บทที่ 14 วิญญาณเร่ร่อน
“ท่านมัจโจมิได้เป็นดวงวิญญาณเช่นพวกเจ้าแต่ท่านมัจโจเป็นทายาทของท่านพญามัจจุราชที่เจ้าไปพบมาแล้วเพราะฉะนั้นห้ามพูดจาล่วงเกินต่อทายาทมัจจุราช หากเจ้าไม่อยากเจอข้อหาหมิ่นประมาท”
“แหม.ท่านสุวรรณ ฉันเห็นคนหล่อๆ ไม่ได้นี่ แพ้ทุกครั้ง คิดว่าเป็นคนแล้วตายเหมือนฉัน”
กรรณิกาทำหน้าไม่พอใจค้อนให้พี่ชายแต่หันไปยิ้มกับมัจโจ ทายาทพญามัจจุราชถึงกับยิ้มไม่ออก เลิกคิ้วสูงหันไปมองเวทิต
“ท่านจะไปดูร่างท่านไม่ใช่หรือ รีบไปสิเผื่อจะเข้าร่างท่านได้”
“จริงด้วย งั้นผมไปโรงพยาบาลก่อนนะครับท่านยมทูต ฟื้นแล้วค่อยไปโรงพยาบาลตำรวจไปหาศพยัยวิ”
“ไม่ได้ เจ้าเข้าร่างของเจ้าไม่ได้ เจ้าต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนเยี่ยงนี้หนึ่งเดือนจึงจะหมดกรรม ระหว่างนี้เจ้าต้องทำตัวให้ดีห้ามสร้างบาปใดๆ อีก ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเข้าร่างไม่ได้อีกนานทีเดียว”
สุวรรณห้ามเสียงเข้ม เวทิตทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ เขาต้องเข้าร่างตัวเองไม่อย่างนั้นพ่อแม่ต้องเสียใจมากเป็นสองเท่าเพราะกรรณิกาก็เสียชีวิต เขาก็หลับไม่ตื่นมีพ่อแม่คนไหนบ้างจะรับได้ เขาไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจ
“ท่านครับ ผมขอร้อง ให้ผมเข้าร่างตัวเองเถอะครับ พ่อกับแม่ผมยังไม่รู้ว่ายัยวิตายแล้ว แค่เห็นผมนอนอยู่ห้องไอซียู พ่อกับแม่ก็ร้องไห้แล้วนะครับ”
“ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้ หากเจ้าจะไปดูร่างของเจ้าก็ไป ข้าจะพาไปแต่เจ้ากลับเข้าร่างเจ้าไม่ได้ไม่ว่าจะพยายามเยี่ยงไรก็ตามเพราะนี่คือกรรมที่เจ้าสร้างมา”
มัจโจมองหน้าเวทิตรู้สึกสงสารแต่แวบหนึ่งเขาคิดจะหลบปู่ทวด หากเขาเข้าไปอยู่ในร่างเวทิต สุวรรณกับสุวาลย์ก็จับตัวเขาไปให้ปู่ทวดลงโทษไม่ได้
“ลุงสุวาลย์ พาเวทิตไปดูร่างเขาบางทีเขาอาจจะฝืนกรรมของเขาได้นะครับ”
“ไม่มีใครฝืนกรรมของตัวเองได้หรอกท่านมัจโจ ตัวท่านเองก็เถอะ อย่างไรเสียก็ต้องลงไปรับโทษจากท่านปู่ทวดของท่าน หลังจากที่ข้าพาเจ้าหนุ่มนี่ไปดูร่างแล้ว ท่านต้องกลับไปพบท่านปู่ทวด”
สุวาลย์จ้องหน้ามัจโจ ชายหนุ่มยิ้มพร้อมก้มศีรษะนิดหนึ่ง แผนการของเขาสำเร็จแล้ว เมื่อถึงโรงพยาบาล เขาจะเข้าร่างเวทิตจะอยู่ในนั้นจะไม่ไปไหนจนกว่ากรรมของเวทิตจะหมดลง
“ครับ ผมจะกลับครับ ตอนนี้พาเวทิตไปโรงพยาบาลก่อนดีมั้ยครับลุง”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
