บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5 ประจันหน้า

เจ้าชายอิสยาสอุ้มเจ้าหญิงจัสมินขึ้นมานั่งบนตัก ก่อนจะเลิกคิ้วสูงมองหน้าหลานสาวจอมซน

“ไปไหนมาหลานอา ดูสิเหงื่อโทรมกายเชียว” ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นปาดเหงื่อให้เจ้าหญิงน้อยอย่างเอ็นดู พร้อมกับแย้มพระสรวลอย่างขันๆ เมื่อเห็นรอยเปรอะเปื้อนบนใบหน้าเรียวเล็ก

“ไปวิ่งเล่นมาเพคะ สนุ๊ก สนุก” เจ้าหญิงจัสมินรับสั่งพร้อมกับหอบหายใจถี่ๆ ด้วยความเหนื่อย ก่อนจะหันมาทำตาขุ่นใส่มีนาแล้วตรัสถามผู้เป็นอาเสียงใส

“ท่านอาเพคะ นางคนนี้เป็นใครเพคะ?”

“จัสมินพูดไม่ไพเราะเลยนะ พี่เขาชื่อพี่มีนาเป็นน้องสาวของเสด็จย่าคนใหม่ไงล่ะ” เจ้าชายอิสยาสทำเสียงดุ ก่อนจะแนะนำ

“พวกคนที่แย่งเสด็จปู่ไปจากข้านี่เอง ข้าเกลียดพวกมัน!” เจ้าหญิงจัสมินลุกขึ้นจากตักของเสด็จอาแล้วเท้าเอวมองค้อนมีนาอย่างเกลียดชัง

“ไม่น่ารักเลยนะจัสมิน พูดจากับผู้ใหญ่แบบนี้ได้ยังไง ขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้” ผู้เป็นอาตำหนิเสียงเข้มพร้อมกับออกคำสั่ง

“ไม่!” เจ้าหญิงน้อยตะคอกใส่หน้าผู้เป็นอา ก่อนจะรีบวิ่งหนีไป เจ้าชายอิสยาสมองตามหลังร่างเล็กไปพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความระอาใจ แล้วหันกลับมาทางสาวไทยอีกครั้ง

“ข้าขอโทษแทนหลานสาวของข้าด้วย นางถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก แล้วยังเป็นกำพร้าพระมารดา แถมพี่ของข้าก็ไม่มีเวลาดูแลนางอย่างใกล้ชิด นางก็เลยกลายเป็นเด็กก้าวร้าวไป”

“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันไม่ถือ” มีนาอมยิ้ม พลางนึกในใจว่าคงได้รับอิทธิพลเจ้าอารมณ์มาจากบิดาด้วยนั่นแหละ เพราะดูแล้วนิสัยของพ่อกับลูกไม่แตกต่างกันเลย

“แล้วทำไมท่านพี่ของฝ่าบาทถึงไม่มีชายาใหม่ล่ะเพคะ” มีนาเอ่ยถามต่ออย่างสนใจโดยลืมไปว่าเจ้าของเรื่องกับตนเองนั่นไม่ลงรอยกัน

“ก็กำลังจะมีในอีกไม่กี่เดือนนี้แหละ ท่านพี่ของข้ามีพระคู่หมั้นชื่อว่าเจ้าหญิงไรร่า” พระสุรเสียงท้ายรับสั่งดูแผ่วเบาจนมีนารู้สึกได้ถึงความผิดปรกติ จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ?”

“เปล่า...” เจ้าชายหนุ่มส่ายพระพักตร์พร้อมกับฝืนแย้มพระสรวลให้หญิงสาว ก่อนจะรับสั่งต่อ “สงสัยข้าจะพูดมากไปแล้วล่ะ เราไปเดินเล่นทางด้านโน้นกันดีกว่า ดอกไม้สวยๆ ทั้งนั้นเลย เจ้าน่าจะชอบ” รับสั่งจบก็ทรงประทับยืนขึ้น ทำให้มีนาต้องรีบลุกตาม จากนั้นทั้งคู่ก็เดินคุยกันไปชมดอกไม้ ต้นไม้ กันไปอย่างเพลิดเพลิน

