ตอนที่ 6 เจ้าหญิงจัสมินผู้ดื้อรั้น
มีนากับศิริรัตน์ชะลอฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้าไปในห้องอาหารทันที เมื่อเห็นเจ้าหญิงจัสมินกำลังยืนเท้าเอวต่อว่าเหล่านางกำนัลที่เป็นพระพี่เลี้ยงอยู่อย่างโกรธเกรี้ยว
‘เด็กอะไรไม่มีมารยาท ฝ่ายพ่อก็มัวแต่ว่าคนอื่นเขา ไม่ดูลูกสาวตัวเองบ้างเลยว่าเป็นยังไง ฮึ!’ มีนาลอบคิดและ
หัวเราะเยาะในใจ แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในสมองก่อนจะก้าวเข้าไปหาคนตัวเล็ก
“ทรงทำอะไรอยู่เพคะ” หญิงสาวเลิกคิ้วถามเป็นภาษาอาหรับด้วยสีหน้ายิ้มๆ พระพักตร์คมของเจ้าหญิงจัสมินที่ถอดแบบมาจากพระบิดาจึงหันมาทอดพระเนตรบุคคลที่สามที่เข้ามายุ่งอย่างไม่พอพระทัย แล้วเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดจึงตะคอกใส่อย่างโกรธเคือง
“แล้วเจ้ามายุ่งอะไรด้วย! ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”
“เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆ แต่รับสั่งกับผู้ใหญ่ไม่ไพเราะเลย ไม่น่ารักเอาซะเลย อีกหน่อยก็คงไม่มีใครรักหรอก” มีนากระตุกยิ้มอย่างเยาะๆ ทำให้องค์หญิงน้อยยิ่งโมโหมากขึ้นเพราะพูดแทงพระทัยเข้าพอดี ริมโอษฐ์บางเล็กจึงเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง
“เจ้ากล้าว่าข้างั้นเหรอ! นี่แน่ะ! นี่แน่ะ!” ร่างเล็กพุ่งเข้ามาหาสาวไทยก่อนจะใช้กำปั้นน้อยๆ ทุบตีมีนาอย่างโกรธแค้น
“หยุดนะเพคะ!” มีนาตวาดเสียงแข็งพร้อมกับจับมือเล็กยึดเอาไว้ เจ้าหญิงจัสมินสะดุ้งกับคำตวาดและหยุดกึกลงทันที ศิริรัตน์รีบเข้าไปห้ามน้องสาวอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าจะเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต
“พอแล้วมีน อย่าไปยั่วโมโหเจ้าหญิงเลย”
“มีนไม่ได้ยั่ว มีนแค่จะสั่งสอนเด็กนิสัยไม่ดีเท่านั้น” มีนาหันมาทางพี่สาว ก่อนจะหันกลับไปทางเจ้าหญิงจัส
มินอีกครั้ง แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังทำท่าจะร้องไห้
“ปล่อยข้านะข้าเจ็บ! ข้าจะฟ้องท่านพ่อ!” พระสุรเสียงออกจะสั่นเครือและพยายามดึงมือของตัวเอง มีนาจึงคลายมือของตัวเองแล้วพูดเยาะใส่เด็กน้อย
“พอทำอะไรไม่ได้ดังใจก็ร้องไห้จะไปฟ้องพ่อ เด็กหนอเด็ก” มีนาหัวเราะในลำคออย่างเยาะๆ
“ข้าๆ ไม่ใช่เด็ก ข้าโตแล้ว!” เจ้าหญิงองค์น้อยสวนกลับมีนาทันที ก่อนจะปาดน้ำพระเนตรที่แก้มยุ้ยๆ ทั้งสองข้างทิ้ง มีนาลอบอมยิ้มแล้วพูดต่ออย่างท้าทายอีกฝ่าย
“ถ้าไม่ใช่เด็กก็ต้องพิสูจน์พระองค์เองสิเพคะ หม่อมฉันจะขอท้าประลองกับองค์หญิง ถ้าหม่อมฉันทำอะไรได้ องค์หญิงก็ต้องทำให้ได้ ถ้าองค์หญิงทำได้ก็แสดงว่าองค์หญิงโตแล้ว แต่ถ้าทำไม่ได้ก็แสดงว่ายังเป็นเด็กอยู่และต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของพวกพี่เลี้ยงด้วย ว่าไงเพคะกล้าหรือเปล่ารับคำท้าหรือเปล่าเพคะ” มีนายักคิ้วให้เจ้าหญิงจัสมินอย่างท้าทายพร้อมกับยิ้มยั่ว เจ้าหญิงทรงนิ่งเงียบ
