ตอนที่ 3 ปะทะคารม
ศิริรัตน์เดินมาส่งมีนาที่ห้องหลังจากส่งมารดากับน้าสาวและวรรณวลีเข้าห้องไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่มาหยุดยืนที่หน้าประตูไม้แกะสลักลวดลายอาหรับสวยงาม
“จริงสิพี่เอ๋...ที่นี่เขาพูดภาษาไทยกันได้ทุกคนเลยเหรอ?” มีนาหันมาเลิกคิ้วถามพี่สาวอย่างสงสัย
“ไม่ทุกคนหรอก คนที่พูดได้ก็มีองค์สุลต่าน เจ้าชาย แล้วก็บรรดาองครักษ์ เท่านั้นแหละ” ศิริรัตน์ตอบยิ้มๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ แล้วฝ่ายพี่สาวก็เอ่ยต่อ
“แล้วคืนนี้อย่าเพิ่งรีบนอนนะ พี่จะมาคุยด้วย พี่อยากคุยกับมีนที่สุดเลยล่ะ”
“ค่ะ” มีนาพยักหน้ารับแล้วกำลังจะเดินเข้าห้อง แต่พอดีมีเด็กหญิงตัวน้อยอายุประมาณ 6 ขวบ วิ่งเข้ามาชนเธอแถมยังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่แล้วก็วิ่งหนีไป
“ลูกใครคะพี่เอ๋ ไม่มีมารยาทเลย” มีนามองตามหลังร่างเล็กๆ นั้นไปก่อนจะหันมาขมวดคิ้วถามพี่สาว
“พระธิดาของเจ้าชายการีฟน่ะ” ศิริรัตน์บอกยิ้มๆ วันแรกที่เธอมาที่นี่แม่ธิดาน้อยองค์นี้ก็แผลงฤทธิ์ใส่เธอเหมือนกัน
“มิน่าล่ะ นิสัยเสียเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก แล้วแม่เขาไม่อบรมบ้างหรือไงคะ” มีนากอดอกพร้อมกับเบ้ปากอย่างเหยียดๆ
“จุ จุ อย่าพูดดังไปสิ ใครมาได้ยินเข้าจะเดือดร้อนนะ” ศิริรัตน์จุปากพร้อมกับหันไปมองนางกำนัลติดตามที่ยืนห่างออกไป โชคดีที่พวกนั้นฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ไม่งั้นแย่แน่ๆ จากนั้นเธอก็หันมาทางน้องสาวอีกครั้งก่อนจะเอ่ยกระซิบเบาๆ
“จากที่พี่รู้เขาว่ากันว่าพระชายาของเจ้าชายสิ้นพระชนม์แล้ว ตั้งแต่เจ้าหญิงจัสมินอายุได้ 3 ขวบ ทรงตกเลือดลูกคนที่สองของเจ้าชายน่ะ แต่มีคนเขาพูดกันว่าลูกคนที่พระชายาทรงตกเลือดไม่ใช่ลูกของเจ้าชายการีฟ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นลูกของใคร”
“หมายความว่าพระชายาทรงมีชู้?” สาวไทยทำตาโต เธอไม่คิดเลยว่าชนชั้นสูงเหล่านี้ยังจะมีเรื่องเสื่อมเสียแบบนี้เกิดขึ้นอีก
“ใช่ แต่อย่าไปสนใจเลยไม่ใช่เรื่องของเรา เธอเข้าไปพักผ่อนเถอะแล้วตอนเย็นค่อยเจอกัน” ศิริรัตน์คลี่ยิ้มให้น้องสาว ซึ่งมีนาก็พยักหน้ารับแล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องไป
หญิงสาวหยุดยืนมองภายในห้องนิดหนึ่ง กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกับพวกเครื่องหอมลอยเข้ามาปะทะจมูกโด่งทำให้สาวไทยอดที่จะสูดดมเข้าไปไม่ได้ จากนั้นมีนาก็เริ่มเดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง ห้องนี้กว้างขวางเป็นเท่าตัวของห้องนอนที่บ้านของเธอน่าจะได้ ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างก็ทันสมัยและสวยงาม ร่างบางเดินมาหยุดยืนที่เตียงขนาดคิงไซน์สีเหลืองทอง ก่อนจะทรุดนั่งลงบนที่นอนแล้วคลี่ยิ้มให้กับตัวเอง เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้มาเยือนดินแดนทะเลทรายของชนชาวอาหรับแบบนี้จริงๆ แถมยังได้เข้ามาพักในวังของกษัตริย์อีกด้วย
“เฮ้อ...” หญิงสาวถอนใจออกมายาวๆ แล้วล้มตัวลงนอน เธอกะว่าจะนอนเล่นสักครู่แล้วค่อยไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ก็เผลอหลับยาวไปจนได้
พอตกเย็นองค์สุลต่านก็ให้นางกำนัลไปเชิญทุกคนมารับประทานอาหาร มีนาจึงรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ทำให้หญิงสาวมาเป็นคนสุดท้าย และเมื่อร่างบางก้าวเข้าไปในห้องอาหารทุกคนจึงหันมามองเธอเป็นตาเดียว ทำเอามีนาต้องเดินตัวลีบเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ กับคุณช่อผกาเพราะมันเหลือที่ว่างอยู่ตรงนั้นที่เดียว
“ไม่มีใครอบรมมารยาทให้หรืออย่างไรว่าต้องตรงต่อเวลา” เจ้าชายการีฟรับสั่งต่อว่าพร้อมกับยกมุมโอษฐ์ขึ้นอย่างหมิ่นๆ
“ขอประทานอภัยเพคะ พอดีไม่มีใครบอกหม่อมฉันว่าจะเสวยกันเวลาไหน แล้วคนที่เป็นสุภาพบุรุษที่บ้านเมืองหม่อมฉัน เขาก็ไม่พูดว่าหรือตำหนิสุภาพสตรีแบบนี้หรอกเพคะ” มีนามองอีกฝ่ายตาขุ่น นี่เธอก็รีบมาอย่างเต็มที่แล้ว แต่วังนี้ทั้งกว้างทั้งใหญ่โตกว่าจะเดินมาถึงก็เล่นเอาหอบ แถมยังมาโดนต่อว่าอีก อารมณ์โมโหก็พุ่งพรวดขึ้นมาบ้าง
“มากไปแล้วนะนังมีน นั่นเจ้าชายนะ” ช่อผกาเน้นเสียงลอดไรฟันเบาๆ พร้อมกับหยิกเข้าที่แขนของมีนาอย่างแรงด้วยความโมโหที่อีกฝ่ายไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
“โอ๊ย!..คุณป้า” มีนาอุทานออกมาด้วยความเจ็บ ก่อนจะก้มหน้ามองรอยแดงที่แขนขาวของตนเอง เธอได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของใครบางคนจึงเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเป็นเจ้าชายการีฟนั่นเอง ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อจึงเม้มเข้าหากันอย่างขุ่นเคือง
“การีฟ!...อย่าเสียมารยาท” องค์อัลบาฮาส่งสายพระเนตรดุดันห้ามปรามไปให้กับโอรส ก่อนจะโบกพระหัตถ์ให้นางกำนัลเสิร์ฟอาหารเพื่อตัดปัญหาทุกอย่าง
และเมื่ออาหารมื้อเย็นผ่านพ้นไปองค์สุลต่านก็ชวนคุณช่อผกากับคุณอรวันไปเดินเล่นย่อยอาหารในสวนหน้าพระตำหนัก วรรณวลีก็ออกไปกับเจ้าชายการีฟ และเจ้าชายจอร์แดนตามคำเชิญชวนของเจ้าชายการีฟ ส่วนเจ้าชายอัลฟาฮากับเจ้าชายอิสยาสก็เสด็จกลับห้องบรรทม เหลือแต่เพียงศิริรัตน์กับมีนาที่ยังนั่งอยู่ในห้องอาหาร
“มีนเจ็บมากไหม ขอพี่ดูหน่อย” ศิริรัตน์จับแขนข้างที่โดนหยิกของน้องสาวขึ้นมาดู แล้วก็พบรอยเขียวเป็นจ้ำๆ 2 รอย
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกพี่เอ๋ มีนไม่เจ็บแล้วล่ะ” มีนาฝืนยิ้มให้พี่สาว
“งั้นเราไปที่ห้องมีนกันดีกว่า เดี๋ยวพี่จะทายาให้แล้วก็จะได้เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับพี่ให้ฟังด้วย” ศิริรัตน์ลุกขึ้นพร้อมกับจูงมือญาติผู้น้องให้ลุกขึ้นตาม ก่อนจะพากันเดินไปยังตำหนักรับรอง
และเมื่อมาถึงห้องของมีนา ศิริรัตน์ก็ให้นางกำนัลกลับตำหนักไปก่อน แล้วหลังจากทายาให้น้องสาวเสร็จเธอก็เริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับมีนาฟังอย่างไม่ปิดบัง
“หลังจากที่พี่มาอยู่กับจอห์นที่เยอรมันได้ 1 อาทิตย์ ก็มีชาวอาหรับมาหาเขาที่บ้านและจับตัวพี่มา เขาบอกว่าจะเอามาเป็นตัวประกันเพื่อให้จอห์นนำเงินมาใช้หนี้ องค์สุลต่านบอกความจริงกับพี่ว่า จอห์นติดการพนัน เป็นหนี้หลายสิบล้าน เขาขายทั้งกิจการและตัวพี่ให้กับพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงเมตตาพี่มาก ทรงพอใจในตัวพี่จึงขอพี่แต่งงาน และแต่งตั้งเป็นพระชายา เหล่านางสนมหลายคนของพระองค์ไม่พอใจพี่ รวมทั้งเจ้าชายการีฟด้วย”
“ทำไมคะ?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย
“พระองค์ไม่ชอบผู้หญิงชาวเอเชีย และไม่ต้องการให้ใครมาแทนที่พระมารดาของพระองค์” ศิริรัตน์บอกเสียงอ่อยๆ มีนาตบมือลงบนหลังมือของพี่สาวอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะเอนตัวลงนอนหนุนตักของอีกฝ่ายอย่างประจบ
“แล้วเจ้าชายทรงยอมให้พี่แต่งกับองค์สุลต่านหรือคะ?”
“จะมีใครกล้าขัดพระประสงค์ขององค์สุลต่านได้ล่ะ” ศิริรัตน์ก้มลงมองหน้าน้องสาวอย่างยิ้มๆ
“ว่าแต่พี่เอ๋ให้คนไปรับพวกเรามาทำไมคะ ในเมื่อพิธีแต่งตั้งก็จัดไปแล้ว” มีนานอนมองหน้าพี่สาวอย่างไม่เข้าใจ
“จัดพิธีแต่งตั้งไปแล้วก็จริง แต่งานฉลองและประกาศอย่างเป็นทางการยังไม่ได้ถูกจัดขึ้น งานฉลองจะมีขึ้นในอีก 1 อาทิตย์ข้างหน้านี้” คำบอกกล่าวของญาติผู้พี่ทำให้มีนาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งแล้วมองหน้าพี่สาวอย่างวิตกกังวล
“แต่มีนไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าอะไรมาสักชุดเลยนะ”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว พรุ่งนี้พี่จะให้คนมารับไปเลือกชุดที่จะใส่กัน พี่จะแปลงร่างสาวน้อยคนนี้ให้สวยสุดๆ ไปเลย เอาแบบที่ใครเห็นแล้วก็ต้องมองตาค้างไปเลยล่ะ” ศิริรัตน์คลี่ยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือไปบีบจมูกน้องสาวเบาๆ อย่างหยอกล้อก่อนจะก้าวลงจากเตียงแล้วหันมาเอ่ยอีกครั้ง
“เอาล่ะนอนพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาอย่างสดชื่น”
มีนาพยักหน้ารับพร้อมกับคลี่ยิ้ม แล้วเดินไปส่งญาติสาวผู้พี่ที่หน้าห้อง ก่อนจะเดินกลับเข้ามาทิ้งตัวลงนอน แต่หญิงสาวก็นอนไม่หลับ พอหลับตาลงก็เห็นใบหน้าและท่าทางยิ้มเยาะของเจ้าชายการีฟอยู่ตลอดเวลา
“บ้าจริงจะไปนึกถึงคนแบบนั้นทำไมนะ” สาวไทยต่อว่าตัวเอง แล้วพยายามข่มตาหลับ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทีเดียวกว่าเธอจะหลับสนิทลงไปได้
วันรุ่งขึ้นศิริรัตน์ก็ให้นางกำนัลมาพามีนาไปพบที่พระตำหนัก แล้วในระหว่างทางนั่นเองมีนาก็ได้พบกับเจ้าชายการีฟและวรรณวลีตรงบันไดทางขึ้นพระตำหนัก สาวไทยลอบถอนใจเมื่อนางกำนัลหยุดย่อตัวทำความเคารพเจ้าชายหนุ่ม มีนาจึงจำต้องย่อตัวถอนสายบัวให้ตามไปด้วย
“เมื่อคืนนอนหลับสบายกว่าที่บ้านของเจ้าหรือเปล่าล่ะ” เจ้าชายการีฟรับสั่งถามเสียงเรียบ แต่สายพระเนตรนั้นกลับฉายแววเย้ยหยัน
‘เย็นไว้มีนอย่าไปใส่ใจ เขาเป็นเจ้าชายอย่าไปต่อปากต่อคำด้วยเดี๋ยวจะเดือดร้อน’ มีนาบอกตัวเองในใจและทำเป็นจะเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ แต่หญิงสาวไม่รู้เลยว่าการทำแบบนั้นเท่ากับเป็นการหักหน้าของอีกฝ่าย
“หยุด! ข้าถามเจ้าไม่ได้ยินหรือไง!” เจ้าชายหนุ่มกัดกรามกรอดก่อนจะหันไปตะคอกใส่เสียงกร้าว มีนาหยุดกึกลงทันทีแล้วหันมาประจันหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่หวั่นเกรง
“ทรงรับสั่งถามหม่อมฉันหรือเพคะ นึกว่าตรัสกับลมกับฟ้า” สาวไทยลอยหน้าลอยตาตอบอย่างยิ้มๆ และนั่นก็ทำให้เจ้าชายหนุ่มโกรธจนพระพักตร์แดงก่ำถึงกับเน้นเสียงลอดไรพระทนต์
“เจ้า...ปากกล้านักนะ!”
“ก็พอตัวเพคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วหม่อมฉันทูลลานะเพคะ” พูดจบมีนาก็หมุนตัวจะเดินต่อ แต่แล้วก็หยุดชะงักและหันกลับมาพูดเหน็บเจ้าชายการีฟอีกครั้ง
“อ้อ...หม่อมฉันลืมตอบคำถามของพระองค์ไป เมื่อคืนหม่อมฉันหลับสบายมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยล่ะเพคะ” จากนั้นสาวไทยก็สะบัดหน้าใส่ก่อนจะเดินต่อไป
“เจ้า!...” เจ้าชายการีฟขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน ดวงพระเนตรคมหรี่ลงทอดพระเนตรตามร่างบางไปนิ่ง
“เดี๋ยวหม่อมฉันตามไปจัดการให้เพคะ” วรรณวลีเม้มริมฝีปากพร้อมกับนิ่วหน้าอย่างโมโหญาติสาวที่ทำกิริยามารยาทไม่ดีใส่เจ้าชายการีฟ จึงเดินลิ่วๆ ตามมีนามาหมายจะตบสั่งสอน
“หยุดก่อน!” วรรณวลีจับแขนเรียวกระชากให้อีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้ากับตนเอง ก่อนจะเน้นเสียงเขียวใส่อย่างโมโห
“เธอมันปากเสียมากไปแล้วนะ นั่นเจ้าชายนะไม่ใช่ไพร่อย่างเธอ!”
“แล้วไง...ทีเจ้าชายยังมาดูถูกฉันได้เลย” มีนาสะบัดแขนของตนเองออกอย่างแรง แล้วทำท่าจะเดินต่อ แต่ก็ต้องหยุดเมื่อเห็นศิริรัตน์เดินตรงมาทางพวกเธอ
“มีอะไรกันจ๊ะน้องสาวพี่” ศิริรัตน์เอ่ยถามขึ้นเมื่อเดินมาหยุดยืนตรงหน้าของน้องสาวทั้งสองพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ก็ยัยมีนสิคะ ไปต่อปากต่อคำกับเจ้าชายการีฟ ตอนนี้พระองค์ทรงกริ้วมากแล้วด้วย” วรรณวลีเอ่ยฟ้องพี่สาวทันทีก่อนจะตวัดสายตามองค้อนไปทางมีนา
“ก็เจ้าชายมากวนอารมณ์มีนก่อนนี่คะ” มีนามองหน้าพี่สาวอย่างเกรงๆ
“นั่นก็เพราะว่าเจ้าชายไม่ชอบขี้หน้าเธอน่ะสิ ฮึ! เธอนี่ก็แปลกนะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนเขาเหม็นขี้หน้าเนาะ” วรรณวลียกแขนขึ้นกอดอกพร้อมกับยิ้มเยาะ
“ฉันก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าชายหรือว่าใครๆ มาชอบฉันสักหน่อย” มีนาบอกเสียงเข้มพร้อมกับมองวรรณวลีตาขวาง เธอเองก็เริ่มมีโมโหขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ศิริรัตน์เห็นท่าไม่ค่อยดีจึงรีบพูดตัดบทเพื่อทำการสงบศึกของทั้งสองฝ่าย
“พอแล้วๆ ที่พี่เรียกพวกเธอมาเพื่อให้มาดูชุดที่จะใส่ในวันงานฉลองของพี่ ไม่ได้ให้มาทะเลาะกัน...ตามพี่มา” พูดจบศิริรัตน์ก็เดินนำหน้าไป มีนาหันมามองหน้าวรรณวลีนิดหนึ่งแล้วเดินตามพี่สาวไป ส่วนวรรณวลีก็หันไปมองเจ้าชายการีฟว่าเสด็จตามตัวเองมาหรือเปล่า แต่พอไม่เห็นก็ทำหน้างอง้ำก่อนจะเดินกระแทกเท้าตามญาติผู้พี่ไป
เมื่อมาถึงห้องศิริรัตน์ก็ให้นางกำนัลนำชุดออกมาให้น้องสาวทั้งสองคนเลือก วรรณวลีทำตาโตเมื่อเห็นเสื้อผ้าแพรพรรณสีสวยสดพร้อมกับเครื่องประดับทองคำงดงาม หญิงสาวจึงรีบเดินเข้าไปเลือกก่อน มีนาถอยออกมายืนข้างๆ ศิริรัตน์เพื่อรอให้อีกฝ่ายได้เลือกอย่างจุใจ
ชุดที่วรรณวลีเลือกเป็นชุดสีแดงเดินด้วยดิ้นสีทองทั้งตัว ส่วนมีนาเลือกชุดที่เป็นสีชมพูอ่อนๆ เดินด้วยดิ้นทองทั้งตัวเหมือนกัน จากนั้นทั้งคู่จึงได้ลองสวมใส่ชุดพร้อมกับเครื่องประดับทองคำ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับห้องพักของตนเอง มีนาจึงถือโอกาสเดินทอดน่องชื่นชมกับความสวยงามของสวนหน้าพระตำหนักหลวง และได้มาพบกับองครักษ์ราชิดเข้าพอดี สาวไทยจึงได้หยุดสนทนาด้วยตามคนที่มีอัธยาศัยดี แต่หญิงสาวหารู้ไม่ว่าการกระทำของสองเธอนั่นได้อยู่ในสายพระเนตรของเจ้าชายการีฟโดยตลอด
‘เจ้ากับข้าจะต้องได้เห็นดีกันแน่!’ ชีคหนุ่มลอบคิดในพระทัยอย่างเกรี้ยวกราด ดวงเนตรสีน้ำตาลเข้มดุดับขึ้นอย่างน่ากลัว ก่อนที่วรกายสูงจะเดส็จหายเข้าไปทางห้องทรงพระอักษร