บทที่ 13 มัจโจ
สุวรรณพาดวงวิญญาณของกรรณิกามาพบท่านมัจจุราชเพื่อรับการตัดสินคดีความของหล่อน กรรณิกายอมรับการเสียชีวิตของตนเองและยินดียอมรับการลงโทษจากพญามัจจุราชแต่หล่อนร้องขอต่อท่านมัจจุราช ขอกลับไปหาพ่อกับแม่และลาพี่ชายแล้วจะกลับมารับโทษแต่โดยดี
“ท่านพญามัจจุราชเจ้าคะ หนูขอกลับไปหาพ่อกับแม่ก่อนได้มั้ย หนูกราบแหละค่ะ หนูตายโดยไม่รู้ตัว พ่อกับแม่แล้วก็พี่ชายยังไม่รู้เรื่องค่ะ หนูจะกลับไปบอกพวกเขา ไปลาพวกเขา โปรดเห็นใจหนูด้วยนะเจ้าคะ”
หล่อนก้มลงกราบต่อหน้าบัลลังก์ของท่านมัจจุราชที่นั่งจ้องหล่อนอยู่นานแล้ว ประมุขแห่งนรกภูมิหันมามองสุวรรณ
“ตรวจดูบัญชีความดีของนางผู้นี้หากยังพอมีความดีอยู่บ้าง ข้าจะอนุญาตให้นางไปลาพ่อแม่แต่ถ้าความเลวมันมีมากกว่า ข้าจะตัดสินความประเดี๋ยวนี้”
“พระเจ้าค่ะ” สุวรรณรับคำสั่งแล้วตรวจบัญชีความดีและความชั่วของกรรณิกา ครู่เดียวจึงเงยหน้าขึ้นมองพญามัจจุราช
“น้ำหนักความดียังมีพระเจ้าค่ะ ส่วนน้ำหนักความชั่วก็หนักพอๆ กันพระเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น พานางกลับไปหาพ่อแม่กับพี่ชาย ทันทีที่เสร็จธุระแล้วนำมารับการตัดสินคดีความ อ้อ.ข้าจะบอกนางว่า พี่ชายของนางตายแล้วแต่ว่าชีวิตของเขายังไม่ถึงที่สิ้นสุด พูดง่ายๆ ยังไม่ถึงที่ตายแต่เขามีกรรมที่ต้องชดใช้อย่างรวดเร็วจึงต้องพลัดพรากจากร่างที่อาศัย ท่านสุวรรณไปบอกท่านสุวาลย์ว่าไม่ต้องรีบจับตัวมา อย่างไรก็ต้องอยู่ใช้กรรมบนโลกมนุษย์จนกว่าจะหมดกรรมช่วงนี้”
“พระเจ้าค่ะ”
“ทำไมพี่ชายหนูตายได้ล่ะเจ้าคะท่าน พี่ชายหนูเป็นอะไร” กรรณิกาตกใจกับข่าวของพี่ชายและไม่เชื่อว่าพี่ชายจะเสียชีวิต
“เจ้าไปถามเอาเองก็แล้วกัน ท่านสุวรรณ พานางไปได้แล้ว”
“พระเจ้าค่ะ” สุวรรณรับคำสั่งแล้วหันมามองกรรณิกา หล่อนก้มกราบท่านพญามัจจุราช น้ำตานองใบหน้า
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่าน ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“ตามข้ามา”
สุวรรณพากรรณิกาไปที่ชุมชนรวยเลิศตามที่หล่อนบอก หล่อนเดินร้องไห้ตามสุวรรณจนถึงทางเข้าบ้าน สุวรรณเห็นสุวาลย์วิ่งไล่ชายหนุ่มหน้าตาดีราวกับเด็กวิ่งไล่จับกันอย่างนั้น กรรณิกาหยุดร้องไห้เมื่อเห็นพี่ชายตัวเองวิ่งหนีชายแต่งตัวประหลาด หล่อนรู้ทันทีว่าผู้ที่วิ่งไล่จับพี่ชายของหล่อนคือสุวาลย์ หล่อนวิ่งเข้าไปดักหน้าสุวาลย์ไว้
“หยุดก่อนค่ะท่าน”
“เหตุใดมาขวางทางข้า ข้าจะจับเจ้าหนุ่มนี่ไปลงโทษรวมทั้งท่านมัจโจด้วย เจ้าถอยออกไปประเดี๋ยวนี้” สุวาลย์พาลโกรธหญิงสาวที่เข้ามาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเขา
“ฟังฉันก่อน พี่ชายฉันยังไม่ถึงที่ตาย ท่านจับเขาไปลงโทษไม่ได้นะ”
“ใช่แล้ว ท่านสุวาลย์ เจ้าหนุ่มนี่ยังไม่ถึงที่ตาย ท่านประมุขบอกกับข้าว่า เจ้าหนุ่มต้องชดใช้กรรมระยะหนึ่งเท่านั้นจึงเข้าร่างไม่ได้เป็นวิญญาณให้ท่านไล่จับอยู่นี่ไง”
สุวรรณยืนยันคำพูดของกรรณิกา สุวาลย์หันมาจ้องหน้าสุวรรณพร้อมกับถอนหายใจก่อนจะชี้มือไปที่เวทิต
“เจ้าหนุ่ม เวรกรรมอันใดจึงทำให้วิญญาณของเจ้ากลับเข้าร่างไม่ได้ แล้วเยี่ยงนี้เจ้าจะดูแลร่างกายเจ้าได้อย่างไร ร่างของเจ้าอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่รึ”
“ท่านช่วยผมได้มั้ยครับ อ้าว.ยัยวิทำไมมาอยู่กับเขาล่ะ”
เวทิตสนใจตัวเองแต่พอเห็นหน้าน้องสาวเขาเปลี่ยนความสนใจมาที่น้องทันที เขาเดินเข้าไปหาน้อง จ้องหน้าหล่อน กรรณิการ้องไห้โผเข้ากอดพี่ชายแน่น
“อะไรกันเนี่ยยัยวิ เป็นอะไรแล้วมาอยู่ที่นี่ได้..ยัง..ไง”
ประโยคหลังของเขาแทบจะกลืนหายไปจากลำคอ เขากอดน้องได้ เห็นน้องสาวพูดคุยกับน้องสาวได้แสดงว่าน้องของเขา...
“ยัยวิ แกตายแล้วเหรอ”
เขาผลักน้องออกห่าง ดวงตาเบิกกว้างจ้องหน้าน้องอย่างไม่อยากเชื่อกับคำถามของตัวเองกรรณิกาเสียชีวิตได้อย่างไร
“ฉันตายแล้วพี่ ไอ้พวกนั้นมันฆ่าฉัน ยัยราณีสั่งคนฆ่าฉัน ฉันจะไปบอกพี่ไปลาพ่อกับแม่ ท่านพญามัจจุราชบอกว่าพี่ตายแล้วแต่ยังไม่ถึงเวลาตายจริง ให้ท่านสุวรรณมาบอกท่านสุวาลย์ปล่อยพี่ ทำไมพี่ตายล่ะ ทำไมวิญญาณออกจากร่างได้”
หญิงสาวจ้องหน้าชายหนุ่ม น้ำตายังไหลเปื้อนแก้ม เวทิตส่ายหน้า เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาถูกทำร้ายเพราะอะไร
“พี่ไม่รู้ อยู่ๆ ก็มีคนขับรถมอเตอร์ไซค์มาจอดแล้วรุมทำร้ายพี่”
“พวกยัยราณีแน่ๆ มันบอกว่าจะทำร้ายพี่กับพ่อแม่ใช่มั้ย”
“ใช่ พี่กำลังจะไปบอกแกแล้วนี่ร่างแกอยู่ไหน”
“ตำรวจเอาไปโรงพยาบาลแล้ว ถ้าอยากเห็นข้าจะพาพวกเจ้าไป”
สุวรรณเอ่ยน้ำเสียงอ่อนลง สุวาลย์หันมามอง กวาดสายตาไปรอบๆ
“ท่านมัจโจหายไปไหน ข้ามัวแต่วิ่งไล่จับเจ้านี่ ลืมท่านมัจโจไปเลย”
“ผมอยู่นี่ลุงสุวาลย์”
มัจโจเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ เขาหลบอยู่ที่นั่นขณะสุวาลย์วิ่งไล่ตามเวทิตไปรอบชุมชนเป็นรอบที่สอง
“ลุงอย่าเพิ่งจับผมไปส่งปู่ทวดเลยนะครับ ผมไม่อยากถูกกักบริเวณ”
“ไม่ได้ ท่านต้องไปกับข้า ไปประเดี๋ยวนี้”
“ไม่ได้ ท่านต้องไปกับข้า ไปประเดี๋ยวนี้”
สุวาลย์คว้าข้อมือมัจโจแต่เขาหายตัวไปยืนข้างเวทิต กรรณิกาจ้องมองมัจโจแล้วยิ้ม
“ท่านมัจโจเป็นวิญญาณเหมือนฉันรึเปล่า รูปหล่อนะเราเนี่ย อายุเท่าไหร่แล้วล่ะเท่าฉันแน่เลย”
หล่อนยิ้มหวานให้มัจโจ กะพริบตาเร็วๆ และก้าวเข้าไปหาเขา เวทิตขวางน้องสาวยกมือผลักออกห่าง สุวรรณจึงเอ่ยว่า