“ได้ ข้ารับคำท้าของเจ้า!” เจ้าหญิงจัสมินรับสั่งอย่างหนักแน่นหลังจากนิ่งเงียบอย่างครุ่นคิดไปชั่วครู่
มีนาอมยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหันมามองหน้าพี่สาวแล้วพากันเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร เจ้าหญิงจัส
มินเม้มโอษฐ์ ทอดพระเนตรตามหลังมีนาไปด้วยแววเนตรที่ดุดัน ก่อนจะเสด็จตามมาประทับนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับมีนาและจ้องอีกฝ่ายตาขวาง
ครู่ต่อมาองค์สุลต่าน เจ้าชายทั้ง 4 พระองค์ คุณช่อผกา คุณอรวันและวรรณวลีก็ทยอยกันเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร เจ้าชายการีฟเหลือบพระเนตรไปมองทางมีนาพร้อมกับขบพระกรามแน่น ส่วนมีนาเองก็รู้ว่าเจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรมองมาจึงเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ แล้วมองเมินอีกฝ่ายไป
“เอ๊ะ! นั่นหน้าเจ้าไปโดนอะไรมา การีฟ” พระขนงขององค์อัลบาฮาขมวดมุ่นเมื่อสังเกตเห็นรอยแดงเป็นปื้นๆ คล้ายฝ่ามือบนพระพักตร์ของโอรสองค์โต
“ข้าตบแมลงที่มันมาเกาะที่หน้าน่ะท่านพ่อ มันก็เลยเป็นรอย” ชีคหนุ่มทูลตอบพระบิดาเสียงอ่อย ก่อนจะหรี่พระเนตรมองไปทางมีนาอีกครั้งอย่างโกรธแค้น ซึ่งก็ทรงเห็นรอยยิ้มเยาะที่มุมปากเรียวของสาวไทยเข้าพอดี สันพระกรามแกร่งจึงนูนขึ้นมากกว่าเดิมด้วยความโมโห
เจ้าหญิงจัสมินทอดพระเนตรมองมีนาอย่างไม่วางสายพระเนตร ไม่ว่ามีนาจะทำอะไร พระองค์ก็จะทรงทำตามทุกอย่าง มีนาหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม เจ้าหญิงน้อยก็จะทรงทำตามบ้างแต่เอื้อมหยิบแก้วไม่ถึง นางกำนัลจึงคิดจะหยิบให้ แต่ก็ทรงหันมาดุใส่นางกำนัล แล้วลุกขึ้นเอื้อมหยิบแก้วน้ำมาดื่มจนได้ องค์สุลต่านกับเจ้าชายทั้ง 4 พระองค์ถึงกับมองพระพักตร์กันอย่างแปลกพระทัย เพราะทุกครั้งพระนัดดาตัวน้อยจะรับสั่งใช้นางกำนัลจนวิ่งกันให้วุ่นไปหมด แต่วันนี้กลับทำเองหมดทุกอย่าง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น หลานอาถึงได้น่ารักขนาดนี้” เจ้าชายจอร์แดนรับสั่งชมพร้อมกับแย้มสรวลให้กับพระนัดดาหลังจากเสวยพระกระยาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ใช่ วันนี้หลานปู่น่ารักมากกว่าทุกวันเลย ทำด้วยตัวเองทุกอย่าง เก่งจริงๆ” องค์อัลบาฮาอุ้มพระนัดดาขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนแล้วหอมที่แก้มเบาๆ อย่างรักใคร่
