4
ผู้ชายด้วยกัน อะไรมันก็ง่าย
ปืนใหญ่เล่าเรื่อง
“ได้สิ ผมเก็บของเสร็จจะตามไป” ลงเอยตอบ
ผมยักไหล่ให้เขา ก่อนคว้าเอาถุงตัวอย่างขนมจากลงเอยมาถือ
“เอ ปืนใหญ่ ดูแปลกไป หรือว่าไม่ชอบสีเสื้อช็อปสถาบันผม” ลงเอยไม่วายถามในสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างปุบปับ เชี่ย... ลงเอยอ่านความคิดคนได้หรือไง มันมีหูทิพย์ตาทิพย์อะไรแบบนั้นไหม ถึงสามารถพูดจี้ใจดำและขยี้ความรู้สึกผมจนแหลกลาญขนาดนี้
“ปะ เปล่าเนี่ย แค่ไม่เคยเห็นพวกสวมช็อปดำมาแนวหวานจ๋อยทำขนมไง ปืนเลยแปลกใจนิดหน่อย”
ซึ่งเสื้อช็อปดำคือสถาบัน B ที่ลงเอยเรียน เป็นของเอกชนที่ตั้งขึ้นก่อนโรงเรียนผม ตั้งอยู่อีกซอยซึ่งไม่ห่างกันสักเท่าไร
“บางที คนเราก็มองแค่ข้างนอกไม่ได้ เอาเป็นว่าผมรับนัดปืนใหญ่”
“อือฮึ ถ้างั้นเจอกัน” ผมยกมือขึ้น ทำทีเหมือนจะไฮไฟฟ์กับเขา แต่ยกมือเก้อ จึงต้องแสร้งชกอากาศเพื่อไม่ให้ต้องอับอาย
“อืม เมื่อเช้ายังชมว่าผมน่ารักอยู่เลย ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วเหรอปืนใหญ่”
เชี่ย เชี่ย สองหนติดๆ กันแล้วสิ
“เอ่อ... ก็น่ารักซี น่ารักมากๆ ด้วย แต่ให้พูดบ่อยๆ เดี๋ยวเอยได้ใจ”
ลงเอยพยักหน้าน้อยๆ และยื่นหน้ามาใกล้ๆ ตอนนั้นลมหายใจอุ่นรดต้นคอผม และเสียงกระซิบเขาโคตรเซ็กซี่
“ถ้าผมน่ารักแบบนี้ ปืนใหญ่คิดว่าไง เย็นนี้เราจะมีอะไรพิเศษกันไหม?”
เมื่อเจอหมัดฮุกปลายคาง ร่างกายผมคล้ายจะร่วงลงไปกองบนพื้น หายใจหายคอแทบไม่ออก แต่คนอย่างผมจะเสียฟอร์มให้พ่อค้าหน้าหวานขายขนมอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง
“เอย... ปืนเป็นผู้ชายทั้งแท่ง และไม่ได้คิดอะไรกับเอยสักหน่อย” ผมบอกเขาไปแล้วก็นึกขำ ปกติผมไม่ค่อยตอแหล แต่ตอนนี้เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ผมต้องเอาตัวรอดให้ได้
“ใช่... ก็ผู้ชายเนี่ยแหละ จึงทำอะไรรู้ใจกันไปหมด ถ้าปืนใหญ่อยากคุยอะไรมากกว่าเรื่องขนม ผมไม่ถือ แมนๆ พูดเปิดอกได้ตลอด รับรองผมเก็บเรื่องเงียบ”
