บทที่ 10 สังหารโหด
“ปัง ปัง ปัง...”
สิ้นเสียงดังสนั่น ร่างของหญิงสาวที่เพิ่งเดินอ้อมหน้ารถมาได้เพียงไม่กี่ก้าวทรุดลงนอนแน่นิ่งกับพื้น รถมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านไปเร็วเช่นตอนแล่นเข้ามา เสียงร้องวี้ดว้ายดังตามมา ความชุลมุนเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตามัจโจ เขายืนนิ่งกับเหตุการณ์ตรงหน้า น้ำสีแดงไหลออกจากเสื้อสีส้ม
“เฮ้ย.ไปดูซิ ตายรึเปล่าวะ”
“เฮ้ย.เรียกตำรวจเร็ว”
เสียงคนที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ดังแข่งกันและบรรดาไทยมุงก็ทยอยมายืนรุมล้อมร่างหญิงสาว มัจโจยังคงยืนนิ่ง ครู่เดียวหญิงสาวผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืน หล่อนวิ่งออกมาจากกลุ่มคน
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันด้วย พวกมันจะฆ่าฉัน ช่วยฉันด้วยค่ะ”
หล่อนวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากมัจโจโดยไม่รู้ตัวว่าตนเองเสียชีวิตแล้ว มัจโจถอยห่างออกมาพร้อมกับเอ่ยว่า
“เจ้าตายแล้ว”
“ไอ้บ้านี่ ไม่ช่วยแล้วยังมาแช่งฉันอีก ฉันยังไม่ตาย”
หญิงสาวโกรธกับคำว่าตายที่มัจโจเอ่ยออกมา หล่อนด่ามัจโจแล้วผลักอกเขาอย่างแรง
มัจโจเซถอยหลังไปสองสามก้าว เขาจ้องหน้าหญิงสาวที่แต่งเติมด้วยเครื่องสำอางสวยน่ามอง หล่อนทำอะไรกับใครไว้จึงถูกสังหารโหดกลางชุมชนเช่นนี้ หล่อนไม่รู้ตัวว่าเสียชีวิตหลังจากถูกยิง หล่อนวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากเขาอย่างน่าสงสาร
“เธอไม่มีสิทธิ์มาด่าฉันอย่างนี้นะ เธอตายแล้วจริงๆ”
“ไอ้บ้า อย่ามาแช่งฉันนะ ฉันยังไม่ตาย”
หล่อนโกรธมากกว่าเดิมตรงเข้าทุบตีชายหนุ่มตรงหน้า ลืมสังเกตว่าผู้ชายที่หล่อนกำลังทุบกำลังตบอยู่นั้นแต่งตัวผิดกับคนธรรมดา มัจโจปัดมือหล่อนและหลบพัลวัน หล่อนก็ยังไม่หยุด ยังด่าทอและไล่ทุบไม่ยั้งมือ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เธอตายแล้วจริงๆ หันไปมองร่างเธอสิ โน่นไง คนมุงดูกันอยู่โน่น”
เขาชี้มือไปยังกลุ่มคนที่ยืนล้อมอะไรบางอย่างอยู่ วิภาหรือกรรณิกาหันไปมองตามมือชายหนุ่ม ไม่ถึงนาทีก็หันกลับมายกมือขึ้นชี้หน้าเขา
“ไอ้ทุเรศ พวกนั้นมุงดูของกันน่ะสิ คงมีคนเอาของมาขายลดราคา แกอย่ามาว่าฉันนะ ฉันยังไม่ตาย ได้ยินมั้ย ฉันยืนอยู่นี่ไง ยืนด่าแกอยู่นี่ไงไอ้เลว”
“ได้ ถ้าเธอไม่หยุดด่าฉันก็ไปนรกด้วยกันจะได้รู้ว่าเธอตายแล้วจริงๆ มานี่เลย มานี่ ตายแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ไปทำอะไรใครไว้ล่ะเขาถึงตามยิงกระหน่ำรวดเดียวสิ้นใจเลยเนี่ย”
เขาเข้าฉุดแขนหล่อนลากถูให้ตามไปยังนรกภูมิเพื่อให้ปู่ทวดลงโทษ เขาอยากรู้เช่นกันว่าหล่อนไปสร้างกรรมกับใครไว้
“ไม่ไป ฉันไม่ไปกับแก ไอ้บ้านี่ ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน อ้อ.นี่แกเป็นคนของคุณราณีใช่มั้ย เขาให้มาตามดูฉันละสิ ปล่อยฉัน ฉันไม่ไปกับแก ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ทำให้ครอบครัวเสี่ยเดือดร้อน ฉันก็อยู่ของฉันเงียบๆ ฉันไม่คิดไปรบกวนเขาอยู่แล้ว แกกลับไปบอกเขาได้เลย ว่าฉันไม่เข้าไปวุ่นวาย ไม่เรียกร้องอะไรทั้งนั้น ปล่อยฉันสิโว้ย”
หล่อนยื้อยุดขืนตัวและกระชากแขนกลับแต่มัจโจไม่ปล่อยกระชากหล่อนปลิวไปตามพละกำลังที่มี ร่างบางถูไปกับพื้น หล่อนร้องด่าและขัดขืนทุกวิธีเพื่อให้หลุดจากอุ้งมือของชายร่างสูงสวมชุดสีขาวผู้นี้
มัจโจฉุดลากวิญญาณหญิงสาวไปได้ครู่หนึ่งจึงหยุดและปล่อยมือหล่อน เขาเพิ่งคิดทบทวนอีกครั้งหากเขาพาดวงวิญญาณหญิงสาวผู้นี้ไปพบพญามัจจุราชเพื่อให้ตัดสินคดีความผิด เขาก็ต้องถูกลงโทษเช่นกัน
“เราเพิ่งหนีปู่ทวดมานี่ ถ้าพาผู้หญิงคนนี้ไปห้องตัดสิน รับรองปู่ทวดสั่งกักบริเวณเรานานเป็นเดือนแน่ ไม่ไปดีกว่า”
“ไอ้บ้า ไอ้ประสาท”
กรรณิกาได้ยินมัจโจพูดคนเดียว หล่อนเข้าใจว่าเขาเป็นบ้าหรือไม่ก็โรคประสาทเพราะคำพูดของเขาฟังไม่เข้าใจสักคำ
“หยุดด่าฉันได้แล้ว เธอพาฉันไปบ้านเธอเดี๋ยวนี้เลย จะได้รู้ว่าเธอน่ะตายแล้วจริงๆ ฉันไม่ได้แช่งเธอแล้วก็ไม่ได้พูดเล่นด้วย”
“แกนี่ประสาทแหงๆ ก็ฉันยืนอยู่ตรงหน้าแกเนี่ย ฉันจะตายได้ยังไง อีกอย่างนะฉันไม่พาคนแปลกหน้าแต่งตัวประหลาดๆ ไปบ้านฉันหรอก”
หล่อนกวาดสายตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เสื้อผ้าเป็นสีขาวทั้งชุดแต่ที่คอเสื้อ ขอบแขน ขอบขากางเกงขลิบสีทองลายกระหนก รองเท้าสีทองหัวแหลม ใบหน้ารูปไข่ ผิวเกลี้ยงเกลาเช่นหญิงสาว คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ดวงตาสีนิล ขนตายาวงอนไม่แพ้ผู้หญิง ริมฝีปากหยักรูปกระจับ เครื่องหน้าสวยเหมือนผู้หญิงแต่หากพิจารณาดีๆ หล่อราวกับเทพบุตรทีเดียว
“แค่เธอคิดถึงบ้าน เธอก็พาฉันไปได้แล้ว”
มัจโจพูดออกมาแล้วหัวเราะเสียงดังเพราะทันทีที่กรรณิกาเอ่ยว่าบ้านร่างของหล่อนและมัจโจก็ยืนอยู่หน้าห้องพักของหล่อนเรียบร้อยแล้ว หล่อนกะพริบตาเหลียวมองทางซ้ายแล้วค่อยๆ หันมาทางขวาและต้องเบิกตากว้าง หล่อนยืนอยู่หน้าห้องของหล่อนจริงๆ เป็นไปได้อย่างไร
“ไม่..เป็นไปไม่ได้ ฉันมาที่นี่ได้ยังไง ไม่..”
หล่อนถอยหลังหนีมัจโจพลางปฏิเสธสิ่งที่เห็นชัดกับสายตา ที่ๆ หล่อนยืนอยู่เป็นหน้าห้องชุดในคอนโดมิเนียมหรูชานเมือง ณรงค์เดชซื้อให้หล่อนเป็นของขวัญวันเกิดแม้ว่าณรงค์เดชจะมีภรรยาอยู่แล้วแต่เขาก็บอกรักหล่อน ซื้อรถป้ายแดงให้ขับ พาไปเที่ยวต่างประเทศโดยราณีภรรยาของเขาก็รู้ว่าหล่อนเป็นภรรยาน้อยของสามีแต่ราณีก็ไม่แสดงกิริยาหึงหวงแต่อย่างใด