“เป็นทั้งเก่ง ทั้งน่ารักแบบนี้ สงสัยอาจะต้องมีรางวัลให้ซะแล้วนะเนี่ย” เจ้าชายอัลฟาฮายกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระเกศาของเจ้าหญิงอย่างเอ็นดู เจ้าหญิงจัสมินถึงกับแย้มพระสรวลกว้างอย่างดีพระทัยที่ได้รับคำชมมากมายแถมยังได้ของรางวัลจากผู้เป็นอาอีกด้วย
“มีนนี่เก่งเหมือนกันนะ เข้าใจหลอกล่อ ดูสิเจ้าหญิงยิ้มหน้าบานเชียว” ศิริรัตน์อมยิ้มแล้วหันไปกระซิบกับน้องสาวเบาๆ ในขณะที่เดินออกมาจากห้องอาหาร
“เจ้าหญิงยังเด็กอยู่ ดัดไม่ยากหรอกค่ะ” มีนาเองก็พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน เธอคิดว่าเจ้าหญิงพระองค์นี้ไม่ใช่เด็กหัวแข็งอะไร เพียงแต่ไม่มีคนคอยชี้นำทางเท่านั้น มีเพียงบิดาที่ทั้งเจ้าอารมณ์ ทั้งป่าเถื่อนเป็นตัวอย่าง ก็เลยกลายเป็นเด็กก้าวร้าวไป
“ไปนั่งเล่นที่ห้องพี่ไหม?” ศิริรัตน์เอ่ยถามน้องสาวเมื่อเดินมาหยุดยืนที่นอกห้องอาหารแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะเธออยากจะไปเดินเล่นรับลมที่สวนหน้าพระตำหนักมากว่า อีกอย่างหนึ่งก็คือเธอไม่อยากขัดความสำราญขององค์อัลบาฮาที่จะได้อยู่กับพี่สาวของเธอด้วย
“ไม่อยากไปเป็น กอ ขอ คอ” มีนากระซิบเบาๆ พร้อมกับยิ้มให้พี่สาวอย่างล้อเลียน ก่อนจะเดินแยกตัวออกไปอย่างเงียบๆ เจ้าหญิงจัสมินหันมาเห็นหญิงไทยเข้าพอดี จึงให้พระอัยการีบวางตนเองลงกับพื้น
“นั่นเจ้าจะไปไหน? หยุดนะ!...รอข้าด้วย” ร่างเล็กวิ่งตามมีนาไปพร้อมกับตะโกนเสียงแข็ง สาวไทยหันมาหยุดยิ้มให้นิดหนึ่งก่อนจะเดินต่อไป การที่เจ้าหญิงจัสมินวิ่งตามมีนาไปนั้นสร้างความแปลกใจให้กับองค์สุลต่านและเจ้าชายเป็นอย่างมาก
“เป็นไปได้ยังไงกันเนี่ย น้องของเจ้าทำอะไรให้หลานข้าติดใจจนถึงขนาดวิ่งตามไปแบบนี้ได้ ปรกติจัสมินไม่เคยตามใครแบบนี้เลย” องค์อัลบาฮาหันมารับสั่งถามชายาสาวพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างงุนงง
“ไม่มีอะไรหรอกมากเพคะ มีนาเขาเก่งเรื่องเลี้ยงเด็กเพคะ” ศิริรัตน์ตอบยิ้มๆ ก่อนจะเหลือบสายตามองไปที่เจ้าชายการีฟ แล้วเธอก็ต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นสีพระพักตร์บึ้งตึงกับแววเนตรที่ดุดันมองตามหลังน้องสาวของเธอไป
“ดีจริง อย่างนี้น่าให้อยู่ที่นี่ตลอดไปเสียแล้ว หลานข้าจะได้มีคนดูแล” คำรับสั่งที่ออกจะกำกวมขององค์กษัตริย์แห่งมาราคัตทำให้ศิริรัตน์และเจ้าชายทั้ง 4 พระองค์หันไปมองพระพักตร์ขององค์สุลต่านอัลบาฮาพร้อมกันด้วยความไม่เข้าใจในพระดำรัสนั้น
“ท่านพ่อจะรับนางเป็นสนมอย่างนั้นเหรอ” เจ้าชายจอร์แดนตรัสถามอย่างคาดเดา
“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้ากับอิสยาสต่างหากล่ะ” องค์สุลต่านทอดพระเนตรไปทางโอรสองค์ที่สามกับโอรสองค์เล็กพร้อมกับแย้มพระสรวล
“ท่านพ่อทรงหมายความว่าอย่างไร? ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดี” พระขนงของเจ้าชายจอร์แดนขมวดมุ่นเพราะยังไม่กระจ่างในคำรับสั่งของพระบิดา