ลงเอยเอ่ยจบเขาจึงโน้มตัวมาใกล้ๆ แล้วสูดกลิ่นตรงต้นคอผม เป็นตอนนั้นที่ผมขนลุกซู่! ให้ตายเถอะ ถูกคุกคามแบบนี้ใครจะไม่ขวัญเสีย
“เอย มะมึง ทำอะไรวะ” ผมยกมือขึ้นเตรียมผลักหน้าอกแน่นๆ ออกห่างตัว แต่ลงเอยกลับเป็นฝ่ายก้าวถอยหนีผมเสียเอง
“ก็ทำเหมือนที่ปืนใหญ่อยากทำกับผมไง”
ไม่รู้ว่าหน้าตาผมเป็นอย่างไรตอนนั้น หวังว่ามันคงไม่เอ๋อแดกจนผิดฟอร์มหรอกนะ
“มึง ขายแค่ขนมก็พอ อย่าให้เกินกว่าเหตุ กะ กูขนลุกหมด ยังไง ผู้ชายแบบกูก็ไม่เคลิ้มเพราะเรื่องแบบนี้หรอก”
“หึๆ ๆ ให้มันแน่นะ และยังไง ผมไปตามเวลานัดแน่นอน แล้วจะคุยเน้นๆ เฉพาะเรื่องขนมเท่านั้น”
“เอ่อ... ก็แค่ขนมสิ หรือจะให้พูดเรื่องอะไรอีก มึงอย่าให้มันเยอะไปหน่อยเลย”
ผมตัดบทและเปลี่ยนสรรพนามเรียกเขาแบบหยาบคาย จากนั้นก็รีบกุมคอเสื้อช็อปตัวเอง กลัวเหลือเกินว่าคนหน้าหวาน จะแยกเขี้ยวขาววิงก์ๆ มางาบคอผม เชี่ย คงไม่ใช่แค่งาบคอ ลงเอยคงหวังปั่นหัว อยากให้ผมหลงระเริงไปกับความน่ารักของเขา
ความรู้สึกตอนนี้คือฉิบหายสุดๆ ผมเผลอเข้าไปยุ่งกับเด็กต่างสถาบัน แถมอีกฝ่ายยังไม่ใช่พวกติ๋มๆ หงิมๆ ดูท่าทางเขาคงมีแผนในใจ เอ หรือจะเป็นพวกหน่วยสอดแนมหน้าใหม่ ที่คิดแก้แค้นให้เพื่อนๆ ที่ถูกคนในกลุ่มก๊วนผมกำราบให้หงอมาก่อนหน้านี้ คิดได้ดังนี้ ผมก็อยากสั่งสอนเขาสักหน่อย หากปล่อยให้ลงเอยถามอยู่แบบนี้ ผมจะคุมซอยโลกีย์ปันสุขได้อย่างไร
ดังนั้นผมต้องล่อลงเอยเข้าถ้ำเสื้อ แล้วจัดการเขาในแบบวิธีของผม เมื่อคิดแผนชั่วร้ายได้ ผมจึงหัวเราะเสียงดัง จนคนที่มองอยู่ขมวดคิ้วมุ่น อุ๊ยเบบี๋เนี่ย ดูน่าสงสารชะมัด
ผมจะแบล็กเมลเขาด้วยการตั้งกล้องถ่ายคลิปเด็ดดวงเอาไว้ ฮ่าๆ ๆ แค่คิดก็โคตรตื่นเต้น อะดรีนาลินพลุ่งพล่านไปหมด
“มีเรื่องอะไรน่าขำเหรอ” ลงเอยถาม สีหน้าเหมือนจะจับพิรุธผม แต่คนฉลาดอย่างนายเตโช สลักฤดีกร มีหรือจะให้พ่อค้าขนมหวานมาจับผิดได้
“เอ่อ ไม่มี้ ไม่มีจริงๆ คิดมากไปแล้วมึง”
“แต่ปืนใหญ่ขำแปลกๆ”
ถูกเขาถามย้ำ ผมจึงยักไหล่รัวๆ แล้วทำสุ้มเสียงราวกับต้องการข่มขวัญลงเอย
“มึงน่ะ อย่าสนใจกูเลย รีบขายของให้หมด แล้วก็ย้ายก้นบิ๊กบึ้มไปเจอกูให้ตรงเวลา!”