บทที่ 7 โทษตามวาระกรรม
“เจ้าสร้างบาปมหันต์นัก ใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน เจ้าจะไม่ได้ผุดได้เกิด เจ้าต้องรับโทษในสิ่งที่เจ้าทำไว้นานชั่วกัปชั่วกัลป์ ไฟนรกจะเผาปากเจ้าร่างของเจ้าแบบไม่มีที่สิ้นสุด นำนางผู้นี้ไปรับโทษได้แล้ว”
จบคำตัดสินคดีของท่านพญามัจจุราช ชายร่างกำยำสวมชุดผ้าโจงกระเบนสีแดง สวมสร้อยสีเงินหัวกะโหลก มือถือหอกและสามง่ามเข้ามาฉุดกระชากลากหญิงสาวลงไปสู่ห้องรับโทษ คบไฟสีมรกตเผาปากของดวงวิญญาณและตามผิวหนังทั่วทั้งร่าง เสียงร้องเจ็บปวดโหยหวนดังไม่ขาดระยะ
วิญญาณที่เหลือถูกตัดสินตามคดีกรรมของตัวเองก่อไว้ ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว การตัดสินเป็นไปอย่างรวดเร็ว มัจโจมองปู่ทวดด้วยสายตาขอร้อง
“ปู่ทวดครับ ท่านผู้นี้น่าสงสารมากอายุมากแล้ว ช่วยลดโทษบ้างไม่ได้หรือครับให้แกช่วยขนของดีกว่าให้ลงไปว่ายในกระทะน้ำร้อนนะครับ”
“ใครทำสิ่งใดไว้ก็ต้องรับผลกรรมเหล่านั้น เจ้าจำข้อนี้ไว้และห้ามสงสารคนชั่วเด็ดขาด ส่วนผู้ที่สร้างกรรมดีอย่างเจ้าผู้นี้ส่งไปสวรรค์ตามชั้นที่บุญกุศลของเขาทำมา การตัดสินคดีเสร็จสิ้นลง พวกเจ้าไปทำหน้าที่ของพวกเจ้าได้แล้ว ท่านสุวรรณ ท่านสุวาลย์ มีรายใหม่เมื่อไหร่รีบไปนำวิญญาณมา”
“พระเจ้าค่ะ” สุวรรณและสุวาลย์รับคำสั่งพร้อมกันและเหล่าบรรดายมทูตที่มีหน้าที่นำวิญญาณไปลงโทษตามคำตัดสิน นำวิญญาณชายวัยกลางคนส่งขึ้นสวรรค์และนำผู้ที่รับกรรมในนรกลงไปรับโทษทันทีไม่มีการรอลงอาญาใดๆ ทั้งสิ้น
สุวรรณนำดวงวิญญาณคนขี้เมา ดื่มเหล้ากระทั่งเสียชีวิตมารับโทษซึ่งโทษที่เขาได้รับคือการกรอกด้วยน้ำร้อนลุกเป็นไฟลงไปในปาก ร้องและดิ้นรนบอกถึงความทรมานอย่างแสนสาหัส สุวาลย์นำวิญญาณผู้ที่ทำร้ายชีวิตมนุษย์ด้วยกันไปรับโทษเช่นกันแต่ถูกหอกแหลม ปลายเหล็กแหลมทิ่มแทงทั่วร่าง เลือดพุ่งกระฉูด ร้องโอดโอยโหยหวนทรมานไม่มีวันสิ้นสุด
ใครที่สร้างกรรมไว้ก่อนจะหมดลมหายใจทำอย่างไรก็ต้องรับตามกฎของกรรมเหล่านั้น หญิงสาวนางหนึ่งถูกหอกทิ่มแทงและถูกไล่ให้ปีนต้นงิ้วหนามแหลมคมโผล่ออกมาทิ่มทุกส่วนของร่างกาย ชายหนุ่มและชายวัยกลางคนอีกหลายคนปีนหนีหอกแหลมขึ้นต้นงิ้วเช่นเดียวกัน ร่างกายเปลือยเปล่าเป็นที่น่าสมเพชแต่โทษทัณฑ์ที่พวกเขาต้องได้รับนั้นไม่มีการอภัยแต่อย่างใด
มัจโจไม่อยากเข้าไปในห้องลงโทษเพราะทำใจยอมรับกับสิ่งที่เห็นไม่ได้ มันโหดร้ายสำหรับความรู้สึกของเขา หากเขารับตำแหน่งมัจจุราชต่อจากปู่ทวดเขาก็ต้องตัดสินคดีของดวงวิญญาณชั่วตามที่เห็น เขาตัดสินไม่ได้แน่นอน เขาหันมามองสุวรรณและสุวาลย์พร้อมคำถาม