กรรณิกาเอ่ยขึ้น หล่อนอยากรู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายพี่ชายของหล่อน ความสงสัยว่าราณีจะอยู่เบื้องหลังนั้นยังไม่จางหายไป หากราณีไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หล่อนก็จะไปลาพ่อกับแม่แล้วกลับลงไปรับกรรมในนรก
“มีอะไรอีกรึ”
สุวรรณหันมามองวิญญาณสาว หล่อนมีอะไรที่จะร้องขออีกเช่นนั้นหรือ ท่าทางของหล่อนยังไม่อยากกลับลงสู่นรก
“ฉันอยากรู้ค่ะว่าใครทำร้ายพี่ชายฉัน ไอ้พวกนักเลงอันธพาลแถวนี้รึเปล่าแต่ไม่น่าจะใช่เพราะพี่เวไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร ยกเว้นเจ้าของที่ดินที่เราอยู่กันตอนนี้”
หล่อนมองหน้าสุวาลย์และมองทุกคน สุวาลย์ถอนหายใจแล้วหลับตาลง แม้จะรำคาญกับการขอของกรรณิกาแต่เพื่อให้หล่อนรีบไปลาพ่อกับแม่และกลับไปรับโทษให้เร็วที่สุดจึงเพ่งมองกลุ่มคนร้ายด้วยญาณพิเศษ
สุวาลย์เห็นกลุ่มคนร้ายที่ทำร้ายเวทิตจนสลบ ขับรถไปจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ มีผู้หญิงหน้าตาดีส่งซองสีน้ำตาลให้กลุ่มคนร้ายอย่างรีบร้อน มองซ้ายขวาก่อนเดินกลับเข้าบ้าน เขาลืมตาขึ้นมองสุวรรณ
“พวกนั้นไปรับเงินจากผู้หญิงที่พาคนไปขนของออกจากห้องพักของนางผู้นี้”
สุวาลย์บอกกับสุวรรณแต่สายตาจ้องอยู่ที่ใบหน้ากรรณิกา หญิงสาวเบิกตากว้าง แรงโกรธแค้นในตัวราณีเพิ่มเป็นทวีคูณ
“นังราณี คิดฆ่ากูไม่พอยังคิดฆ่าพี่ชายกูอีกเหรอ มึงตาย...”
พริบตานั้นวิญญาณของกรรณิกาหายวับไป หล่อนหนีการควบคุมของสุวรรณเพราะความแค้นที่มีต่อราณี หล่อนไปปรากฏตัวที่บ้านณรงค์เดช พยายามจะเข้าไปในบ้านแต่เจ้าที่รักษาบ้านไม่ยอมให้แม้ผ่านประตูรั้ว
“หยุดประเดี๋ยวนี้ เจ้าเป็นใครรึ”
“ฉันจะเข้าไปหานังราณี มันฆ่าฉัน ฆ่าพี่ชายฉัน ฉันจะฆ่ามัน”
“ห้ามเข้ามา คิดประสงค์ร้ายต่อคนในบ้าน อย่าหวังว่าจะผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ กลับไปซะ”
เจ้าที่ชี้หน้าไล่กรรณิกา หล่อนไม่ฟังพุ่งตัวเข้าไปแล้วก็ต้องผงะออกมาพร้อมร้องอย่างเจ็บปวด ร่างทั้งร่างปวดแสบปวดร้อนราวกับถูกไฟรน
“โอ้ย..ท่านทำอะไรฉัน”
“ข้าห้ามเจ้าแล้ว เจ้ายังดื้อ ข้าก็ต้องจัดการตามวิธีของข้า ใครก็ตามจะเข้ามาในบ้านที่ข้าปกปักรักษาอยู่ หากข้าไม่อนุญาตก็เข้าไปไม่ได้ กลับไปแล้วอย่าคิดแค้นใดๆ ผู้ใดก่อกรรมไว้ ผู้นั้นจะรับกรรมของมันตามวิถีแห่งกรรมที่คอยลงโทษกับมันเอง เจ้าไม่ต้องสร้างบาปอีก กลับไปเถิด”
“ให้ฉันเข้าไปนิดเดียวไม่ได้หรือ”
หล่อนยังต่อรองแต่เจ้าที่ไม่ยอม ส่ายหน้าไปมาแล้วหายตัวไป กรรณิกามองตัวบ้านหลังใหญ่ ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“เข้าบ้านไม่ได้ก็ไม่เข้า”
ร่างหญิงสาวหายวับ ครู่ใหญ่ประตูรั้วอัลลอยเปิดออกช้าๆ ด้วยรีโมทคอนโทรล รถเก๋งยี่ห้อดังสี บรอนทองแล่นผ่านประตูออกมา ประตูเลื่อนปิดช้าๆ ร่างเจ้าที่ยืนอยู่ด้านในประตูมองตามท้ายรถแล้วถอนหายใจยาว
“ข้าช่วยเจ้าได้เฉพาะในบริเวณบ้านของเจ้าเท่านั้น ต่อไปเป็นวิบากกรรมที่เจ้าสร้างไว้”
ร่างเจ้าที่หายไปขณะที่รถแล่นลิ่วขึ้นถนนสายหลัก ราณีเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วรถ ปกติหล่อนขับรถเร็วครั้งนี้ก็เช่นกัน คันเร่งทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยมแต่ครู่เดียวสาวใหญ่ผวายืดตัวตรง ดวงตามองตรงไปข้างหน้า เท้าที่เหยียบคันเร่งกดจนสุด รถพุ่งราวกับติดจรวดและวินาทีต่อมาหน้ารถเปลี่ยนทิศทางพุ่งใส่ต้นไม้ กรรณิกานั่งยิ้มอยู่เบาะหลัง
“ถึงเวลาตายของแกแล้ว นังเมียหลวงใจโหด”
ทันทีที่เสียงกรรณิกาหยุดลง หน้ารถก็ถึงโคนต้นไม้ ราณีได้สติ หล่อนเบี่ยงตัวออกจากพวงมาลัยรถพร้อมกับกรีดร้องสุดเสียง
“อ๊ายยยยย...”
“เปรี๊ยะ...”
เสียงรถปะทะกับต้นไม้ หน้ารถยู่ยับ ควันสีขาวคลุ้งจนมองไม่เห็นหน้ารถ กรรณิกายืนยิ้มกับผลงานที่หล่อนตั้งใจทำแต่เสียงร้องครางของราณีทำให้รอยยิ้มของวิญญาณสาวหุบลง ราณีกลิ้งตัวออกจากรถตั้งแต่เมื่อไหร่ หล่อนบาดเจ็บเพียงแขน ขาที่ครูดกับพื้นเท่านั้น องค์พระที่หล่อนคล้องอยู่ช่วยอย่างนั้นหรือ กรรณิกาจ้องร่างคลานขึ้นบนถนนด้วยความโกรธ
“มันรอดได้ยังไงวะ กูทำมึงไม่ได้ กูจะไปฆ่าลูกสาวมึงแทน ดูซิว่ามึงจะอยู่เป็นสุขได้รึเปล่า”
“หยุดประเดี๋ยวนี้ อย่าคิดทำความชั่วอีก หมดเวลาของเจ้าแล้ว กลับนรกกับข้า”
สุวาลย์ปรากฏตัวข้างกรรณิกา หล่อนตกใจคิดหนีอีก สุวาลย์ยึดแขนหล่อนไว้ ก่อนหน้านี้สุวรรณจะตามจับตัวหล่อนแต่สุวาลย์รับอาสาตามวิญญาณกรรณิกาให้สุวรรณกับมัจโจพาเวทิตไปโรงพยาบาล
ที่ห้องไอซียู หมอเจ้าของไข้แปลกใจกับอาการของชายหนุ่มที่ทรุดหนัก ไม่รู้ว่าจะฟื้นเมื่อไหร่แต่อยู่ๆ ก็ลืมตาลุกขึ้นนั่ง ดึงที่คอบจมูกให้ออกซิเจนออก ดึงสายน้ำเกลือ สายยางให้เลือดทิ้งแล้วสะบัดผ้าห่มออกจากตัวจะลงจากเตียง
“เดี๋ยวครับๆ คุณยังไม่หายดีนะครับ รอให้หมอตรวจอาการก่อน”
หมอหนุ่มทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยกมือขึ้นห้ามทั้งสองข้าง เวทิตยิ้มกับหมอแล้วเอ่ยน้ำเสียงนุ่ม
“ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ ผมหายดีแล้ว ผมจะกลับบ้านครับ”
“ยังกลับไม่ได้ ขอหมอตรวจหน่อยนะ ไปนอนที่เตียงก่อนนะครับ”
หมอหายงง ก้าวเข้าไปจับแขนคนไข้ พอดีกับประตูห้องเปิดออก วิไลกับสมชายก้าวตามกันเข้ามา พวกเขาเพิ่งออกไปทานอาหาร หลังจากไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เย็นวานที่รู้ข่าวจากไกรวิทย์ว่าเวทิตถูกรุม
ทำร้ายอาการสาหัส เมื่อครู่ไกรวิทย์ ประยงค์และสนธยาเข้ามาเยี่ยมเวทิตและบอกให้สมชายพาวิไลไปทานอาหาร พวกไกรวิทย์ตกใจไม่แพ้หมอที่เห็นเวทิตลุกจากเตียงเหมือนคนไม่เจ็บปวดส่วนใดของร่างกาย
วิไลยืนนิ่ง สมชายก้าวขาไม่ออกเช่นกัน ลูกชายของพวกเขาลุกจากเตียงได้แล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังนอนไม่ได้สติ หมอให้คำตอบกับพวกเขาว่า
“คนไข้ถูกทำร้ายร่างกายบอบช้ำมาก เขาอาจหลับอย่างนี้อีกหลายวันหรือไม่ก็อาจจะเป็นเดือน หมอให้คำตอบจัดเจนไม่ได้ หากแผลภายในไม่อักเสบอีกก็น่าจะหายเร็วขึ้น”
“เว เวหายแล้วเหรอลูก” วิไลวิ่งถลาเข้าไปกอดลูกชาย น้ำตาไหลริน สมชายวิ่งตามภรรยาไปลูบศีรษะลูบหลังไหล่ลูก
“หายแล้วเหรอลูก ลูกพ่อปลอดภัยแล้ว”
น้ำตาชายผู้มีอารมณ์ดีไหลเป็นทาง เขาพูดล้อเล่นกับลูกชายจนเหมือนกับเป็นเพื่อนกันแต่ในความเล่นนั้นแฝงไว้ด้วยการสอนโดยไม่เอ่ยเป็นคำพูดซึ่งเวทิตรับรู้ทุกอย่าง กรรณิกาเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่รักและเป็นห่วงมากแค่ไหน
หล่อนแอบหนีเที่ยวและรู้จักณรงค์เดช ยอมเป็นภรรยาน้อยโดยพ่อแม่ไม่รู้แต่เวทิตรู้ เขาเตือนน้องสาวแต่น้องไม่เชื่อ หล่อนหลงกับก้อนเงินที่เสี่ยใหญ่หยิบยื่นให้ รวมทั้งรถ คอนโดมิเนียม หลงเข้าใจไปเองว่าณรงค์เดชรักหล่อน
บัดนี้หล่อนรู้แล้วว่า พ่อแม่รักหล่อนเป็นห่วงหล่อนมากแค่ไหน สุวรรณยืนมองร่างเวทิตซึ่งขณะนี้มัจโจเข้าไปสิงสถิตเรียบร้อยแล้ว
เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา สุวรรณพาดวงวิญญาณของเวทิตเข้ามาในห้องคนไข้ มัจโจตามเข้ามาด้วย สุวาลย์พากรรณิกาตามมาทีหลัง หล่อนเห็นร่างพี่ชายในสภาพที่มีสายยางห้อยระโยงระยางทั้งสายน้ำเกลือ สายให้เลือด ที่ปากกับจมูกคอบด้วยพลาสติกให้ออกซิเจน หล่อนมองหน้าพี่ชาย