงหวานฉอเลาะเปลี่ยนเป็นดังแผดจนแสบแก้วหู ก้มมองบนพื้นจึงเห็นว่าแก้วเครื่องดื่มอะไรสักอย่างตกแตกกระจาย และเมื่อเลื่อนสายตาขึ้นสูง ภาพที่เห็นกลับทำให้เธอต้องนิ่งงัน กะพริบตาถี่
“เป็นบ้าหรือไง จู่ๆ ก็โผล่พรวดออกมา ตกใจหมด คิดว่าผีหลอก”
เจ้าของเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ถามเสียงแหว แต่ไม่อาจดึงความสนใจของพราวพิชชาไปหาได้
สายตาของเธอจับจ้องอยู่กับผู้ชายร่างสูงใหญ่ในชุดคนทำงานด้วยเชิ้ตแขนยาวและกางเกงสแล็ก...ดูสุภาพ และดวงหน้าคมคายที่แม้จะอยู่ในเงาสลัว มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟตรงระเบียงส่องห่างๆ แต่เธอก็จดจำได้แม่นยำ
ยิ่งจ้องมอง กวาดสายตาสำรวจทั่วร่างนั้นเท่าไร มันก็ยิ่งใช่...ใช่จนพราวพิชชาไม่ต้องขยี้ตามองซ้ำ
“นี่คุณเองหรือ”
หล่อนครางถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ...แม้สายตาจะยืนยันว่าสิ่งที่เห็นนั้นถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วก็ตาม
“ไม่...คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง”
ความรู้สึกขัดแย้งเกิดขึ้นในหัวของพราวพิชชา หล่อนมองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาผิดหวัง และเจ็บปวดแทนกัน...
“แล้วนี่เธอเป็นใคร ถึงมายืนจ้องพวกเราอยู่ได้”
สมองอื้ออึงไปหมด ไม่รับรู้ต่อคำถามของผู้หญิงคนนั้น ความสนใจของเธอยังอยู่ที่ผู้ชายซึ่งยังยืนจ้องสบตากันอย่างไม่สะทกสะท้านพราวพิชชายิ่งแค้นเคืองใจ เมื่อคิดว่าเขาคงทำอย่างนี้จนชินชาแล้วสินะ...ถึงไม่ตกใจ ไม่รู้สึกว่ากำลังทำผิดอยู่เลย!
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครคะ คุณรู้จักหรือเปล่า”
พราวพิชชามือสั่น เนื้อตัวสั่นเทิ้มไปหมด คิดไม่ออกว่าอยากจะได้ยินคำตอบใดดังออกมา แต่เมื่อเขายังปิดปากเงียบ...หล่อนก็ไม่อาจทนอยู่กับเหตุการณ์บ้าบอนี้ได้อีก
หากหล่อนก็ยังเหลือสติ ก้มคว้ากระเป๋าสตางค์ที่วางบนโต๊ะเล็กใกล้เก้าอี้สานที่เอนนอนเมื่อครู่ติดมือขึ้นมา แล้วหันกายพรืด ก้าวออกห่างจากหญิงร้ายชายเลวคู่นั้น
แต่แค่ไม่กี่ก้าว สองเท้าของหญิงสาวก็ถูกตรึงเอาไว้กับที่...ถ้อยคำที่ลอยตามมาทำให้สติที่พอจะควบคุมได้นั้นหลุดผึงลง
“ไม่รู้สิ ผมไม่รู้จัก ผู้หญิงบ้าที่ไหนก็ไม่รู้”
หล่อนหันขวับไปมองสองคนที่ยังยืนเด่นอย่างหน้าไม่อาย ฉวยวัตถุใกล้มือ...ไม่สนใจละว่ามันเป็นอะไร แล้วสิ่งนั้นก็ปลิวปะทะร่างสูงใหญ่อย่างเหมาะเหม็ง
“ไปตายซะ ผู้ชายทรยศ!”
เสียงกรีดดังอย่างคนกำลังโกรธสุดขีด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหลุดออกจากปากเธอได้อย่างไร ตลอดมาพราวพิชชาควบคุมตัวเองได้เสมอ แต่คราวนี้มันเกินไปจริงๆ
แล้วเสียงตึงใหญ่ คล้ายวัตถุหนักตกกระแทกพื้นก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงโหยหวนคล้ายคนเจ็บเจียนตาย
พราวพิชชาไม่หยุดมองเหตุการณ์นั้น หล่อนจ้ำเท้าออกมาเมื่อเห็นว่าพนักงานรีสอร์ตวิ่งหน้าตื่นจากอีกด้าน ตามมาด้วยใครต่อใครก็ไม่รู้ ในระยะไกลๆ เสียงกรีดร้องอย่างตกใจของผู้หญิงยังแว่วมาให้ได้ยิน ประสานด้วยเสียงห้าวร้องโอดโอย
ถ้าพราวพิชชาจะหยุดฟังสักนิด ถ้อยคำของพวกเขาคงทำให้หล่อนตกใจซ้ำอีกรอบ...