“ลุงสุวรรณ ลุงสุวาลย์ ทำไมพวกเขาต้องได้รับโทษสาหัสขนาดนั้นด้วยแล้วก็ทำไมเยอะแยะจังเลย ไม่เหมือนคนที่ได้ไปบนสวรรค์เลยล่ะ พวกนั้นมีไม่กี่คนเอง”
“คนสร้างแต่กรรมชั่วมีมากมายน่ะสิท่านมัจโจ ท่านต้องฝึกใจไว้ก่อนจะขึ้นรับตำแหน่งพญามัจจุราช ไม่เยี่ยงนั้นท่านจะไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้เลย”
สุวรรณมองหน้ามัจโจ สายตานั้นไม่ล้อเล่นแต่จริงจังเพื่อให้มัจโจปรับตัวตามคำพูดของเขา สุวาลย์พยักหน้าช้าๆ แล้วเอ่ยว่า
“ใช่ ท่านคือทายาทของท่านพญามัจจุราชองค์ปัจจุบันเพราะฉะนั้นต้องเข้มแข็งนะพระเจ้าค่ะ”
“ลุงสุวาลย์ อย่าพูดแบบนี้กับผมนะ ผมไม่รับตำแหน่งพญามัจจุราชหรอก อย่าใช้คำพระเจ้าค่ะกับผม ผมเป็นคนรุ่นใหม่นะครับ ห้ามใช้คำราชาศัพท์ใดๆ กับผม เข้าใจนะครับ”
มัจโจรีบค้านประโยคท้ายของสุวาลย์และยังบอกว่าตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ ยมทูตทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะ มัจโจจ้องหน้าสุวาลย์
“หัวเราะอะไรกันครับ”
“หัวเราะท่านนะสิ คนหรือครับ ท่านอยากเป็นมนุษย์มากใช่หรือไม่”
“ใช่ ผมจะหนีปู่ทวดไปอยู่บนโลกมนุษย์ บางทีอาจเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้นะครับลุง”
“ยากครับเพราะเชื้อสายของพญามัจจุราชต้องสืบทอดบัลลังก์ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดครับกระผม”
สุวาลย์ค้านความคิดของมัจโจ สุวรรณยิ้มแล้วว่า
“ท่านมัจโจ อยากเป็นคนมากถึงเพียงนี้ทีเดียวหรือ”
“ใช่สิครับลุงสุวรรณ ผมอยากเป็นคน คราวหน้าถ้าลุงขึ้นไปบนโลกมนุษย์อีกพาผมไปด้วยนะครับ ผมจะได้อยู่บนนั้นเลย อ้อ.ที่ว่าทายาทต้องสืบทอดบัลลังก์ตลอดไปน่ะ ลุงสุวรรณ ลุงสุวาลย์อย่าลืมสิครับว่าปู่ผมกับพ่อผมยังหนีไปอยู่บนสวรรค์เลยแล้วผมทำไมจะหนีไปเกิดเป็นมนุษย์บ้างไม่ได้ล่ะครับ ทุกอย่างมันสามารถเป็นไปได้เสมอนะครับลุง”
ท่าทางของมัจโจทั้งยกมือชี้นิ้วไปข้างหน้าทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขันไม่อยากบอกเด็กหนุ่มรุ่นหลานว่า ชีวิตของเขาถูกกำหนดไว้แล้ว อย่างไรก็ตามมัจโจต้องก้าวขึ้นนั่งบัลลังก์พญามัจจุราชโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ครับ ทุกอย่างไม่เที่ยงก็จริงแต่บางครั้งทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่มีลมหายใจหรือเป็นแค่จิตวิญญาณก็ตามมักถูกกำหนดไว้แล้วนะครับ ลุงไม่อยากเถียงกับท่านแล้วละ ท่านสุวาลย์ ได้เวลาไปรับดวงวิญญาณอีกแล้วไปพร้อมกันเลยมั้ย”