บท
ตั้งค่า

2 พี่สาวที่แสนดี 2

ปิ่นลดาออกอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะนั่งรอพราวพิชชาในห้องรับรองของรีสอร์ต

เธอมาถึงก่อนเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมง คิดจะไปเซอร์ไพรส์พี่สาวในห้องพัก แต่พอมาถึงกลับพบว่าเจ้าตัวออกไปทำธุระข้างนอก จนเธอต้องมานั่งรออยู่ในนี้ และนี่ก็เลยเวลาสี่โมงเย็นซึ่งเป็นเวลานัดไปกว่าสิบนาทีแล้ว

‘คุณพราวพิชชาเปิดห้องรับรองไว้ แล้วแจ้งทางเราให้เชิญคุณปิ่นลดารอในห้องนี้ ถ้าเธอกลับมาไม่ทันน่ะค่ะ’

พนักงานรีสอร์ตบอก พอถามต่อว่าพราวพิชชาไปธุระที่ไหน ปิ่นลดาก็ได้รับคำตอบว่าไม่ทราบคำเดียว โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของแขก พวกเธอจึงไม่อาจก้าวล่วงเกินขอบเขต

ปิ่นลดาจึงต้องทำใจยอมรับ นั่งรอต่อ แต่เมื่อเวลายิ่งผ่านไป ใจเธอก็ยิ่งร้อนรน หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือมาส่งข้อความหาสามีตามสัญญา บอกเพียงว่าเธอมาถึงรีสอร์ตแล้ว และกำลังนั่งอยู่ในห้องรับรอง...แต่ไม่กล้าบอกต่อว่าเธอยังอยู่คนเดียว ไม่มีแม้เงาคนที่ตั้งใจมาหา เพราะกลัวว่ารัชตะจะเป็นห่วงจนต้องเสียการเสียงาน

“คุณแหววนะคุณแหวว โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ เป็นอะไรของเขานะ วันนี้อากาศก็หนาวลงมาก ไม่รู้ว่าได้เตรียมเสื้อกันหนาวออกไปด้วยหรือเปล่า แล้วไปไหน ไปยังไง รถก็ไม่มีให้ใช้ รีสอร์ตนี่ก็อยู่นอกเมือง”

ปิ่นลดาถอนใจไปหลายเฮือก เมื่อคิดต่อว่าแม้พราวพิชชาจะเก่งและคล่องแคล่วสักแค่ไหน และเมืองเชียงราชถึงจะเป็นเมืองที่เจริญแบบก้าวกระโดด แต่สภาพเมืองและสังคมก็ยังห่างไกลจากเมืองใหญ่ที่พราวพิชชาคุ้นชิน ไม่ว่าจะกรุงเทพฯ หรือเมืองเพิร์ท

“พนักงานบอกว่าไม่ได้ออกไปกับรถรีสอร์ต และไม่ได้เรียกรถแท็กซี่ในเมืองให้มารับ แล้วคุณแหววไปธุระยังไง” ปิ่นลดามุ่นคิ้วคิด มองโทรศัพท์มือถือ แล้วพึมพำต่อด้วยเสียงขึ้นจมูก “ลดาให้เวลาคุณแหววจนถึงสี่โมงครึ่ง ถ้ายังไม่กลับมา ลดาจะบอกคุณใหญ่ให้ส่งคนตามหา คอยดูสิ”

ใบหน้าหวานมุ่ยลง เมื่อคิดว่าพราวพิชชาเป็นครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเธอ ตอนรู้ว่าพราวพิชชาลาพักร้อนแล้วจะมาหา ปิ่นลดาก็ดีใจจนน้ำตาซึม เพราะตั้งแต่เธอแต่งงานก็เหมือนถูกตัดขาดจากพ่อและแม่บุญธรรม สองคนนั้นยังไม่ยอมติดต่อมา พอเธอโทร.ไปหาผ่านทางพราวพิชชา ก็ยังปฏิเสธที่จะคุยด้วย

‘ถ้าท่านทั้งสองยังไม่พร้อมก็อย่าเพิ่งไปคาดคั้น ลดาพอรู้สาเหตุอยู่แล้วว่าทำไม ให้เวลาพวกท่านหน่อยเถอะ’

รัชตะให้เหตุผลที่เธอพอจะสบายใจ แต่กลับมีเสียงของรัชภาคย์ที่เดินผ่านมาแล้วได้ยิน โต้อย่างอดทนฟังไม่ได้

‘ละอายแก่ใจอยู่ละสิที่ขายลูกสาวกิน ยิ่งไม่ใช่ลูกในไส้ก็ยิ่งจะอายหนัก ขายลูกบุญธรรมเอาเงินไปปรนเปรอให้ลูกสาวในไส้ คนอะไรช่างทำกันได้ ถ้าฉันรู้ว่าออกมาในรูปนี้ ไม่เป็นเครื่องมือให้สองผัวเมียนั่นหรอก’

ปิ่นลดาได้แต่ทำหน้าแหย แม้เรื่องที่รัชภาคย์พูดจะเป็นเรื่องจริงจนไม่อาจแย้งได้ แต่เธอก็ยังเอนเอียงไปทางพ่อแม่และคุณแหววอยู่ ยังไม่อยากได้ยินใครวิจารณ์ถึงพวกเขาในเชิงลบ

และเป็นรัชตะเหมือนเดิมที่เข้าใจและปกป้องเธออยู่

‘เรื่องในครอบครัวมันละเอียดอ่อนน่านายเล็ก และเรายังถือว่าเป็นคนนอก จะพูดจะออกความเห็นอะไรก็ยั้งๆ เอาไว้หน่อย’

‘ไม่ว่าฉันจะพูดหรือไม่พูด แต่ความจริงก็เป็นความจริงวันยังค่ำ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พวกเขาขายบ้านขายที่ได้เงินตั้งกี่สิบล้าน หอบไปเสวยสุขกับลูกสาวที่ต่างประเทศ หนี้สินของนายก็ไม่ใช้คืน มันน่าตามไปทวงหนี้ข้ามประเทศจริงๆ คราวนี้เอาซะให้ทบต้นทบดอก จะได้ล้มละลายกันทั้งบ้าน’

ไม่มีใครห้ามรัชภาคย์ไม่ให้พูดได้ แม้แต่รัชตะเอง ปิ่นลดาได้แต่ทำหน้าจะร้องไห้ แต่เธอก็ไม่ได้ขุ่นเคืองรัชภาคย์หรอก เพราะได้ยินถ้อยคำทำนองนี้มาหลายหน รู้แก่ใจว่าส่วนหนึ่งเพราะเขาโกรธแทนเธอนั่นเอง

รัชภาคย์คิดว่าสิ่งที่ปิ่นลดาได้รับช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เขาเองก็เคยขอโทษที่มีส่วนให้เธอต้องมาที่นี่ โชคดีของปิ่นลดาที่สุดท้ายได้มีชีวิตที่ดีอยู่กับรัชตะ...แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ มันไม่กลายเป็นการทำลายอนาคตผู้หญิงคนหนึ่งเลยหรือ

ความรู้สึกของรัชภาคย์ทั้งหมดทั้งมวล ปิ่นลดาเข้าใจและรับรู้ได้เป็นอย่างดี คงเป็นสิ่งเดียวที่ยังทำให้ระหว่างเธอซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้และตัวเขายังรู้สึกอิหลักอิเหลื่อกันอยู่

ตอนพบกันในวันแต่งงานของเรา คุณแหววก็มีท่าทีเป็นมิตรกับคุณใหญ่ คุณใหญ่เองก็ให้เกียรติคุณแหวว กับคุณเล็กก็น่าจะเหมือนกัน บางทีถ้าคุณแหววได้รู้จักกับคุณเล็ก ได้พูดคุยกันดีๆ สองคนนี้อาจเปลี่ยนความรู้สึกก็ได้ แล้วอาจทำให้ความรู้สึกของคุณเล็กที่มีต่อครอบครัวเราดีขึ้นด้วย

ปิ่นลดาคิด เธอมีความหวังเสมอ แม้วันนี้จะยังไม่เห็นหนทางก็ตาม

ทางด้านคนที่ปิ่นลดารอคอยอยู่ เมื่อลงจากรถสองแถวก็รีบวิ่งเข้ามาในรีสอร์ต จากหน้าถนนใหญ่จนถึงตัวรีสอร์ตนับระยะทางกว่าสองร้อยเมตร เธอวิ่งฝ่าสายลมหนาวที่พัดกรูปะทะ จนมาถึงส่วนบริการก็ถึงกับหนาวสั่นทีเดียว

