ตอนที่ 2 เมืองทะเลทราย
มีนายังคงนั่งฟังอย่างสงบและไม่ใส่ใจกับคำพูดของคนทั้ง 3 เพราะไม่อยากจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแวงด้วย ถึงยังไงคุณช่อผกากับคุณอรวันก็มีฐานะเป็นป้า ส่วนวรรณวลีก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเธอ แถมยังเป็นคู่แข่งกันมาโดยตลอดซึ่งเธอก็มักจะได้ดีกว่าวรรณวลีทุกอย่าง
อรวันตวัดสายตาอย่างหมั่นไส้ใส่หลานสาวที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ในรถ ก่อนจะหันมากระซิบกระซาบกับพี่สาวคนโต
“ฝืนใจขึ้นไปเถอะค่ะคุณพี่ ถ้าเราไม่ไปเดี๋ยวมันจะหาว่าเรากลัวมันนะคะ”
“ฉันไม่เคยกลัวคนอย่างมัน!” ช่อผกาหันมาเน้นเสียงเข้าใส่น้องสาวอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถแล้วแกล้งเบียดมีนาจนนั่งตัวลีบชิดกับประตูรถ และเมื่อทุกคนขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้วสารถีก็เคลื่อนรถออกไปจากคฤหาสน์หลังใหญ่ทันที
รถเบนซ์คันงามแล่นเข้ามาจอดที่สนามบินส่วนตัวของเหล่าเศรษฐีเมืองไทย มีนาสังเกตเห็นเครื่องบินลำหนึ่งจอดอยู่และมีตัวหนังสือภาษาอาหรับเขียนเอาไว้ว่า “มาราคัต” ถึงมีนาจะเรียนภาษาศาสตร์แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ไปเสียหมดทุกภาษา แต่ที่หญิงสาวอ่านภาษาอาหรับได้ ก็เพราะความสนใจและชื่นชอบในภาษาอาหรับนั่นเอง เธอจึงศึกษาและเรียนรู้ด้วยตนเอง ถึงจะยังไม่เก่งแต่ก็พอพูดได้เล็กๆ น้อยๆ และฟังรู้เรื่องอยู่บ้าง
มีนารู้สึกแปลกใจและงุนงงสงสัยเป็นอย่างมากเมื่อรถยนต์แล่นมาจอดเทียบอยู่ข้างๆ กับเครื่องบินลำนั้น แล้วหนุ่มอาหรับทั้ง 3 คน ก็ก้าวลงมาเปิดประตูรถให้ ก่อนจะเดินนำขึ้นไปบนเครื่อง นี้มันอะไรกัน? มีนางงเป็นไก่ตาแตกไปหมดแล้ว แต่เธอก็ถามใครไม่ได้ เพราะถ้าถามก็แสดงว่าเธอเปิดโอกาสให้ผู้เป็นป้าพูดดูถูกดูแคลนเธออีก เอาไว้ถามพี่สาวของเธอทีเดียวเลยแล้วกัน
ภายในตัวเครื่องบินมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน มีนาเลือกนั่งที่นั่งด้านหลังสุด เพราะไม่อยากไปรบกวนความสนุกสนานและรื่นรมย์ของ 3 สาวต่างวัย จากนั้นไม่นานเครื่องก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มีนารู้สึกตื่นเต้นอยู่มากเพราะนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบินบินไปต่างประเทศ
หญิงสาวเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้แล้วเหม่อมองออกไปทางช่องหน้าต่างเล็กๆ ของเครื่องบินพลางคิดอะไรต่ออะไรไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย และมาตกใจตื่นอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่ามีคนมาสะกิดที่แขน และเมื่อเห็นว่าเป็นหนุ่มอาหรับ สาวไทยก็รีบพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งก่อนจะถามด้วยสีหน้าสงสัย
“มีอะไรหรือคะ?”
“เครื่องกำลังจะลงจอดแล้วครับ กรุณารัดเข็มขัดด้วยครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับพร้อมกับทำตาม อาเหม็ดจึงเดินกลับไปนั่งที่เดิมของตนเอง
มีนาไม่รู้เลยว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไรแล้ว แต่ที่รู้ๆ ก็คือเธอหลับเป็นตายจริงๆ สาวไทยลอบถอนใจแล้วมองลอดช่องหน้าต่างลงไปยังพื้นดินด้านล่าง เธอเห็นแต่ทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา และมีเกาะเล็กๆ สีเขียวประดับอยู่ประปราย ซึ่งมีนาคิดว่ามันคือโอเอซิสกลางทะเลทรายนั่นเอง
หลังจากนั้นไม่นานเครื่องบินก็ลงจอดบนสนามบินส่วนเล็กแห่งหนึ่ง แล้วทั้งหมดก็เดินลงมาจากเครื่องเพื่อไปขึ้นรถลีมูซีนคันโตสีดำสนิทที่จอดเทียบอยู่ตรงบันไดเครื่องบิน
“นี่ลูกหวิว...ไม่รู้ว่าจะเกิดอีกกี่ชาติเนาะถึงจะได้นั่งรถราคาหลายสิบล้านแบบนี้ เนี่ยถือเป็นบุญวาสนาของหนูเลยนะลูก” อรวันหันมาลอยหน้าพูดกับบุตรสาว แต่ก็ชายตามองไปทางมีนาอย่างเยาะเย้ย ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสีย เธอขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วย
“ดูสิคะคุณแม่มันทำท่าหยิ่ง ทำเป็นไม่ได้ยินเรา น่าหมั่นไส้จริงๆ หวิวอยากจะตบมันนักเชียว” วรรณวลีเน้นเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกมารดาเบาๆ ก่อนจะหันไปมองค้อนให้กับมีนา
“เอาไว้ให้โอกาสเหมาะๆ ก่อนเถอะลูก ลูกได้ตบมันแน่” อรวันหันไปค้อนให้หลานสาวก่อนจะหันมากระตุกยิ้มที่มุมปากกับลูกสาวของตนเอง
ครึ่งชั่วโมงต่อมารถลีมูซีนคันใหญ่ก็แล่นเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก่อนจะไปหยุดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ก่อด้วยอิฐแดงทั้งหลัง จากนั้นอาเหม็ดก็พาทั้งหมดเข้าไปในตัวคฤหาสน์เพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่เป็นเสื้อคลุมยาวทั้งตัวสีดำเพื่อป้องกันแสงแดด
“แต่งตัวอะไรนักหนาก็ไม่รู้ อึดอัดเป็นบ้าเลย ร้อนก็ร้อน” วรรณวลีบ่นอุบก่อนจะหันไปทำหน้างอง้ำใส่มารดา
“เขาให้แต่งก็แต่งไปเถอะอย่าบ่นนักเลยน่า แต่ถ้าอยากตัวดำเป็นกุ้งเผาจะถอดก็ตามใจนะยะ” ช่อผกาหันมาทำตาดุใส่อย่างรำคาญกับเสียงบ่นเหมือนหมีกินผึ้งของหลานสาว
“เชิญทางนี้ครับ” อาเหม็ดเดินนำทั้งหมดไปที่ท้ายคฤหาสน์ ซึ่งมีอูฐอยู่ประมาณ 20 ตัว และคนงานชายอาหรับอีกประมาณ 10 คน
“พวกเราจะต้องเดินทางด้วยอูฐไปที่วังกันครับ” ราชิดก้มศีรษะให้คุณช่อผกาอย่างให้เกียรติ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้โวยวายอะไร แต่คนที่โวยวายกับเป็นวรรณวลี
“อะไรนะ! นี่ต้องเดินตากแดดกันไปอีกหรือเนี่ย รู้งี้ไม่มาด้วยก็ดี เราก็นึกว่าจะสบายซะอีก” หญิงสาวเท้าเอวหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ
“ทำไมไม่ใช้รถหรือเครื่องบินมารับพวกเราล่ะ พี่สาวของฉันเป็นถึงมารดาของพระชายาเชียวนะ จะให้ขี่อูฐไปแบบเนี่ยเนี้ยนะ” อรวันหันไปมองหน้าอาเหม็ดอย่างไม่ชอบใจ
“เรื่องนั้นผมไม่ทราบหรอกครับ เพราะการเดินทางในครั้งนี้เป็นรับสั่งของพระชายาเองครับ” อาเหม็ดตอบเสียงเรียบก่อนจะหันมาค้อมศีรษะลงเล็กน้อยให้กับคุณช่อผกา
“เอาล่ะๆ เลิกบ่นกันได้แล้ว เขาให้ไปแบบไหนก็ไปเถอะ ฉันคิดถึงลูกสาวจะแย่อยู่แล้ว” ช่อผกาหันมาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่น้องสาวกับหลานสาวอย่างเบื่อๆ พร้อมกับพูดตัดบทแล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนหลังอูฐที่ราชิดจูงมาให้ อรวันกับวรรณวลีหันมามองหน้ากันอย่างหงุดหงิด ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนหลังอูฐที่อาเหม็ดและคนงานชายจูงมาให้ ส่วนมีนานั้นได้แต่ยืนส่ายหน้าอย่างระอาและมองดูอยู่ห่างๆ เพราะไม่อยากถูกดึงเข้าไปโดนย่ำด้วยฝีปากจากทั้ง 3 คน จากนั้นเธอก็ปีนขึ้นไปนั่งบนหลังอูฐที่ฮัสซันจูงมาให้
และเมื่อทุกอย่างพร้อมขบวนอูฐก็เคลื่อนตัวออกไปกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ ผ่านเนินทรายที่สลับซับซ้อนลูกแล้วลูกเล่า ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็มีแต่ทะเลทรายที่ทอดยาวไปจนสุดสายตา จนเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง
มีนาเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตนเองเมื่อมองเห็นโอเอซิสอยู่ไกลๆ เธอแน่ใจว่ามันไม่ใช่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน และก็เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ เมื่อราชิดหันมาตะโกนบอกทุกคน
“เดี๋ยวเราจะพักที่โอเอซิสนั้นครับ” หนุ่มอาหรับชี้มือไปทางโอเอซิสสีเขียวที่มีนาเห็นนั่นเอง
“เป็นไงบ้างครับคุณมีนา” ฮัสซันหันมาถามหญิงสาว
“สบายมากค่ะ” มีนายกแขนปาดเหงื่อที่หน้าผากของตนเองก่อนจะคลี่ยิ้มให้แขกหนุ่ม และการสนทนาของทั้งคู่ก็อยู่ในสายตาของวรรณวลีเข้าพอดี หญิงสาวเบ้ปากอย่างหมั่นไส้แล้วหันมาทางผู้เป็นป้า
“คุณป้าคะ ดูหลานสาวของคุณป้าสิคะ หัวเราะคิกคักกับผู้ชายใหญ่เชียว ไม่รู้จักสมบัติลูกผู้หญิงเสียบ้างเลยนะคะ” วรรณวลีบุ้ยปากให้คุณช่อผกาหันไปดูมีนาซึ่งกำลังคุยอยู่กับฮัสซัน
“ช่างมันเถอะ ป้าไม่สนใจมันอยู่แล้ว ว่าแต่เราเถอะทำตัวดีๆ ก็แล้วกัน เผื่อจะมีเจ้าชายหรือเศรษฐีมาสนใจบ้าง
ป้าว่างานแต่งพี่แกต้องใหญ่โตมาก คงมีคนมีชื่อเสียงมาด้วย เตรียมตัวให้ดีแล้วกัน” ช่อผกาหันไปมองค้อนให้หลานสาวคนเล็กก่อนจะหันมาสอนหลานสาวคนโต
“คุณพี่คะ เห็นคุณพี่บอกว่าท่านสุลต่านมีองค์รัชทายาทตั้งหลายพระองค์ แล้วยัยวิวของเราก็สวยออกขนาดนี้ ใครไม่สนใจก็โง่แล้วล่ะค่ะ บางทีน้องอาจจะได้ลูกเขยเป็นเจ้าชายองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้นะคะ” อรวันนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ เธอออกจะมั่นใจในตัวลูกสาวคนนี้มากเพราะวรรณวลีทั้งสวย ทั้งสง่า มีแต่คนมองไม่ว่าจะหนุ่มหรือแก่
“เป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ” ช่อผกาหันมายิ้มให้น้องสาวแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
ครู่ต่อมาขบวนก็มาหยุดพักที่โอเอซิสกลางทะเลทรายเพื่อพักทานอาหารและเติมน้ำดื่มประมาณหนึ่งชั่วโมง แล้วจึงออกเดินทางต่อ คุณช่อผกาหันมาถามมีนาเสียงเข้มในขณะที่อูฐของทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้กัน
“แกไม่รู้เรื่องของยัยเอ๋จริงๆหรือไง”
“จริงค่ะ” มีนาตอบเสียงเรียบ ครั้นจะทำนิ่งเงียบไม่ตอบก็จะไม่เป็นการสมควรเท่าไร
“เขาคงไม่อยากให้แกรู้มั้งก็เลยไม่บอก แกไม่ได้มีความสำคัญเหมือนอย่างฉันนี่ ฉันเป็นแม่ของเขา ส่วนแกมันก็แค่
กาฝากที่เกาะลูกสาวของฉันอยู่เท่านั้น อย่าคิดมาเผยอหน้าแข่งกับพวกฉันเด็ดขาดจำเอาไว้” หญิงสูงวัยทำเสียงและแววตาเยาะๆ พร้อมกับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะชี้มือชี้ไม้ให้คนงานจูงอูฐของเธอไปรวมกลุ่มกับอรวันและวรรณวลี
มีนาก้มหน้ากัดริมฝีปากของตัวเองแน่นอย่างเจ็บใจ เธอนึกอยู่แล้วว่าจะต้องโดนเหน็บเข้าให้อีก แต่เธอไม่ได้เป็นอย่างที่ผู้เป็นป้ากล่าวหา เธอตั้งใจออกหางานทำเพื่อจะได้หาเงินมาใช้คืนศิริรัตน์ในค่าใช้จ่ายที่ส่งเสียเลี้ยงดูเธอมา
“คุณมีนาเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ฮัสซันเร่งอูฐขึ้นมาเดินตีคู่กับสาวไทยพร้อมกับถามอย่างเป็นห่วง พอดีเขาได้ยินคำพูดของคุณช่อผกาเข้าพอดี ถึงแม้เขาจะตีความหมายของภาษาไทยบางคำไม่ออก แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าคุณช่อผกาไม่ชื่นชอบหญิงสาวคนนี้เอามากๆ เลย
“เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” มีนาหันมาฝืนยิ้มให้กับชายหนุ่ม ก่อนจะหันกลับไปมองท้องทะเลทรายเนินทรายเบื้องหน้า
“ทำไมพวกเขาถึงเกลียดคุณครับ” คำถามของฮัสซันทำให้สาวไทยต้องหันมามองเขาอีกครั้ง เพราะไม่คิดว่าหนุ่มอาหรับจะมองออกด้วย
“มันเป็นเรื่องบาดหมางเก่าๆ ของผู้ใหญ่เขานะค่ะ ก็เลยพานมาถึงดิฉันไปด้วย อย่าไปสนใจเลยค่ะเรื่องไร้สาระน่ะค่ะ” มีนาฝืนยิ้มให้ฮัสซันอีกครั้ง ซึ่งหนุ่มอาหรับก็พยักหน้ารับรู้และหยุดเซ้าซี้เพราะนั่นถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรจะละลาบละล้วง
“ทำไมพวกคุณถึงฟังและพูดภาษาไทยได้ละคะ” มีนาเอ่ยถามฮัสซันขึ้นมาบ้างอย่างใคร่รู้หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“พวกเราต้องตามองค์สุลต่านไปติดต่อการค้ากับหลายประเทศน่ะครับ จึงต้องเรียนรู้เอาไว้หลายๆ ภาษาครับ”
“ดีจังเลยค่ะ” มีนาอมยิ้ม เธอเองก็ชอบที่จะเรียนรู้หลายๆ ภาษาเหมือนกัน แต่หญิงสาวก็ไม่ได้แสดงออกว่าตัวเองนั้นเก่ง เพราะโบราณเขาว่าไว้ว่า รู้เขารู้เรา เราเงียบแล้วฟังอย่างเดียวดีกว่า จะได้ประโยชน์มากกว่าการแสดงตัวโอ้อวด มันจะนำพาความเดือดร้อนมาให้เราได้
ครึ่งชั่วโมงต่อมาขบวนของคุณช่อผกาก็มาถึงจุดหมาย เบื้องหน้าของทั้งหมดคือพื้นที่สีเขียวกว้างประมาณ 1000 ตารางกิโลเมตรหรือจะเรียกว่าโอเอซิสขนาดใหญ่ก็คงไม่ผิด ใจกลางโอเอซิสคือพระราชวังสีงาช้างตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ โอบล้อมด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ ดูแล้วช่างงดงามราวกับภาพจิตรกรรม
“สวยงามมาก” มีนาพึมพำเบาๆ ขณะเดินผ่านประตูไม้แกะสลักบานใหญ่เข้ามา เช่นเดียวกับบรรดาป้าๆ ของเธอที่ต่างก็มองกันตาค้างอ้าปากหวอ ก็มันใหญ่ซะขนาดนั้น แถมบางจุดก็ตกแต่งด้วยทองคำ ส่องประกายวูบวาวอีกด้วย อากาศด้านในเย็นสบายด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ สองข้างทางเป็นสนามหญ้าเขียวขจีกับแปลงดอกไม้หลากสี มีนาไม่คิดเลยว่ากลางทะเลทรายจะมีสถานที่ที่สวยงามแบบนี้อยู่ด้วย
หนุ่มอาหรับทั้ง 3 พาหญิงสาวต่างวัยทั้ง 4 คน เดินเข้าไปในพระตำหนักหลวงที่ตกแต่งด้วยลวดลายและประดับประดาด้วยทองคำ รวมทั้งอัญมณีสีต่างๆ ดูแล้วช่างละลานตาไปหมดทุกอย่าง
“เชิญทางด้านนี้ครับ องค์สุลต่านและพระชายารออยู่แล้วครับ” ราชิดพาทั้งหมดมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง พร้อมกับผายมือไปทางประตูสีทองที่ประดับด้วยลวดลายสวยงามแปลกตา และเมื่อประตูเปิดออกทุกสายตาภายในห้องนั้นก็หันมามองหญิงไทยทั้ง 4 คน เป็นจุดเดียวกัน
มีนามองไปรอบๆ เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา 4 คนนั่งอยู่บนเก้าอี้สีทองประดับมุก ล้อมรอบด้วย หญิงสาวอาหรับในชุดคลุมยาวสีดำทอง บนบัลลังก์สีทองซึ่งตั้งอยู่เหนือกว่าที่นั่งอันอื่นมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ ข้างๆ ของเขาคือพี่สาวของเธอนั่นเอง สายตาของมีนาหันกลับมามองชายหนุ่มทั้ง 4 คน อีกครั้งแล้วก็สะดุดเข้ากับสายตาคมเย็นชาของผู้ชาย 1ใน 4 คนนั้นเขาพอดี
สาวไทยยอมรับเลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่หล่อมาก เรียกได้ว่าราวกับเทพบุตรกรีซเลยก็ว่าได้ แต่สายตาของเขานั้นที่ทอดมองมาที่พวกเธอนั้นกลับดุน่ากลัวเหมือนกับมีเรื่องโกรธแค้นกันมาก่อนอย่างนั้นแหละ มีนาคลี่ยิ้มบางๆ ให้ด้วยความเป็นมิตร แต่ชายหนุ่มกลับทำเมินเฉยใส่และหันไปยิ้มให้กับวรรณวลี เล่นเอามีนาต้องหุบยิ้มเก้อๆ ของตนเองลงแล้วหันไปมองทางพี่สาวที่กำลังเดินลงมา
ศิริรัตน์สวมกอดมารดาเอาไว้ด้วยความรักและคิดถึง ทั้งหมดนั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ ศิริรัตน์แนะนำทุกคนให้องค์สุลต่านกับเจ้าชายทั้ง 4 พระองค์ได้รู้จัก วรรณวลีคลี่ยิ้มพร้อมกับส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้กับทุกพระองค์ ส่วนมีนานั้นใช้การถอนสายบัวและยิ้มบางๆ ให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มตอบมีเพียงเจ้าชายการีฟเท่านั้นที่ทำหน้าบึ้งใส่ มีนาหุบยิ้มลงและทำท่าเมินใส่แล้วเสไปมองทางอื่นแทน
“มาราคัตยินดีต้อนรับพวกท่านทุกคน” องค์สุลต่านประทับยืนขึ้นพร้อมกับแย้มพระสรวลกว้าง ก่อนจะกล่าวต้อนรับเป็นภาษาไทย
“ขอบพระทัยเพคะ” ช่อผกานิ่งอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มตอบ แล้วทั้ง 4 คน ก็ลุกขึ้นย่อตัวถอนสายบัวให้กับองค์กษัตริย์แห่งมาราคัต และนั่งลงตามเดิม
‘พูดภาษาไทยกันได้หมดทั้งวังเลยหรือเปล่าเนี่ย’ มีนาลอบคิดในใจเล่นๆ ก่อนจะหันไปทางพี่สาวเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถาม
“เป็นไงบ้างจ๊ะมีน การเดินทางสนุกหรือเปล่าจ๊ะ?” ศิริรัตน์หันมาถามมีนาพร้อมกับยิ้ม แต่พอมีนาจะอ้าปากตอบเสียงของวรรณวลีก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“คงสนุกหรอกนะพี่เอ๋ ต้องมานั่งขี่อูฐเดินตากแดดอยู่กลางทะเลทรายแบบนั้นน่ะ ทำไมพี่ไม่ให้เครื่องบินหรือรถไปรับพวกเราล่ะ” วรรณวลีทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ญาติสาวผู้พี่อย่างเคืองๆ
“ก็พี่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสกับบรรยากาศของมาราคัตอย่างแท้จริงน่ะสิ” พระชายาสาวหัวเราะในลำคออย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่บูดบึ้งของญาติผู้น้อง
“เอาล่ะ อย่าเพิ่งถามไถ่อะไรกันตอนนี้เลยนะ ข้าว่าให้มารดากับญาติๆ ของเจ้าไปพักกันก่อนจะดีกว่านะเถอะ เดินทางกันมาเหนื่อยๆ” องค์สุลต่านรับสั่งเป็นภาษาไทยขัดการสนทนาของชายาสาว เพราะสังเกตเห็นท่าทางอิดโรยของกลุ่มคนอีกฝ่ายได้
“พวกเขาคงไม่เหนื่อยหรอกท่านพ่อ เห็นหน้าตาดูสดชื่นกันทุกคนเลยนี่” เจ้าชายการีฟรับสั่งแทรกขึ้นเป็นภาษาไทยเช่นเดียวกัน ก่อนจะเหยียดมุมโอษฐ์ออกอย่างเยาะๆ
มีนาหันไปสบสายพระเนตรกับเจ้าชายหนุ่มอย่างไม่ค่อยพอใจกับคำรับสั่งเสียดสีเมื่อครู่ หญิงสาวรู้สึกว่าเจ้าชายองค์นี้จะไม่ชอบพวกเธอเอาเสียเลย แถมแววตาก็ยังประกาศการเป็นศัตรูกันตั้งแต่แรกเห็นอีกด้วย
“การีฟ!” องค์สุลต่านอัลบาฮาหันไปส่งสายพระเนตรดุๆ ให้กับโอรสองค์โต เพราะทรงรู้ดีว่าโอรสของพระองค์ไม่ชอบศิริรัตน์รวมไปถึงพวกญาติๆ ของหญิงสาวด้วย ถ้าขืนยังให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอยู่ต่อก็เกรงจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น
“เอ่อ...หม่อมฉันขอตัวพาทุกคนไปห้องพักก่อนนะเพคะ” ศิริรัตน์รีบเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องโถงเริ่มจะไม่ปลอดโปร่งแล้ว จากนั้นก็พาทุกคนเดินออกมาจากห้องโถง แต่ก่อนจะเดินออกมามีนาก็ปรายหางตามองค้อนไปยังเจ้าชายการีฟพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ เล่นเอาอีกฝ่ายนั่งกัดกรามกรอดอย่างขุ่นเคืองพระทัย