เมื่อมาถึงแปลงดอกกุหลาบสีแดง มีนาก็เดินเข้าไปชมใกล้ๆ พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้างด้วยความชื่นชอบ เจ้าชายอิส

ยาสอมยิ้มแล้วเดินเข้าไปเด็ดดอกกุหลาบสีแดงสดหนึ่งดอกส่งให้หญิงสาว

“หอมแล้วก็สวยมากเพคะ” สาวไทยรับมาแล้วก็ยกขึ้นสูดดม ก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ

“ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะให้คนมาตัดไปปักแจกันให้เจ้าทุกวันเลยเอาไหม?”

“อย่าเลยเพคะ ดอกไม้จะสวยก็ต่อเมื่ออยู่กับต้นของมันเองเพคะ ตัดไปมันก็อยู่ได้ไม่นาน หม่อมฉันเสียดายเพคะ”

“เจ้านี่มีความคิดที่แปลกกว่าผู้หญิงคนอื่นนะ ข้าชักชอบเจ้าแล้วสิ” คำรับสั่งที่ตรงไปตรงมาของเจ้าชายอิสยาสทำให้มีนานิ่งอึ้งไป ก่อนจะยิ้มให้อย่างเก้อเขิน

“เอ่อ...หม่อมฉันว่า...” มีนาเอ่ยขึ้นยังไม่ทันจบประโยค น้ำเสียงแข็งกระด้างของใครคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น หญิงสาวจึงหันไปมอง แล้วก็ต้องเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อพบว่าน้ำเสียงนั้นเป็นของเจ้าชายการีฟนั่นเอง

‘อุตส่าห์หลบมาที่นี่แล้วยังจะมาเจออีก ซวยจริงๆ’ สาวไทยบ่นในใจอย่างหงุดหงิด สีหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที

“พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ ดูท่าทางจะสนุกนะ” เจ้าชายการีฟเสด็จเข้ามาประทับยืนข้างๆ กับพระอนุชา แต่สายพระเนตรดุดันกลับจ้องไปที่มีนาเขม็ง

“คุยกันเรื่องทั่วๆ ไปนั่นแหละท่านพี่ ว่าแต่ท่านพี่เถอะเสด็จมาเงียบเชียว” เจ้าชายอิสยาสหันมาแย้มโอษฐ์ให้กับพระเชษฐา

“ไม่เงียบนะ ข้าก็เดินมาเสียงดังนี่แหละ แต่เจ้าไม่สนใจข้าเอง มัวแต่สนใจคนบ้านอื่นเมืองอื่นอยู่ได้” เจ้าชายการีฟรับสั่งเน้นเสียงหนักๆ ตรงท้ายประโยคพร้อมกับปรายพระเนตรเหยียดหยามไปทางมีนา

“คนอื่นที่ไหนกันท่านพี่ คุณมีนาเป็นน้องสาวของพระชายานะท่านพี่ เราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว” เจ้าชายอิสยาสทรงทราบดีว่าพี่ชายของพระองค์ไม่ชอบศิริรัตน์ แต่พระองค์ก็อยากจะให้ผู้เป็นพี่ยอมรับอีกฝ่ายให้ได้

“เจ้าอาจจะถือว่าพวกนางเป็นคนในครอบครัว แต่ข้าไม่! ข้าไม่เคยคิดนับญาติหรือยอมรับผู้หญิงอย่างพวกนางเด็ดขาด!” พระสุรเสียงขององค์รัชทายาทหนุ่มแข็งกร้าวขึ้น เช่นเดียวกับสีพระพักตร์ที่บึ้งตึงดุดัน แล้วทรงตวัดสายพระเนตรเคียดแค้นชิงชังไปทางมีนา ก่อนจะรับสั่งลอดไรพระทนต์อย่างโกรธเกรี้ยว

“พวกนี้มีแต่ดัดจริตมารยาไปวันๆ เพื่อให้ได้สิ่งของมีค่าที่ตนเองต้องการเท่านั้นแหละ ไม่มีทางที่ข้าจะนับญาติด้วย!”