ท่าทางของเธออยู่ในสายตาของผู้ชายสองคน แรกทีเดียวพวกเขาหันไปสบตา เชิงว่าไม่มั่นใจว่าจะใช่ตามที่เห็น เพราะช่างผิดจากคำบอกที่ได้รับมามากนัก จนต้องยกโทรศัพท์มือถือเพื่อจะเพ่งดูภาพถ่ายในจอ

พราวพิชชาวิ่งซอยเท้าต่อไปยังห้องรับรองเพราะไม่อาจฝืนสู้กับลมหนาวด้วยเสื้อยืดตัวเดียวกับกางเกงผ้าฝ้ายแบบลำลอง หลังจากสอบถามพนักงานถึงปิ่นลดา จนรู้ว่าน้องสาวมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

ทันทีที่เปิดประตูออก ปิ่นลดาหันขวับมามอง ดวงตาเบิกโต เกือบจะโผนมาหาทั้งตัว ถ้าพราวพิชชาไม่ตรงดิ่งไปหาเสียเองก่อน

“คุณแหวว คุณแหววมาแล้ว โอ๊ย...ลดาคิดถึงจังเลย”

จากที่คิดเอาไว้ร้อยแปดว่าเมื่อพี่สาวกลับมาถึงจะต่อว่า คาดคั้น และบอกว่าเธอแสนห่วงสักแค่ไหน แต่พอได้พบหน้าสิ่งเหล่านั้นก็หายหมด เหลือเพียงความดีใจจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อีก

ปิ่นลดากอดพี่สาวเอาไว้แน่น ขณะอีกฝ่ายโอบหล่อนไว้หลวมๆ

พราวพิชชาเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังทำตัวไม่ถูกเมื่อพบกับน้องสาว ปิ่นลดาดูสวยงาม เปล่งปลั่ง แค่มองก็รับรู้ถึงรัศมีความสุขที่อาบทั่วกายอย่างที่เธอไม่ชินตา และผิดจากที่คาดว่าจะเห็น แถมเมื่ออยู่ในสภาพว่าที่คุณแม่...พราวพิชชาก็ยิ่งรู้สึกงงงัน ตื้นตัน และดีใจ ปนเปไปหมด

“ดีใจจังได้เจอคุณแหวว ลดาคิดถึ้ง คิดถึง”

ปิ่นลดาตอกย้ำความรู้สึกของตัวเองโดยการกอดและซบกับไหล่บางแล้วหลับตาพริ้ม รู้สึกถึงมือบางของพี่สาวลูบศีรษะแผ่วเบา

“คุณแหวว...”

“อ้อนเป็นเด็กเลยนะ ลดา”

“คิดถึงเหลือเกิน ไม่อยากให้คุณแหววไปไหนอีก”

ถ้อยคำไม่กี่คำที่ปิ่นลดาครวญออกมา พราวพิชชาถึงกับตัวแข็งเกร็ง มันเหมือนสองคนย้อนวัยไปตอนเป็นเด็กน้อย ปิ่นลดาที่คอยตามหาเธอเมื่อรู้สึกกลัว หรือร้องไห้เพราะความคิดถึงพ่อแม่ที่จากไปแล้ว คงมีแต่เธอที่คอยปลอบ...ปลอบไปตามประสาเด็กที่วัยโตกว่าแค่สามปี เอาเข้าจริงๆ พราวพิชชาไม่ได้เข้าใจปิ่นลดานัก เพียงแต่เธอไม่เคยปฏิเสธเมื่อปิ่นลดาเดินมาหา...เพราะเคยเห็นภาพที่พ่อกับแม่ดุว่าและกีดกันไม่ให้เข้าไปคลอเคลีย

มันเกิดจากความสงสารล้วนๆ ไม่ใช่ความเข้าใจ หรือเข้าถึงความรู้สึกของน้องสาวบุญธรรม

หลายสิ่งที่ผ่านมาเมื่อพราวพิชชาโตพอ คิดย้อนถึงจึงเริ่มเข้าใจมากขึ้น บางสิ่งก็ทำให้เธอเกิดความรู้สึกผิดและละอาย แต่ทั้งหมดก็ถูกเก็บไว้ในใจอยู่ลึกๆ

“มารอพี่นานหรือยัง”

“สักพักแล้วค่ะ ตั้งใจจะให้คุณแหววประหลาดใจ จะบุกถึงห้อง แต่ที่ไหนได้ คุณแหววกลับเซอร์ไพรส์โดยการหายแวบไปแทน”

