มนต์รักข้ามขอบฟ้า

137.0K · จบแล้ว
กานจ์แก้ว
40
บท
20.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“ปล่อยนะเพคะ! จะทรงทำอะไรเพคะ!” มีนาถามด้วยสีหน้าและแววตาที่ตื่นตระหนก แต่อีกฝ่ายกลับเน้นสุรเสียงลอดไรพระทนต์ แววเนตรลุกวาวโรจน์ราวกับมีเปลวไฟอยู่ในนั้น ทำให้หญิงสาวขนลุกซู่ด้วยความกลัว “ข้าเตือนเจ้าแล้ว! เจ้าทำตัวของเจ้าเองนะมีน!” พระหัตถ์ใหญ่จับมือเรียวทั้งสองข้างไปตรึงไว้เหนือของหญิงสาว ส่วนพระหัตถ์อีกข้างก็ดึงทึ่งเสื้อผ้าเนื้อบางออกจากร่างบางและเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ใส่พระทัย “หยุดนะเพคะ! อย่าทำหม่อมฉันเลยเพคะ!” มีนาร้องตะโกนบอกทั้งน้ำตาเมื่อรู้ว่าสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่คำขอร้องของเธอกลับไม่มีผลใดๆ กับราชนิกุลหนุ่มเลยสักนิด “มันสายไปแล้วมีน!” มุมโอษฐ์รูปกระจับยกขึ้นอย่างเหี้ยมๆ พร้อมกันนั้นพระหัตถ์หนาที่ร้อนผ่าวก็รีบปลดอาภรณ์บนวรกายแกร่งของพระองค์ออกอย่างรวดเร็ว สีพระพักตร์แดงก่ำด้วยแรงโทสะระคนด้วยแรงปรารถนาที่มีต่อร่างบางที่นอนบิดเร้าไปมาอยู่ภายใต้ร่างใหญ่ ริมโอษฐ์หนาได้รูปกดทับลงมาบนเรียวปากนุ่มอย่างว่องไวแล้วดูดกลืนเสียงสะอื้นจากหญิงสาวไปจนหมดสิ้น รสสัมผัสเต็มไปด้วยการปลุกเร้าและเรียกร้อง ภายในหัวของมีนาที่ตอนแรกบอกให้รีบผลักไสร่างหนาใหญ่ออกห่างนั้นกลับรู้สึกมึนงงราวกับว่าตัวเธอกำลังหมุนเคว้งอยู่กลางอากาศ ดวงตากลมโตหลับพริ้มลงพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาทางหางตา ร่างที่ดิ้นหนีกลับแอ่นรับกับสัมผัสจากพระหัตถ์หนาที่ร้อนผ่าวของชีคหนุ่มอย่างลืมตัว ความวาบหวามแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างราวกับมีกระแสไฟวิ่งผ่าน

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักประธานแก้แค้นรักแรกพบเศรษฐีโรแมนติก

ตอนที่ 1 งานแต่งพี่สาว

ณ ห้องจัดเลี้ยง โรงแรมหรูใจกลางเมืองอยุธยา คู่บ่าวสาวยืนต้อนรับแขกผู้มีเกียรติอยู่ที่ด้านหน้าประตูทางเข้าห้องจัดเลี้ยง เจ้าบ่าวเป็นหนุ่มชาวเยอรมัน สูงโปร่งผิวขาวหยาบ จมูกโด่งเป็นสัน ส่วนเจ้าสาวเป็นหญิงไทยรูปร่างท้วมผิวคล้ำ อยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวเกาะอก

“ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ คุณจอห์น คุณเอ๋” ภริยาท่านผู้ว่ากล่าวอวยพรให้คู่บ่าวสาวพร้อมกับยิ้มให้ทั้งคู่ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน

“จอห์น เอ๋ เข้าข้างในเถอะลูก ใกล้ได้เวลาขึ้นกล่าวขอบคุณแขกบนเวทีแล้ว” คุณช่อผกาเดินเข้ามากระซิบกับคู่บ่าวสาวเบาๆ เมื่อใกล้ถึงเวลาที่คู่บ่าวสาวจะได้กล่าวขอบคุณแขกเหรื่อที่มาในงาน ซึ่งศิริรัตน์ก็หันมาพยักหน้ารับแล้วจูงมือแฟนหนุ่มกลับเข้าไปในงาน แต่หญิงสาวก็ต้องชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดินเมื่อได้ยินเสียงใสๆ คุ้นหูดังมาจากทางประตู

“ไม่รับแขกแล้วเหรอคะ”

“ยัยมีน!” ศิริรัตน์หันกลับมาดูก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างและเรียกชื่อญาติสาวด้วยความดีใจ เพราะเธอคิดว่าอีกฝ่ายนั้นคงไม่มาแล้ว

“สุขสันต์วันวิวาห์ค่ะ ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ พี่เอ๋ คุณจอห์น” ร่างบางในชุดแซคยาวแค่เข่าสีชมพูอ่อนของมีนาหรือมีนเดินคลี่ยิ้มกว้างเข้าไปหาคู่บ่าวสาว

“พี่คิดว่ามีนจะไม่มาซะแล้ว” ศิริรัตน์โผเข้ากอดลูกพี่ลูกน้องสาวแน่นอย่างดีใจ จนอีกฝ่ายต้องเอ่ยแซวเล่นๆ ออกมา

“กอดแน่นจนมีนหายใจไม่ออกแล้วนะคะเนี่ย”

“ก็พี่ดีใจนี่” ศิริรัตน์คลายอ้อมแขนออกพร้อมกับผละห่างออกมาเล็กน้อย มีนาหัวเราะในลำคอก่อนจะยื่นกล่องของขวัญให้พี่สาว แล้วหันไปยกมือไหว้คุณช่อผกาซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าของเธอ แต่อีกฝ่ายก็ตวัดสายตาค้อนให้พร้อมกับพูดเหน็บแนม

“เพิ่งมาหรือยะ คิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญหรือไงถึงได้มาเอาตอนที่งานเขาจะเลิกกันแล้วน่ะ” ช่อผกาเกลียดหลานสาวคนนี้มาก สาเหตุก็เนื่องมาจากแม่ของมีนาซึ่งก็คือน้องสาวของเธอได้แย่งคนรักของเธอไป นั่นก็คือพ่อของมีนานั่นเอง เธอจึงจงเกลียดจงชังมีนามาก แต่ศิริรัตน์ลูกสาวของเธอกลับรักมีนาราวกับน้องสาวที่คลานตามกันมา ส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาตรี ทำให้เธอขุ่นเคืองใจเป็นอย่างมาก

“แม่!” ศิริรัตน์หันมามองหน้ามารดาด้วยสายตาปรามๆ ช่อผกาจึงหันมาตวัดค้อนให้บุตรสาวอย่างขัดใจก่อนจะเดินสะบัดสะโพกเข้าไปด้านในงาน

“มีนอย่าไปถือสาแม่พี่เลยนะ ปากแกก็อย่างนี้แหละ” ศิริรัตน์ดึงมือเรียวของญาติสาวมากุมเอาไว้

“ค่ะ มีนไม่ถือหรอกค่ะ” มีนาคลี่ยิ้มหวานให้พี่สาว เธอรู้ดีว่าผู้เป็นป้าไม่ชอบหน้าเธอมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เจอ

หน้ากันก็มักจะพูดเสียดสีเหน็บแนมอยู่ตลอดเวลา จะมีก็แต่ศิริรัตน์นี่แหละที่ดีกับเธอเสมอมา ทั้งยังส่งเสียเธอให้ได้เรียนต่ออีก หลังจากบิดากับมารดาของเธอเสียชีวิตไปเมื่อ 4 ปีก่อน

“เข้าไปข้างในกันเถอะ เดี๋ยวพี่ต้องขึ้นเวทีแล้ว” ศิริรัตน์เดินจูงมือน้องสาวเข้ามาในงาน