“หม่อมฉันก็ไม่ต้องการนับญาติกับฝ่าบาทเหมือนกันเพคะ!” มีนาถึงกับควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ เมื่ออีกฝ่ายพูดจาหยาบหยามอย่างน่าตบ

“กำแหงมากเกินไปแล้วนะ!” ชีคหนุ่มตวาดเสียงดังลั่น พระพักตร์คมแดงก่ำด้วยแรงโทสะ สันพระกรามนูนขึ้นอย่างน่ากลัว แต่มีนากลับจ้องสบพระเนตรอย่างไม่หวาดหวั่น ใครจะทนได้ในเมื่อถูกเหยียบย่ำศักดิ์ถึงขนาดนี้

ฝ่ายเจ้าชายอิสยาสก็ถึงกับยืนอ้าพระโอษฐ์ค้างเมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายเริ่มปะทะคารมกันขึ้น ทรงยื้อพระหัตถ์ของพระเชษฐาเอาไว้เป็นเชิงปราม

“เอ่อ..ข้าว่าเรากลับขึ้นตำหนักกันเถอะท่านพี่ ข้ามีเรื่องงานที่จะถามท่านพี่อยู่พอดีเลย” ทรงรับสั่งขึ้นเพื่อหวังจะยุติสงครามย่อยๆ นี้ลง แต่ผู้เป็นพี่ก็ยังคงยืนจ้องหญิงสาวนิ่ง เจ้าชายหนุ่มจึงเบนเข็มมาทางสาวไทยแทนเพราะคิดว่าหญิงสาวคงพูดง่ายกว่าพี่ชาย

“ข้าว่าเจ้าคงเดินเล่นเหนื่อยแล้วล่ะ กลับไปพักผ่อนเถอะ”

มีนาละสายตาจากเจ้าชายการีฟแล้วหันไปมองเจ้าชายอิสยาสที่ส่งแววตาขอร้องมายังเธอ อันที่จริงหญิงสาวก็ไม่อยากมีเรื่องหรอก เพราะมันมีแต่จะทำให้ตัวเธอเดือดร้อน สาวไทยลอบถอนใจออกมา

“เพคะ งั้นหม่อมฉันทูลลานะเพคะ” มีนาย่อตัวลงทำความเคารพ ก่อนจะหมุนตัวเดินผละออกมา เธอเห็นแก่เจ้าชายอิสยาสและไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายจึงยอมเป็นฝ่ายถอย แต่มีหรือที่เจ้าชายการีฟจะทรงยอมปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ แบบนี้

“เจ้าขึ้นไปรอที่ห้องทำงานก่อน ข้าจะไปทำธุระส่วนตัวสักครู่แล้วจะรีบตามขึ้นไป”

“ท่านพี่จะไปไหน?” เจ้าชายอิสยาสจ้องพระพักตร์ของพระเชษฐาอย่างคาดคั้น

“บอกแล้วไงว่าธุระส่วนตัว” รับสั่งจบก็รีบสาวพระบาทเสด็จจากไปจากรวดเร็ว ก่อนที่พระอนุชาจะชักถามจนมากความ

มีนาเดินฟาดมือฟาดไม้ไปตามกิ่งไม้ใบหญ้าด้วยความแค้นใจและเจ็บใจ นี่ถ้าเจ้าชายอิสยาสไม่ประทับอยู่ตรงนั้นคงได้ตายกันไปข้างหนึ่งแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วมันยิ่งแค้น

“เจ็บใจนัก เป็นถึงเจ้าชายแต่ปากยิ่งกว่าแม่ค้าร้านแผงอีก!” หญิงสาวเน้นเสียงอย่างโกรธแค้นก่อนจะฟาดมือลงไปบนยอดต้นสนเพื่อระบายอารมณ์ แต่แล้วร่างบางก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ วรกายสูงของเจ้าชายการีฟก็โผล่พรวดออกมายืนขวางหน้าของเธอเอาไว้

“ทำไม? ตกใจกลัวข้ามากหรือไง ฮึ! ฮึ!” มุมโอษฐ์ยกขึ้นอย่างเยาะเย้ย ก่อนจะรับสั่งต่อด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าว พร้อมกับแววพระเนตรที่ดุดัน

“คิดว่าเดินหนีมาแล้วจะจบเรื่องงั้นเหรอ!”

“หม่อมฉันไม่ได้หนี แต่หม่อมฉันไม่อยากมีเรื่องให้เจ้าชายอิสยาสต้องทรงร้อนพระทัย” มีนาจ้องตอบอีกฝ่ายอย่างไม่หวั่นเกรง

“หยุดนะ! อย่าบังอาจเอ่ยชื่อน้องชายของข้าเด็ดขาด!” พระหัตถ์แกร่งคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเรียวแล้วบีบอย่างแรงด้วยความโมโห

“โอ๊ย! ปล่อยนะเพคะ หม่อมฉันเจ็บ!” สาวไทยพยายามบิดข้อมือของตัวเองให้หลุด แต่ยิ่งสลัดมันก็ยิ่งแน่น ใบหน้าสวยถึงกับเหยเกด้วยความเจ็บ แต่ราชนิกุลหนุ่มกลับไม่สนพระทัย แถมยังกระตุกยิ้มที่มุมโอษฐ์อย่างเยาะๆ แล้วเน้นเสียงลอดไรพระทนต์อย่างเหี้ยมๆ

“ตอนเช้าอยู่กับอีกคน พอตอนสายก็อยู่กับอีกคน ตกลงเจ้าจะเลือกใครกันแน่!”

“หม่อมฉันเลือกทั้งสองคนเลยเพคะ พอใจคำตอบไหมเพคะ!” มีนากระแทกเสียงตอบแบบยั่วๆ เพราะเธอเองก็ทั้งเจ็บและโมโหมากไม่แพ้เจ้าชายหนุ่มเหมือนกัน

แต่มีนาไม่รู้หรอกว่าการทูลตอบแบบนั้นมันยิ่งเป็นการเทน้ำมันรดลงไปบนกองไฟให้ลูกโชนขึ้น เจ้าชายการีฟกัดกรามกรอด ก่อนจะฉุดกระชากลากถูมีนาเข้าไปที่มุมพระราชวังซึ่งเป็นมุมที่ลับจากสายตาผู้คน แล้วผลักร่างบางไปชนกับกำแพงอย่างแรง มีนารู้สึกทั้งจุกและเจ็บร้าวไปทั่วแผ่นหลัง ก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้น

“ลุกขึ้นมาสิ เก่งนักไม่ใช่หรือไง!” ชีคหนุ่มกระชากร่างบางให้ลุกยืนขึ้นมาอีกครั้ง

“ปล่อยหม่อมฉัน! หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ!” มีนายกแขนขึ้นผลักพระอุระกว้างเต็มแรง แต่วรกายสูงนั้นกลับไม่ไหวติงใดๆ เลย น้ำตาแห่งความเจ็บปวดระคนเจ็บใจไหลลงมาอาบแก้มนวลทั้งสอง

“เอาน้ำตามาบีบเพื่อให้ข้าใจอ่อนหรือไง ฮึ! ผู้หญิงอย่างเจ้ามันก็ดีแต่ใช้มารยาหลอกล้อผู้ชายนั่นแหละ” ทรงโน้มพระพักตร์คมเข้าไปใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

“แล้วไงเพคะ! ถึงหม่อมฉันจะหลอกล้อผู้ชาย หม่อมฉันก็ไม่เห็นว่าพระองค์จะต้องมาเดือดร้อนอะไรด้วยเลย!” มีนากัดฟันข่มความเจ็บและกลั้นน้ำตาของตนเองเอาไว้ เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเจ้าชายพระองค์นี้ถึงได้เกลียดชังเธอมากขนาดนี้

“ทำไมจะไม่เดือดร้อน ในเมื่อเจ้าคิดจะให้ท่าน้องข้า ฮึ! ฮึ! อย่าได้ฝันไปเลยนังผู้หญิงไม่มียางอาย!” เจ้าชายการีฟตะคอกใส่หน้าหญิงสาวอย่างทันควัน มีนาก็สวนกลับราชนิกุลหนุ่มอย่างทันทีเช่นกัน

เผียะ!!

ฝ่ามือเรียวฟาดลงบนพระพักตร์คมเข้มของเจ้าชายรัชทายาทเต็มแรงตามความโกรธของเจ้าของ พระพักตร์บึ้งตึงถึงกับหันไปตามแรงมือ ก่อนจะสะบัดหันกลับมามองหญิงสาวด้วยแววเนตรแดงก่ำราวกับดวงตาของพญาราชสีห์ที่กำลังโกรธจัด

“เจ้ากล้าตบข้างั้นหรือ!” ทรงเน้นพระสุรเสียงอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะกระชากร่างบางเข้ามาหาวรกายสูงของพระองค์ แล้วประกบพระโอษฐ์ลงไปที่ริมฝีปากปากเรียวบาของมีนาอย่างแรงโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว มีนารู้สึกเจ็บและแสบที่ริมฝีปาก พร้อมกับได้กลิ่นคาวเลือดสดๆ คลุ้งอยู่ในกระพุงแก้มของตนเองอีกด้วย หญิงสาวพยายามดิ้นรนขัดขืนผลักไสวรกายสูงนั้นออกห่าง แต่ก็สู้แรงของชีคหนุ่มไม่ได้ เธอจึงได้แต่ดิ้นอยู่ในอ้อมพระกรแกร่ง น้ำตาแห่งความเจ็บแค้นใจไหลพรากลงมาอีกครั้ง

เจ้าชายการีฟชะงักพระองค์ทันทีเมื่อสัมผัสถึงน้ำอุ่นๆ และทรงดึงพระสติกลับคืนอีกครั้ง พระหัตถ์หนาผลักร่างบางล้มลงไปกองกับพื้นแล้วยืนทอดพระเนตรอีกฝ่ายเขม็งพร้อมกับขบพระกรามแน่น ก่อนเสด็จจากไปอย่างรวดเร็ว

มีนานั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นเป็นนานหลายนาที ก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนพร้อมกับยกหลังมือขึ้นเช็ดที่ริมฝีปากที่แดงเห่อของตนเอง แววตาเคียดแค้นชิงชังมองนิ่งไปทางที่เจ้าชายการีฟเสด็จไป

“เรื่องที่เกิดในวันนี้ หม่อมฉันจะไม่มีวันให้อภัยพระองค์เด็ดขาด หม่อมฉันจะเอาคืนให้สาสม รับรองได้ว่า

พระองค์จะต้องกระอักพระโลหิตแน่ๆ!” หญิงสาวกล่าวอาฆาตแค้นก่อนจะเดินกลับห้องพักของตนเอง

พอมาถึงมีนาก็รีบอาบน้ำเพื่อชำระรอยสัมผัสของเจ้าชายการีฟออกจากร่างกาย เธอทั้งขัดทั้งถูจนเนื้อตัวแดงเป็นลูกนกและนั่งแช่อยู่ในอ่างน้ำเป็นครึ่งๆ ชั่วโมง ก่อนจะลุกขึ้นมาแต่งตัวแล้วเดินออกจากห้องไปอีกครั้งหนึ่ง

ศิริรัตน์คลี่ยิ้มส่งให้มีนาเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินตามหลังนางกำนัลเข้ามาหาตนเอง

“มีอะไรหรือเปล่าถึงได้กลับมาหาพี่อีก?” ผู้เป็นพี่เอ่ยถามยิ้มๆ แต่แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่นเมื่อสังเกตเห็นรอยแดงช้ำที่มุมปากด้านซ้ายของญาติผู้น้อง จึงเอ่ยถามต่อด้วยความห่วงใย

“นั่นปากไปโดนอะไรมาน่ะมีน”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ผึ้งมันต่อยปากเอาน่ะค่ะตอนที่ก้มลงไปดมดอกไม้ในสวน” มีนาแต่งเรื่องแล้วฝืนยิ้มกว้างให้พี่สาว