“ถ้าพวกเจ้าสนใจนาง ข้าจะได้ขอนางให้กับเจ้า คนใดคนหนึ่ง ข้าว่านางมีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกับมารดาของพวกเจ้านะ” พระเนตรสีน้ำตาลเข้มทอดพระเนตรไปที่พระโอรสทั้งสองอย่างจริงจัง
“สนใจพระเจ้าค่ะ แต่ก็ต้องแล้วแต่นางด้วยว่านางชอบข้าหรือเปล่า” เจ้าชายอิสยาสรับสั่งด้วยพระสุรเสียงที่ราบเรียบอย่างไม่ใส่พระทัยนัก ก่อนจะเสด็จกลับห้องบรรทมไป
เจ้าชายการีฟทอดพระเนตรตามร่างสูงของพระอนุชาไปพร้อมกับความรู้สึกที่หงุดหงิดในพระทัย ซึ่งพระองค์เองก็ไม่เข้าพระทัยว่าทำไมต้องไม่สบอารมณ์กับคำพูดของน้องชายด้วย จากนั้นก็เสด็จกลับห้องบรรทมโดยไม่ได้รับสั่งใดๆ
“หมู่นี้ลูกข้าเป็นอะไรกันไปหมด ดูซึมๆ ขรึมๆ กันพิกล” องค์สุลต่านหันไปมองหน้าพระชายาสาวพร้อมกับขมวดพระขนงมุ่นอย่างสงสัย ซึ่งศิริรัตน์ก็ส่ายหน้าอย่างไม่รู้เรื่อง
“แต่ข้าพอจะรู้นะท่านพ่อ” เจ้าชายอัลฟาฮาแย้มมุมพระโอษฐ์ขึ้นน้อยๆ ส่งให้บิดาอย่างมีความนัย จากนั้นทั้งหมดก็พากันไปสนทนาต่อในห้องนั่งเล่นอย่างเป็นการส่วนพระองค์
ในที่สุดก็ถึงวันงานเลี้ยงฉลองการอภิเษกสมรสของกษัตริย์อัลฟาฮากับศิริรัตน์ ทั่วทั้งพระราชวังถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าแพรสีสวยงามกับดอกไม้สดหลากสี มีนารู้สึกทั้งเบื่อทั้งเซ็งจึงเดินลงมาช่วยเหล่านางกำนัลจัดดอกไม้ เพราะ 4-5 วันมานี่ เธอขลุกอยู่แต่ในห้องพักของตนเองหรือไม่ก็ที่ห้องของพี่สาว สาเหตุก็เพราะว่าเธอไม่อยากเจอะเจอกับเจ้าชายการีฟนั่นเอง แล้วในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้เจ้าหญิงจัสมินก็แทบจะไม่ห่างจากมีนาเลย แววเนตรที่เคยมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูก็เปลี่ยนเป็นมิตรมากขึ้น กิริยาท่าทาง การพูดการจาก็ดูเรียบร้อยและไพเราะขึ้น
มีนาสอนให้เจ้าหญิงจัสมินหัดอ่านภาษาไทย จัดดอกไม้ และร้อยมาลัยด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็สนใจตั้งอกตั้งใจเรียนเป็นอย่างดี วันนี้ก็เช่นกัน เจ้าหญิงน้อยถือถาดดอกไม้กับเข็มร้อยมาลัยมาประทับนั่งลงข้างๆ กับที่สาวไทยนั่งจัดดอกไม้ใส่แจกันอยู่ หญิงสาวหันมาคลี่ยิ้มกว้างให้แล้วเสไปมองมาลัยที่ร้อยคาอยู่ในเข็ม ก่อนจะอมยิ้มออกมาอย่างขำๆ และหันมา
“ตรงนี้ต้องแซมด้วยกลีบกุหลาบนะเพคะ” หญิงสาวชี้ให้อีกฝ่ายดู ซึ่งเจ้าหญิงจัสมินก็ยิ้มอย่างแหยๆ มีนาจึงหยิบกลีบกุหลาบพับเป็นจีบแล้วส่งให้เจ้าหญิงองค์น้อย สาวไทยรอดูจนแน่ใจว่าเด็กหญิงทำถูกต้องแล้วจึงได้หันกลับจัดแจกันดอกไม้ต่อ