ปิ่นลดาได้ทีต่อว่าอย่างงอนๆ คิดว่าจะได้ยินพี่สาวบอกอะไรให้รู้ แต่อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งเงียบ ก้มมองซุปร้อนที่พนักงานยกมาเสิร์ฟ แล้วจมอยู่กับมันแทน

“คุณแหววไม่คิดจะบอกลดาหรือว่าหายไปไหน พนักงานรีสอร์ตบอกแต่ว่าคุณแหววสั่งไว้ว่าจะไปทำธุระ ธุระอะไร ที่ไหน แล้วไปยังไง เอ่อ...เมื่อกี้กลับมายังไงล่ะ แล้วดูเสื้อผ้าสิ ใส่อย่างนี้ไม่หนาวเหรอ”

“ช่างสงสัยจริงเรา คำถามรัว พี่ตอบไม่ทัน”

“ไม่ต้องมาเฉไฉ ตอบมาก่อน ไปไหนมา”

คำถามง่ายๆ แต่คนถูกถามนิ่งเงียบต่อ จนปิ่นลดาถอนหายใจยาว พราวพิชชาถึงเงยขึ้นมอง

“บอกมาเถอะค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าลดาจะน้อยใจ ที่มาเชียงราชก็ไม่ได้มาหาลดาใช่ไหม มีคนอื่นสำคัญกว่า”

“พี่ไปพบคนรู้จักที่รีสอร์ตอีกฝั่งเมืองมาจ้ะ และคนคนนี้ก็สำคัญน้อยกว่าลดา...ไม่ต้องมาประชดพี่”

“ก็เท่านี้”

ปิ่นลดายิ้มแต้เมื่อได้คำตอบที่ถูกใจ สองมือเริ่มสาละวนกับอาหารตรงหน้า เพราะเพิ่งได้สังเกตว่าพนักงานเสิร์ฟยกมาเต็มโต๊ะแล้ว ทั้งที่เธอก็ไม่ได้สั่งอะไรไว้สักอย่าง...คุณแหววคงจัดการก่อนออกไปข้างนอก

ปิ่นลดาหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความยิกๆ แล้วกดส่งพร้อมรอยยิ้มอารมณ์ดี วินาทีถัดมาก็ได้ยินเสียงข้อความตอบกลับดังตาม เจ้าหล่อนอมยิ้ม แววตาพราวหวาน

เมื่อช้อนตาขึ้นก็เห็นพราวพิชชามองอยู่ จึงออกปากบอก

“ลดาส่งข้อความไปบอกคุณใหญ่ คุณใหญ่ให้รายงานความเคลื่อนไหวทุกครึ่งชั่วโมง บอกว่าห่วงลดา แต่จริงๆ ห่วงลูกต่างหาก ลดารู้ทัน แล้วนี่เมื่อกี้ลดาก็คิดนะว่าถ้ายังติดต่อคุณแหววไม่ได้ ก็จะให้คุณใหญ่ส่งคนตามหาด้วย ว่าแต่คุณแหววไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปหรือ ลดาโทร.หาไม่ติด”

พราวพิชชาทำหน้าเหลอหลา หยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองจากกระเป๋าผ้าใบเล็กซึ่งมีโลโก้ของรีสอร์ตติดอยู่ เป็นของที่ระลึกที่รีสอร์ตทำไว้สำหรับลูกค้า แล้วดึงออกมาแกว่งตรงหน้าน้องสาว

“แบตหมด”

ปิ่นลดากลอกตาอย่างจำยอม ก่อนชักชวนให้พี่สาวรับประทานอาหารที่สั่งมาเต็มโต๊ะ

พราวพิชชาตามใจน้องสาว พร้อมลอบสังเกตไปด้วย

...ปิ่นลดามีท่าทีเป็นปกติ ร่าเริงดี แถมยังดูมีความสุขมากกว่าที่เธอเคยเห็น จะว่าเจ้าตัวแสร้งทำก็ไม่น่าจะใช่ เพราะทุกอย่างมันฟ้องออกมาให้เธอได้สัมผัสอยู่ทุกวินาที

อาจเป็นไปได้ว่ารัชตะนอกใจปิ่นลดา หาเศษหาเลยนอกบ้าน แต่ขณะเดียวกันก็ยังทำหน้าที่สามี ยังทำทีว่ารักปิ่นลดาและลูกที่กำลังเกิดมาดีอยู่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel