5
ผู้ชายด้วยกัน อะไรมันก็ง่าย
ปืนใหญ่เล่าเรื่อง
(ต่อจากความเดิม)
ผมนั่งอยู่ออฟฟิศด้านล่างหอพัก เจ้ตุ้งแช่ (ชื่อแม่ผม) และเตรียมการอย่างดีด้วยการตั้งกล้องซ่อนอยู่หลังตู้หนังสือ แต่สิ่งที่น่าหัวเสียคือ เพื่อนร่วมก๊วนผมหายหัวไปทุกคน แทนที่จะอยู่ช่วยคิดแผนเด็ดๆ ไม่รู้ว่าพวกมันแอบไปตีหม้อหรือนัดก๊งเหล้าที่ไหน แต่ก็ดี เดี๋ยวผมจัดการลงเอยเสร็จ จากนั้นคงไปคุยโวให้พวกมันฟัง
เสียงกริ่งจักรยานดังมาตั้งแต่ไกล ห้องนี้เป็นกระจกสีชาที่หากมองข้างนอกเข้ามาจะไม่เห็นข้างใน เมื่อร่างสูงของอีกฝ่ายมาหยุดที่หน้าประตู ผมก็โทรเข้าโทรศัพท์มือถือเขา
“คนหล่อ กระดอฝังเพชรรอมึงอยู่ข้างใน เข้ามาได้เลย”
“อือฮึ... ในห้องกระจกสีชาใช่ไหม”
เมื่อลงเอยเข้ามาข้างใน ผมก็วางก้ามขึงขัง อีกฝ่ายดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้เขาแต่งตัวน่ารักมิหยอก เสื้อยืดสีขาวด้านใน มีผ้ากันเปื้อนสีเหลืองน่ารักทับอีกชั้น มันเป็นชุดเดียวกันกับที่ขายของที่ริมหนองนั่นแหละ แต่ผมไม่ทันสังเกต ส่วนข้างล่างเป็นกางเกงยีนซีดๆ ทำให้ช่วงขาเขาที่ยาวดูโคตรยั่วใจ ส่วนเป้ากางเกงของลงเอยฟูมาก คนอะไรหุ่นดี หน้าหวาน ปากก็แดงชวนให้ดูด
“กูอยากสั่งชิฟฟอนฝอยทองห้าสิบชิ้น เอาพรุ่งนี้ตอนหกโมงเช้า ขอเบอร์เกอร์ด้วยสามสิบชิ้น แบบที่ขายตะกี้ แต่... เอาไส้ไก่ย่าง ซอสบาร์บีคิวไม่เผ็ด ไม่รสจัด มึงทำได้ไหม”
เชี่ย ทั้งท่าทางผมและคำพูดเป็นการข่มขู่อีกฝ่ายชัดๆ ผมรู้สึกสาแก่ใจหน่อยๆ แบบนี้แหละผมถึงถูกเรียกว่าขาใหญ่ประจำซอยโลกีย์ปันสุข (อันที่จริงชื่อซอยนี้คือ โลกมนุษย์ 69 ซึ่งมันทั้งแปลกและประหลาด ชาวบ้านจึงเปลี่ยนเสียใหม่เรียกไปเรียกมาเลยเพี้ยนเป็น โลกีย์ปันสุข อย่างในปัจจุบัน นอกจากนั้นละแวกนี้ยังมีชื่อซอยให้ต้องฉงนกันเยอะแยะ ทั้งซอยหมาเห่า ซอยสาวเสียบ และซอยหมวยยกล้อ!)
ลงเอยมองหน้าผม สีหน้าเขาตึงกว่าปกติ ใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มดูเหมือนจะหายไป
“เอ่อ งานเร่งเหรอ และเลี้ยงคนเยอะเหมือนกันนะ”
เมื่อได้ทีและรู้ว่าเขาคงทำไม่ทันแน่ ผมจึงกระหยิ่มยิ้มย่อง
“เดี๋ยว ยังไม่หมด กูจะเอาเค้กกล้วยหอมด้วย ทำมาร้อยกล่อง!”
“สั่งเยอะแบบนี้ จะเลี้ยงใครกันแน่ กินหมดเหรอ?”
“ก็อยากอุดหนุนและมีเงินจ่าย หรือมึงไม่อยากรับงาน” ผมว่าแล้วจึงส่งยิ้มใส่ตาเขา รู้สึกเหมือนกุมชัยชนะยิ่งใหญ่เอาไว้ในกำมือ
ลงเอยไม่ตอบ เขาเม้มริมฝีปากสีแดงสดเป็นเส้นตรง ดวงตาคมๆ มองผมราวกับกำลังใช้ความคิดอันยิ่งยวด
“ทั้งหมดที่บอก เอาพรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้า ห้ามเลตแม้แต่วินาทีเดียว ส่งทันหรือเปล่า ถ้าไม่ทันก็ไร้ฝีมือ แบบนี้อย่ามาเปิดร้านขนมแถวนี้เลย ไม่งั้นระวังขาใหญ่จะโยนระเบิดเข้าไปบึ้ม!”
“ปืนใหญ่จะเอาจริงๆ ใช่ไหม ผมไม่ชอบให้ใครทำอะไรเล่นๆ โดยเฉพาะกับของกินที่ใช้เลี้ยงคนได้เยอะแยะแบบนี้” เขาไม่ได้โกรธผม แต่น้ำเสียงเข้ม สีหน้าก็จริงจังจนผมอดขวัญเสียไม่ได้
“มึงหมายความว่าไงเอย” ผมขึ้นเสียงใส่เขา เวลานี้บทบาทหัวหน้าแก๊งซอยโลกีย์ปันสุขเข้าสิงแล้ว
“ตามที่พูด ของค้าขาย ทำเล่นๆ ไม่ได้ อีกอย่างผมทำขนมด้วยความรัก”
“เอ่อ กูก็สั่งจริงๆ นี่นา กลัวแต่มึงจะทำไม่ได้ เอางี้ถ้ามึงทำไม่ทัน ก็ย้ายร้านออกไปจากซอยโลกีย์ปันสุขซะ อย่ามาเปิดแถวนี้ให้ขายขี้หน้าเลย พวกกูไม่ต้อนรับคนไร้ฝีมือ!”
“ถ้าผมทำเสร็จล่ะ”
“ก็ต้องดูว่าแดกได้ไหม ถ้าทำห่วย กูจะสั่งสอนเอาให้เจ็บ!” ไม่รู้ผีห่าซาตานตนไหนเจาะปากให้ผมพูดแบบนั้น แล้วยังทำท่าทางร้ายๆ แบบอันธพาลใส่ลงเอยเสียด้วย
“หึ ๆ ๆ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว จะรีบไปเตรียมของ รับรองว่าทุกอย่างเสร็จทันเวลา”
ลงเอยว่าเสียงขรึม สีหน้าเขาโคตรจริงจัง แต่เรื่องนี้มันยังไม่เสร็จ อย่างไรผมต้องได้คลิปเด็ดๆ ก่อนถึงจะปล่อยเขาไปได้
“เดี๋ยว มึงจะไม่เอาเงินมัดจำก่อนเหรอเอย”
ลงเอยยิ้มนิดๆ เป็นตอนนั้นที่ผมรู้สึกว่าเขายิ้มน่ากลัวมากกว่าน่ารัก ภาพนี้ผมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่ไม่ทันเฉลียวใจ
ร่างสูงก้าวมาชิดผม กลิ่นกายเขายังหอมด้วยเนย นม และกลิ่นเหงื่อจางๆ ที่เอาจริงๆ ฟินเป็นบ้า
“ได้ และมัดจำของผมก็คือ” ลงเอ่ยพูดจบก็โผเข้ามาจัดการผมด้วยการดูดตรงลำคอ เกิดเสียงดังจ๊วบๆ สะท้านทรวง
เชี่ยมาก เขาถึงเนื้อถึงตัวผมโดยไม่ให้ตั้งตัว
ขาผมอ่อนแรงจนแทบล้ม โชคดีที่เขาสวมกอดผมหมับ และยังรั้งเอวผมไปชิดร่างอุ่นๆ นั้น
ริมฝีปากของลงเอยรุกหนักด้วยการดูดสลับขบเม้มลำคอผม จมูกซุกไซ้วุ่นวายไปหมด แค่นั้นยังไม่พอ มือใหญ่ยังล้วงเข้าไปใต้เสื้อยืด แล้ววางแหมะบนยอดหน้าอก!