“มีนยืนอยู่ทางด้านหลังนี่ดีกว่า ไม่อยากให้คุณป้าเขม้นน่ะ” มีนาบอกปฏิเสธพร้อมกับบอกเหตุผล ซึ่งศิริรัตน์ก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แล้วหันไปคล้องแขนเจ้าบ่าวและพากันเดินไปทางด้านหน้าเวที

มีนามองดูคู่บ่าวสาวบนเวทีอย่างชื่นชมและดีใจที่ญาติสาวที่เธอรักดั่งพี่สาวแท้ๆ ได้พบคนที่รักจริงเสียที หลังจากต้องผิดหวังกับความรักมานับครั้งไม่ถ้วนกับผู้ชายหลอกลวง ที่หวังเพียงแต่เงินทองของเธอ ศิริรัตน์เป็นลูกสาวคนเดียวของคุณนายช่อผกากับคุณเอกทัศน์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งถือว่ามีฐานะร่ำรวยมากทีเดียวในจังหวัดนี้

หญิงสาวอมยิ้มอย่างปลื้มใจก่อนจะมองหาที่นั่ง แล้วพลันสายตาก็หันไปเห็นชายกลุ่มหนึ่งซึ่งแต่งตัวคล้ายพวกชาวอาหรับเดินเข้ามาหยุดยืนมองตรงไปยังเวทีนิ่ง สีหน้าและแววตาของแต่ละคนดูดุดันจนน่าขนลุก โดยเฉพาะคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด

‘สงสัยเป็นแขกวีไอพีแน่เลยหรือไม่ก็เป็นเพื่อนนักธุรกิจของพี่จอห์น ดูวางท่าจนน่าหมั่นไส้จริงๆ แต่ก็อย่างว่าแหละพวกคนรวยทำอะไรก็ได้’ สาวไทยนึกค่อนขอดในใจก่อนจะเดินไปทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างผนังห้องอย่างไม่สนใจ

และเมื่อพิธีการบนเวทีเสร็จสิ้นลงคู่บ่าวสาวก็เดินมาทักทายแขกเหรื่อตามโต๊ะพร้อมกับแจกของชำร่วย มีนาเห็นว่าที่พี่เขยของเธอเดินเข้าไปคุยกับกลุ่มคนชาวอาหรับพวกนั้นด้วยสีหน้าและท่าทางที่เคร่งเครียดระคนเกรงกลัว จากนั้นพวกเขาก็พากันเดินออกไปด้านนอกห้อง มีนาจึงเลิกสนใจแล้วเดินเข้าไปหาลูกพี่ลูกน้องสาวเพื่อลากลับบ้าน

“จะรีบไปไหนล่ะ อยู่จนงานเลิกไม่ได้เหรอ” ศิริรัตน์ทำหน้าเสียดาย

“มีนต้องตื่นแต่เช้าน่ะค่ะ พรุ่งนี้มีนัดสัมภาษณ์งานต้องเตรียมตัวให้พร้อมค่ะ” มีนาส่งยิ้มให้พี่สาว

“งันก็ตามใจ แล้วพี่จะโทรไปหานะ” พูดจบเธอก็เดินเข้าไปสวมกอดน้องสาวอีกครั้ง ก่อนจะผละออกมาแล้วคลี่ยิ้มกว้างให้

มีนาเดินผ่านประตูออกมาก็เห็นพวกแขกอาหรับทั้งหมดยังนั่งคุยอยู่กับมิสเตอร์จอร์นและทีท่าพี่เขยของเธอออกจะกลัวพวกนั้นอยู่มาก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเธอ แล้วในขณะที่มีนากำลังจะเดินผ่านไปนั้น พี่เขยชาวต่างชาติของเธอหันมาเห็นเธอเข้าพอดี หญิงสาวจึงยกมือไหว้ตามมารยาทก่อนจะเดินลงบันไดไป โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองตามหลังของเธอไป

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีนารีบแต่งตัวออกจากบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อไปรอสัมภาษณ์งาน ซึ่งมันก็เหมือนกับทุกๆ วันที่ผ่านมา แต่ในวันนี้เธอมีความหวังอยู่มากว่าจะประสบความสำเร็จเพราะเป็นสายงานที่เธอจบมาโดยตรง

แต่ผลสุดท้ายก็ลงรอยเดิม......

“แล้วทางเราจะติดต่อกลับไปนะคะ” เสียงเลขาสาวกล่าวออกมาเมื่อการสัมภาษณ์จบลง มีนาลอบถอนใจเบาๆ ก่อนจะยกมือไหว้แล้วเดินออกมา

“เฮ้อ.. เห็นพูดแบบนี้มาไม่รู้กี่บริษัทแล้ว แต่ก็เงียบทุกราย นี่ขนาดเป็นงานด้านที่เราจบมานะเนี่ย” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองอย่างเซ็งๆ ในขณะที่เดินออกมาจากบริษัทแห่งนั้น

เมื่อกลับมาถึงบ้านมีนาก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวสีดำเก่าๆ อย่างหมดแรง ก่อนจะเอื้อมมือไปบีบนวดแข้งขาเพื่อคลายความปวดเมื่อย เธอเดินหางานแบบนี้มาเป็นเดือนแล้วตั้งแต่จบ เดินออกบริษัทโน้น เข้าบริษัทนี้จนขาจะพันกันอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้งานซักที่หนึ่งเลย

“ทำไมงานมันหายากขนาดนี้นะ...เฮ้อ” บ่นเสร็จเธอก็เอนตัวลงนอนบนโซฟาด้วยความอ่อนเพลียก่อนจะเผลอหลับไป จนมาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น มีนาควานมือหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดู แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดเข้าหากัน

“ไม่โชว์เบอร์ด้วย หรือว่า...จะโทรมาเรียกให้เราไปทำงาน” เมื่อคิดได้มีนาจึงกดปุ่มรับสายอย่างลุ้นๆ แต่แล้วเสียงที่ได้ยินนั้นก็ทำให้เธอดีใจมากกว่าการได้งานทำเสียอีก

“พี่เอ๋!” หญิงสาวยิ้มแก้มแทบปริด้วยความดีใจ เพราะหลังจากศิริรัตน์แต่งงานและย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ก็เกือบจะครึ่งเดือนเห็นจะได้ที่ญาติสาวไม่ได้ติดต่อกลับมาหาเธอเลย

“ยัยมีน...สบายดีหรือเปล่า” คนต้นสายถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“สบายดีค่ะ แล้วพี่เอ๋เป็นอย่างไรบ้างคะ พี่จอห์นเขาเอาใจพี่ดีไหมคะ” มีนาอมยิ้มเมื่อนึกถึงภาพของทั้งคู่ในงานแต่งครั้งนั้น

“อย่าพูดถึงไอ้คนสารเลวนั้นอีกนะ!” น้ำเสียงของคนต้นสายดังและแข็งกระด้างขึ้นทันที จนคนปลายสายนิ่งอึ้งด้วยความงุนงง ก่อนจะถามกลับ

“มันเกิดอะไรขึ้นคะพี่เอ๋”

“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น เอาไว้เราเจอกันแล้วค่อยคุยกันดีกว่า” แม้ว่าน้ำเสียงของศิริรัตน์จะเบาลงกว่าเมื่อกี้ แต่ก็ยังแข็งๆ อยู่

“พี่เอ๋ จะมาเมืองไทยหรือคะ? มาเมื่อไรคะ?” มีนาถามอย่างตื่นเต้น

“เปล่า แต่เธอจะเป็นคนมาหาพี่ แล้วพี่จะให้คนไปรับ ไม่ต้องกลัวเขานะ เขาเป็นคนของพี่ มีนก็มากับเขาก็แล้วกัน แต่คงจะมาพร้อมกับคนอื่นๆ ด้วย”

“อะไรกันคะพี่เอ๋ มีนงงไปหมดแล้ว” คิ้วเรียวขมวดจนแทบจะผูกเข้าหากัน เธอไม่เข้าใจที่พี่สาวพูดเลยสักอย่างเดียว

“ไม่ต้องงง แล้วเจอกันนะน้องรัก บายจ๊ะ” ศิริรัตน์รีบพูดตัดบทก่อนจะวางสายลง ทิ้งให้คนปลายสายนั่งมึนงงอยู่บนโซฟา

อีกสองวันต่อมาเมื่อมีนากลับมาจากการสัมภาษณ์งานก็เจอกับหนุ่มอาหรับในชุดสูทสากลสีดำ 3 คน พร้อมกับรถเบนซ์คันงามจอดอยู่ที่หน้าบ้านของเธอ

“คุณมีนาใช่ไหมครับ” หนุ่มอาหรับ 1 ใน 3 คน เอ่ยขึ้นเป็นภาษาไทย แต่ก็ฟังดูแปลกๆ พิกล

“ใช่ค่ะ มีอะไรกับดิฉันหรือคะ” สาวไทยนิ่วหน้าอย่างสงสัยว่าชายแปลกหน้าพวกนี้รู้จักเธอได้ยังไง เธอเองก็ไม่เคยมีเพื่อนเป็นชาวอาหรับ

“ก่อนอื่นพวกผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่ออาเหม็ด ส่วนสองคนนั้นชื่อราชิดกับฮัสซันครับ” หนุ่มคนแรกแนะนำตัวเองก่อนจะหันไปแนะนำเพื่อนที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง แล้วหันกลับมาเอ่ยกับทางสาวไทยอีกครั้ง

“พระชายาให้มารับคุณมีนาครับ” คำบอกกล่าวของหนุ่มอาหรับยิ่งทำให้มีนางุนงงมากขึ้นไปอีก

“พระชายา...ใครกันคะ? ฉันไม่รู้จักหรอกค่ะ พวกคุณคงมาผิดบ้านแล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีนักจึงรีบพูดตัดบทแล้วทำท่าจะเดินเข้าบ้าน แต่อีกฝ่ายก็มายืนขวางเอาไว้ทำให้ร่างบางถอยหลังกรูดอย่างอัตโนมัติ

“ไม่ผิดหรอกครับ พระชายา...เอ่อ...คุณศิริรัตน์น่ะครับ ให้พวกเรามารับคุณมีนาครับ” อาเหม็ดรีบชี้แจงเพิ่มเติมทันทีเมื่อเห็นสีหน้าหวาดระแวงของสาวไทย

“แล้วฉันจะเชื่อพวกคุณได้ยังไง” มีนาไม่เชื่อคำพูดของหนุ่มต่างชาติเพราะเดี๋ยวนี้พิษภัยสังคมมันมีมากจนต้องระวังตัวให้มากเป็นสองเท่า

เมื่อเห็นว่าสาวไทยไม่เชื่อคำพูดของตน อาเหม็ดจึงกดโทรศัพท์มือถือของตนเองแล้วกดโทรออกก่อนจะยื่นให้หญิงสาวตรงหน้า มีนารับมาแนบหูอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“สวัสดีค่ะ”

“ว่าไงน้องสาวคนสวย ก็อย่างที่พี่บอกเราเอาไว้นั่นแหละว่าจะส่งคนไปรับไงไม่มีอะไรหรอก มากับพวกเขาเถอะพี่รับรองได้ว่าปลอดภัย” ศิริรัตน์บอกเสียงใสมาตามสาย แต่มีนาก็ยังไม่คลายกังวลแม้จะจำได้ว่านั่นคือเสียงของพี่สาวจริงๆ

“แล้ว เอ่อ....” มีนาพูดไม่ทันจบเสียงปลายสายก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่ต้องเอ่อแล้ว และก็ไม่ต้องเตรียมอะไรมาด้วยทั้งนั้น มาแต่ตัว เข้าใจนะ แค่นี้นะ”

“เดี๋ยวซิคะ เดี๋ยว!” มีนาร้องเรียก แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะศิริรัตน์วางสายไปแล้ว สาวไทยหันไปมองทางหนุ่มอาหรับทั้ง 3 คน อีกครั้งก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้เขา จากนั้นหนุ่มอาหรับคนแรกก็เดินไปเปิดประตูรถทางด้านหลังให้กับหญิงสาว

“เชิญครับคุณผู้หญิง” แขกหนุ่มผายมือเชื้อเชิญอย่างสุภาพ

“เอ่อ...จะให้ฉันไปทั้งชุดนี้เลยหรือคะ ขอฉันไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ” มีนาเอ่ยอย่างเกรงๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้า

ตอบรับ หญิงสาวจึงรีบเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดกระโปรงเป็นเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงยีน จากนั้นก็เดินตรวจสอบความเรียบร้อยภายในบ้านก่อนจะล็อกประตูบ้าน แล้วเดินเข้าไปนั่งในรถที่หนุ่มอาหรับเปิดรอเอาไว้

รถเบนซ์สีดำมันวาวเคลื่อนตัวออกมาจากซอยบ้านของมีนา แล้วแล่นไปตามเส้นทางก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในซอยบ้านจัดสรรซึ่งมีนาจำได้ว่ามันเป็นเส้นทางไปบ้านของผู้เป็นป้านั่นเอง ครู่ต่อมารถยนต์ก็เคลื่อนเข้าไปจอดที่หน้าคฤหาสน์สีขาวงาช้างซึ่งมีคุณช่อผกา คุณอรวัน และวรรณวลี ยืนรออยู่ที่หน้าบ้านด้วยสีหน้าที่งอง้ำและบึ้งตึง หญิงสาวลอบถอนใจออกมาอย่างหนักใจที่จะต้องร่วมเดินทางไปกับบุคคลที่เกลียดชังในตัวเธอ

“มาช้าจังเลยนะ!” ทันทีที่หนุ่มอาหรับก้าวลงไปเชิญ คุณช่อผกาก็แหวใส่อย่างโมโหตามประสาคนที่ไม่ได้ดั่งใจ แต่พอทั้งสามคนเห็นมีนานั่งอยู่ในรถก็ถึงกับตาขุ่น คุณช่อผกาหันมามองหน้าหนุ่มอาหรับอย่างไม่พอใจ

“แม่นี่มาได้ยังไง?”

“พระชายารับสั่งให้เชิญคุณมีนาด้วยครับ” อาเหม็ดโค้งนิดหนึ่งก่อนตอบ หญิงสูงวัยจึงตวัดสายตามามองทางมีนาอีกครั้งพร้อมกับพูดเหน็บ

“ยัยเอ๋ ...เอ๊ย... พระชายาชวนแกมาด้วยหรือนี่ ถ้ารู้แบบนี้ฉันขึ้นเครื่องไปเองดีกว่า ฉันไม่อยากร่วมเดินทางกับพวกชั้นต่ำ!”

“ไม่ได้นะคะคุณพี่ คุณพี่เป็นถึงมารดาของพระชายาเชียวนะคะ จะให้นั่งเครื่องไปแบบนั้นมันไม่เหมาะสมค่ะ คนที่สมควรจะไปควรจะเป็นคนอื่นมากกว่า” อรวันจีบปากจีบคอพูดเน้นเสียงพร้อมกับปรายตาไปทางมีนาอย่างดูหมิ่นดูแคลน

“ใช่ค่ะคุณป้า อย่าไปสนใจพวกเม็ดดินเม็ดทรายเลยค่ะ” วรรณวลีพูดเสริมทับเข้ามาอีกคนพร้อมกับเหยียดมุมปากออกอย่างเยาะ แล้วหันมากล่าวทักทายญาติสาว