บทที่ 3 เรียนรู้งาน
สุวาลย์ได้แต่ถอนหายใจกับสิ่งที่มัจโจทำ มัจโจเป็นผู้มีจิตอ่อนโยน หากได้ไปอยู่ในโลกมนุษย์มัจโจจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีเมตตา ขี้สงสาร ชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากเลยทีเดียวแต่มัจโจคือทายาทของท่านพญามัจจุราชไม่ใช่มนุษย์จึงสร้างความลำบากใจให้กับพญามัจจุราชรวมทั้งสุวรรณกับสุวาลย์ด้วยเพราะต้องทำให้มัจโจ เข้มแข็ง เด็ดขาดกล้าตัดสินปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยเหตุและผลแต่ท่าทางจะยากเสียแล้ว
“ท่านสุวาลย์ เป็นอย่างไร เหลนข้าเรียนรู้งานไปถึงไหน” พญามัจจุราชก้าวมายืนหน้าโต๊ะทำงานของสุวรรณสุวาลย์ คำถามของเขามีภาพมัจโจฟุบหลับกับโต๊ะเป็นคำตอบดีกว่าคำพูดจากปากของสุวาลย์
“ภาพฟ้องพระเจ้าค่ะ” สุวาลย์ยิ้มน้อยๆ
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ปลุกมันขึ้นมาทำงานต่อ”
“ปล่อยให้พักสักครู่ก็ดีนะพระเจ้าค่ะ” สุวาลย์ออกความคิดเห็นแบบเกรงๆ ต่อท่านพญามัจจุราช
“ตามใจมันอย่างนี้เมื่อไหร่มันจะโตสักที ทุกวันนี้มันเล่นปานเด็ก 5 ขวบเพราะพวกท่านเกรงใจข้ายอมทำตามใจเจ้ามัจโจใช่หรือไม่”
“พระเจ้าค่ะ” สุวาลย์ก้มศีรษะยอมรับสิ่งที่พญามัจจุราชพูด
“ต่อไปไม่ต้องเกรงใจข้า หากจะให้มัจโจเป็นพญามัจจุราชที่เข้มแข็งเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจพระเจ้าค่ะ”
สุวาลย์รับคำสั่งอีกครั้ง สุวรรณปรากฏร่างตรงหน้าพญามัจจุราชพร้อมดวงวิญญาณหญิงสาว ใบหน้าของหญิงสาวซีดขาว กิริยาเบลอๆ เหมือนคนยังไม่ตื่นเต็มที่
“มาแล้วพระเจ้าค่ะ”
“เป็นอะไรล่ะ ท่าทางสะลึมสะลือ” ท่านมัจจุราชถามลอยๆ ขณะก้าวเดินไปยังบัลลังก์ทอง
“เสพยาเกินปริมาณพระเจ้าค่ะช็อคตายคาเตียงพระเจ้าค่ะ” สุวรรณตอบคำถามของท่านมัจจุราช
“หน้าตาดี หุ่นก็ดี ผิวพรรณน่าจะเป็นลูกคนมีตังค์แต่ทำไมติดยาเสพติดขนาดเสพย์ถึงตายเชียวรึท่านสุวรรณ” สุวาลย์มองสำรวจรูปร่างและการแต่งตัวของหญิงสาวพร้อมการคาดเดา
“ยังไม่ได้ตรวจสอบประวัติ ท่านตรวจให้ที” สุวรรณตอบกลับมาและส่งงานให้สุวาลย์ทันที
“ปลุกมัจโจ สอนงานตรวจสอบประวัติวิญญาณหญิงสาวผู้นี้โดยด่วน ส่วนท่านพาวิญญาณของนางไปห้องพักชั่วคราว รอให้สุวาลย์ตรวจสอบประวัติกับความผิดก่อนค่อยพามาฟังคำตัดสิน รอให้ยาหมดฤทธิ์ด้วย นี่ถ้าจะไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว”
“พระเจ้าค่ะ เมื่อตอนที่ข้าพระบาทพาตัวมา ญาติเพิ่งเปิดประตูเข้าไปเห็น ร้องไห้กันระงม”
“คนที่เสียใจก็คือพ่อแม่พี่น้องละนะ พวกนี้คิดถึงแต่ตัวเองไม่คิดถึงบุคคลที่รักรอบข้าง หากสำนึกสักนิดว่ายาที่เสพย์เข้าไปมันเป็นอันตรายทำให้ถึงตายได้ก็คงไม่เป็นอย่างนี้ พ่อแม่ก็ไม่เสียใจตัวเองก็ไม่ต้องตายอย่างน่าสมเพชเช่นนี้ เฮ้อ.โลกมนุษย์มันวุ่นวายมากขึ้นทุกที”
พญามัจจุราชมองวิญญาณของหญิงสาวที่นั่งหมอบกับพื้นด้วยความสมเพชมากกว่าสงสาร สุวรรณลากหญิงสาวออกไปทางปีกซ้ายของโถงใหญ่ สุวาลย์ปลุกมัจโจจากการงีบหลับแล้วชี้ไปที่หน้าจอสี่เหลี่ยม
“นี่เป็นหน้าประวัติของทุกคนที่ถูกบันทึกไว้ ท่านมัจโจ ดูตามนะตอนนี้เรากำลังจะดูประวัติของผู้หญิงเสพยาจนตาย”
“ผู้หญิงเสพยา เสพย์จนตายเลยหรือลุง” มัจโจทำหน้าตื่นเต้นกับคำพูดของสุวาลย์แต่สุวาลย์จิ๊ปากกับคำว่าลุงแล้วก้มลงกระซิบข้างหูมัจโจ
“บอกให้เรียกพี่ไง”
มัจโจหัวเราะออกมา พญามัจจุราชหันมาจ้องตาขุ่นขวาง
“หัวเราะอะไรของเจ้า ทวดให้ตรวจประวัติของหญิงนางนั้น ท่านสุวาลย์เร่งด่วนนะ”
“พระเจ้าค่ะ” สุวาลย์รับคำรีบตรวจสอบประวัติของวิญญาณหญิงสาวด้วยตัวเอง
“ผมหัวเราะลุงสุวาลย์ครับปู่ทวด ลุงจะให้ผมเรียกพี่ เรียกได้มั้ยครับ”
“ทำไมต้องฟ้องด้วยเล่าท่านมัจโจ” สุวาลย์หันมาดุเบาๆ
“ได้ ถ้าแกอยากจะเรียก แต่ท่านสุวรรณกับท่านสุวาลย์ หากจะเทียบอายุก็รุ่นราวคราวเดียวกับปู่เจ้านั่นแหละ ถ้าเขาอยากให้เรียกก็เรียกหน่อย เขาอยากเป็นหนุ่มคงกะพันไม่มีวันแก่”
พญามัจจุราชพูดแล้วยิ้มน้อยๆ มัจโจหันมามองสุวาลย์แกล้งทำตาโต สุวาลย์กัดฟันใส่แล้วเมินหนีสายตาล้อเลียน
“โห.รุ่นปู่เชียวเหรอครับลุง แต่จะว่าไปแล้วลุงสุวรรณกับลุงสุวาลย์ก็ยังหนุ่มอยู่เลยไม่เห็นแก่ตรงไหน รูปร่างหน้าตาก็ดี ลุงสุวรรณสูงผิวออกขาว ลุงสุวาลย์ผิวคล้ำไปนิดแต่ก็หล่อ เอ.ผมเรียกพี่ดีมั้ยน๊า”
“เจ้ามัจโจ อย่ามัวพูดเล่นรีบทำงาน ตรวจสอบประวัติหญิงนางนั้นอย่างละเอียดแล้วตรวจดูความดีความชั่วของนางด้วย ความผิดที่นางเคยก่อรวมทั้งความดีที่เคยทำแล้วรายงานทวด ห้ามให้ท่านสุวาลย์รายงาน เข้าใจไหม”
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”
มัจโจยกมือพนมยกขึ้นเหนือศีรษะและใช้คำพูดเป็นทางการอย่างที่ไม่เคยใช้กับปู่ทวดมาก่อน สุวรรณเดินมาได้ยินถึงกับยิ้ม สุวาลย์หัวเราะกับท่าทางจริงจังของทายาทท่านมัจจุราช...