แต่แล้วครู่ต่อมาจู่ๆ เจ้าหญิงจัสมินก็รับสั่งขึ้นพร้อมกับทอดพระเนตรมองหน้ามีนาด้วยสายพระเนตรที่หม่นเศร้า คิ้วเรียวของสาวไทยจึงขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“เป็นอะไรไปเพคะ หรือว่าเมื่อยแล้ว”
“พี่มีนอยู่ที่นี่กับหญิงไม่ได้หรือคะ?” เจ้าหญิงจัสมินส่ายพระพักตร์อย่างช้าๆ ก่อนจะรับสั่งด้วยพระสุรเสียงที่เศร้าสร้อย มีนารับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่อ้างว้างและเหงาเศร้าในพระสุรเสียงนั้น
“ไม่ได้หรอกเพคะ หม่อมฉันต้องกลับบ้าน และที่สำคัญเสด็จพ่อขององค์หญิงก็ไม่ชอบหม่อมฉันด้วย ขืนหม่อมฉันอยู่ต่อละก็เสด็จพ่อขององค์หญิงฆ่าหม่อมฉันแน่ๆ” หญิงสาวบอกติดตลกเพื่อให้อีกฝ่ายให้ซึมเศร้า
“แล้วพี่มีนจะกลับมาที่นี่อีกหรือเปล่า?” องค์หญิงจ้องหน้ามีนาอย่างคาดหวัง แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ทำให้สีพระพักตร์ของพระธิดาตัวน้อยเศร้าสลดลงทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว โดยมีเหล่าพระพี่เลี้ยงวิ่งตามไปติดๆ
มีนามองตามร่างเล็กที่วิ่งหนีไปด้วยความงอนอย่างสงสารและเห็นใจ แต่เธอก็ไม่ต้องการที่จะโกหกเด็ก เพราะเธอจะไม่กลับมาที่นี่อีกแน่ๆ หญิงสาวถอนใจออกมายาวๆ แล้วหันไปจัดดอกไม้ต่อ แต่แล้วเสียงแหลมเล็กที่ดังขึ้นทางด้านหลังก็ทำให้มือเรียวชะงักไปอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียง
“มาอยู่ที่นี่นี่เอง นึกว่าไปเที่ยวข้างนอกเสียอีก ที่แท้ก็มาขลุกอยู่กับพวกขี้ข้านี่เอง” วรรณวลีกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างเยาะๆ พร้อมกับเดินเชิดหน้าราวกับนางพญาเข้าไปหยุดยืนใกล้ๆ กับมีนา
“ฉันไม่อยากทำตัวเป็นคนไร้ค่าไปวันๆ เหมือนกับคนบางคน” มีนาย้อนเสียงเข้ม และหันกลับไปที่เดิม วรรณวลีกัดฟันกรอด มือทั้งสองข้างกำแน่น ก่อนจะกระชากไหล่บางให้อีกฝ่ายหันมาหาตนเองแล้วแผดเสียงตวาดใส่มีนาอย่างโมโห
“นี่แกหลอกด่าฉันหรือนังมีน!”
“เปล่า ฉันพูดลอยๆ ไม่ได้ว่าใคร หรือว่าเธอได้ยินฉันพูดชื่อของเธอ” มีนาเลิกคิ้วสูงพร้อมกับไว้ไหล่นิดหนึ่ง “แก!...” วรรณวลีเนื้อตัวสั่นเทาราวกับเจ้าเข้าด้วยความโกรธแค้น แต่ก่อนที่หญิงสาวจะทำอะไรอีกฝ่าย
เสียงนางกำนัลคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“คุณมีนาคะ พระชายารับสั่งให้หาค่ะ” นางกำนัลเอ่ยขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ มีนาพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินเฉียดวรรณวลีไปราวกับอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตน ยิ่งทำให้ญาติสาวผู้พี่เจ็บแค้นใจมากขึ้น
“ฝากไว้ก่อนเถอะนังมีน!” วรรณวลีตวัดสายตามองตามร่างบางของมีนาไปพร้อมกับเน้นเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธแค้น ก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากบริเวณนั้น