“เป็นไปได้ยังไงผึ้งต่อยปาก...มาๆๆ พี่จะทายาให้ แล้วก็เอาครีมแป้งของพี่ทาทับอีกนิดหนึ่งจะได้ไม่มีใครเห็นรอยช้ำ” ศิริรัตน์ทำสีหน้าไม่อยากเชื่อ แต่ก็หยิบยามาทาให้กับน้องสาวอย่างเบามือ แล้วก็หยิบครีมยาสีเนื้อมาทาตรงรอยแดงช้ำที่มุมปากเพื่อปกปิดร่องรอย มีนายกมือไหว้ขอบคุณแล้วล้มตัวลงนอนหนุนตักพี่สาวบนโซฟาตัวยาวก่อนจะหลับตาลง

“มีนมีอะไรในใจหรือเปล่า บอกพี่ได้นะ” ศิริรัตน์ก้มหน้าลงมองหน้าน้องสาวพร้อมกับเลิกคิ้วสูง เธอรู้นิสัยของมีนาดีว่า ถ้าทำท่าเนือยๆ แบบนี้ละก็คงต้องมีเรื่องอะไรในใจอย่างแน่นอน

“ทำไมเจ้าชายการีฟถึงไม่ชอบพวกเราล่ะค่ะ” มีนาลืมตาขึ้นมองพี่สาวแล้วถอนใจยาวๆ

“ถามแบบนี้แสดงว่ามีนไปเจอกับเจ้าชายมาล่ะสิ”

“ค่ะ ดูท่าทางจะทรงเกลียดมีนมากด้วย” พูดแล้วก็ขบกรามอย่างโมโหเมื่อนึกถึงสิ่งที่ราชนิกุลหนุ่มทำกับเธอ

“มีนก็พยายามหลีกเลี่ยงแล้วกัน อย่าไปมีเรื่องกับเจ้าชายเด็ดขาด เดี๋ยวจะเดือดร้อน เราก็อยู่ส่วนของเรา เขาก็อยู่ส่วนเขา ต่างคนต่างอยู่” ผู้เป็นพี่สาวเอ่ยเตือน พร้อมกับยกมือเรียวขึ้นลูบผมของน้องสาวอย่างเอ็นดู

“ถ้าเราย่อม เขาก็จะยิ่งได้ใจนะคะ ถ้าเขาแรงมามีนก็จะแรงกลับ จะเอาให้เจ็บกว่าหลายเท่าเลยคอยดู!” มีนาเน้นเสียงลอดไรฟัน ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหรี่ตามองไปด้านหน้าอย่างเคียดแค้น

“อย่านะมีน! พระองค์เป็นถึงเจ้าชาย เราจะโดนตัดหัวเอาได้นะ สัญญากับพี่สิว่าจะไม่ไปยุ่งกับเจ้าชาย” ศิริรัตน์จับต้นแขนเรียวของน้องสาวเขย่า และจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างกังวลใจ เพราะเธอรู้ว่ามีนาเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมคน แต่ผู้เป็นน้องกลับนิ่งเงียบ จนพี่สาวรู้สึกใจเสียและเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม

“ว่าไงล่ะมีน ถือว่าพี่ขอนะมีน รับปากพี่สิ” ศิริรัตน์คาดคั้น มีนามองสบแววตาห่วงใยของอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างช้าๆ เธอไม่อยากให้พี่สาวเป็นทุกข์ใจ

“ค่ะ มีนรับปาก” หญิงสาวคลี่ยิ้มให้ผู้เป็นพี่ ก่อนจะหันมาลอบกระตุกยิ้มที่มุมปากพลางคิดในใจต่อท้ายคำพูดของตนเองเมื่อครู่ ‘ถ้าเขาไม่มายุ่งกับมีน มีนก็จะไม่ยุ่งกับเขา’

ศิริรัตน์ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง เพราะเธอรู้ดีว่ามีนาเป็นคนรักษาคำพูดมากแค่ไหน ถ้ารับปากแล้วก็ย่อมทำตามนั้น

“เอาล่ะใกล้ได้เวลาทานอาหารเย็นพอดี เราไปรอที่ห้องอาหารกันเถอะ” ผู้เป็นพี่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับจูงมือน้องสาวให้ลุกขึ้นตาม ก่อนจะพากันเดินออกไปจากห้อง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel