บทที่ 3
“เรือลำนี้เขาจะให้บริการเธอราวกับพระราชินีทีเดียวนะ ราเชล”
ภรรยาของเขารีบสนับสนุนในคำพูดทันที
“ตอนที่ฉันกับจอห์นเดินทางไปกับเรือลำนี้ ฉันแทบจะไม่ต้องขยับตัวเลย ฉันจะบอกให้เธอรู้ไว้เลยว่าหลังจากที่ต้องดูแลลูก 4 คนกับสามีอีก 1 คนแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองขึ้นสวรรค์จริงๆ”
“ฉันเชื่อว่าบริการของเขาต้องดีแน่”
ราเชลมิได้สงสัยในเรื่องนั้นเลย
“แล้วอาหารบนเรือวิเศษที่สุดเลย รสชาติไม่ต้องหาที่ไหนมาเปรียบอีกแล้ว”
แฟนสาธยาย
“แต่ถ้าเธอต้องการจะลดน้ำหนักสัก 5 ปอนด์ละก็ ฉันว่าเธอคงไม่ใคร่ชอบนักหรอก เพราะน้ำหนักตัวมันต้องขึ้นแน่”
“ที่จริงเหตุผลของเธอกับจอห์นน่ะน่ารับฟังทั้งนั้นแหละน่า”
ราเชลตอบ ทั้งนี้เพราะดูเหมือนสามีและภรรยาคู่นี้รวมหัวกันเล่นงานเธออยู่
“แต่การที่ฉันพูดคล้ายกับไม่พอใจในการเดินทางเที่ยวนี้ มันไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่ไปหรอกนะ เธอก็เห็นว่าเวลานี้ฉันก็มาอยู่ที่นี่แล้ว แล้วก็มีตั๋วอยู่ในมือเสียด้วย”
“ถ้าเช่นนั้นก็เลิกพูดอะไรทำนองที่ว่า เธอพยายามที่จะล่าถอยนาทีสุดท้ายได้แล้ว”
แฟนบอก
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ฉันได้สละเวลามาตลอดอาทิตย์ที่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะได้ตั๋วใบนี้มา เอ ....พูดถึงเรื่องนี้....”
สีหน้าของแฟนบอกความไม่พอใจ ขณะที่สมองครุ่งคิดไปถึงเหตุการณ์บางอย่าง
“ฉันอยากจะรู้จังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตั๋วใบที่ทางบริษัทท่องเที่ยวจะต้องส่งมาให้เธอ มันแปลกนะที่เธอไม่ยักได้รับตั๋วใบนั้น”
“มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก”
จอห์นขัดขึ้น
“ไอ้ไปรษณีย์ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเชื่อถือได้หรอกน่า มันอาจจะหายเสียที่ไหนก็ได้”
“แต่มันถูกส่งไปผิดที่นะคะ”
ราเชลว่า
“เอ๊....แล้วเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกันล่ะ”
แฟนมองหน้าเพื่อนสาวอย่างแปลกใจ
“ฉันก็ตั้งใจไว้ว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังอยู่เหมือนกัน แต่ฉันก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมเสื้อผ้าข้าวของก็เลยลืมเล่าไป”
เธอตอบคำถามของเพื่อนด้วยการอธิบายถึงเหตุจำเป็นที่มิได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก่อน
“ตอนที่ทางบริษัทเขาออกตั๋วใบใหม่นะ เขาส่งให้กับ มิสซิสการ์ดเนอร์ แม็คคินเล่ย์ น่ะถูกต้องแล้ว แต่เลขที่อยู่มันไม่ใช่ของฉัน เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าใบแรกมันจะต้องถูกส่งไปตามที่อยู่นั้นเหมือนกัน ฉันก็เลยไม่ได้รับตั๋วใบนั้นไงล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ใช่แล้ว”
จอห์นยักไหล่อย่างไม่สนใจ “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าอีกไม่ช้าไม่นานตั๋วใบแรกก็จะต้องถูกส่งกลับไปที่บริษัทเอง”
“เธอคิดว่าฉันควรจะติดต่อไปที่บริษัทนั้นแล้วก็แจ้งให้เขาทราบดีไหมว่า เขาส่งตั๋วไปผิดที่”
แฟนเอ่ยถามขึ้น ทั้งนี้เพราะเธอเป็นผู้ที่ชอบทำอะไรให้เป็นระเบียบเสมอ
“ฉันคิดว่าไม่จำเป็นนะ เพราะถึงยังไงฉันก็ได้ตั๋วกับใบผ่านขึ้นเรือเรียบร้อยแล้ว”
ราเชลมองไม่เห็นความจำเป็นในเรื่องนี้
การสนทนาระหว่างกันทำให้ราเชลรู้สึกสบายใจขึ้น รถยนต์คนหนึ่งวิ่งมาเทียบตรงทางโค้งเพื่อปล่อยให้ผู้โดยสารลง มีสามีภรรยาวัยหนุ่มสาว 3 คู่ก้าวลงมา ลากคูลเคอร์กับแบกถาดขนาดใหญ่แซนด์วิช เนยแข็ง และเครื่องดื่มเตรียมมาพร้อม เพื่อจะได้ตั้งกองฉลองการเดินทางเที่ยวนี้กันอย่างเป็นการส่วนตัว หลังจากที่กระเป๋าถูกยกลงใส่รถเข็นเพื่อนำไปลงเรือเรียบร้อยแล้ว จึงได้ปรากฏว่า แท้ที่จริงแล้วมีเพียงคู่เดียวในกลุ่มที่จะเดินทางไปกับเรือเที่ยวนี้ ส่วนอีก 4 คนนั้นคือผู้ที่ตามมาส่ง
หลังจากที่ทั้งผู้โดยสารและกระเป๋าลงจากรถหมดแล้ว คนขับก็เลื่อนรถไปทางที่จอดซึ่งอยู่ใกล้กับตัวอาคารขณะเดียวกัน ก็มีรถลิมูซีนสีดำคนหนึ่งเคลื่อนเข้ามาเงียบๆ และจอดลงแทนที่ ดูเหมือนรถคันนี้จะเรียกความสนใจให้เกิดขึ้นในทันใด
แฟนโน้มร่างเข้ามาหาราเชล พูดเบาๆ ว่า
“เธอคิดว่าใครน่ะ”
มันเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นธรรมดาที่ราเชลจะต้องบังเกิดความสนใจใคร่รู้ขึ้นมาบ้าง รถลิมูซีนซึ่งกระจกโดยรอบติดฟิล์มกรองแสงสีเทาคันนั้น บอกให้รู้ว่าผู้โดยสารที่นั่งอยู่ภายในต้องการพิทักษ์ความเป็นส่วนตัวของตนไว้ และมันก็สร้างความสนใจให้กับผู้ที่อยากรู้ว่า ใครคือผู้โดยสารคนนั้นอยู่มาก
เพียงกดปุ่ม ที่เก็บของท้ายรถก็เปิดออก และแล้วโชเฟอร์ในเครื่องแบบก็ก้าวลงมาจากรถเดินอ้อมไปทางด้านหน้า และเปิดประตูที่นั่งด้านหลังออก ดวงตาทุกคู่มองไปทางนั้นรวมทั้งราเชลด้วย
ผู้ชายคนหนึ่งก้าวลงมาเรือนร่างของเขาสง่างาม สูงประมาณ 6 ฟุตเห็นจะได้ ช่วงไหล่ผึ่งผาย สายลมอ่อนพัดเป่าไปตามเรือนผม ราวกับรอไม่ไหวที่จะลูบไล้ปลายนิ้วลงสัมผัสกับความหนาและอ่อนนุ่มของมัน แสงอาทิตย?ในยามบ่ายฉาบลงบนสีทรายเข้มของเรือนผมนั้น ใบหน้าคล้ำแดดของเขาบอกถึงความเป็นชายชาตรีซึ่งหล่อเหลาเอาการ
ขณะที่จับตามองเขาอยู่นั้น ใจของาเชลก็ประหวัดไปถึงรูปปั้นที่เธอเคยเห็นมา มันมิใช่เพราะความสง่าผึ่งผายของเรือนร่างหรือความเป็นเพศชายที่มีหน้าตาคมสันของเขา แต่มันเป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งที่พาเอาความทรงจำนั้นกลับมาสู่ความคิด นั่นคือบุคลิกลักษณะที่บ่งบอกให้รู้จักถึงความแกร่งกร้าว แต่ในขณะเดียวกันก็เห็นได้ชัดว่าเขาปฏิบัติตนตามสบาย
ราเชลเดาเอาว่า เขาจะต้องรู้อยู่ว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นอยู่ แต่เขามิได้ยินดียินร้ายต่อความสนใจของบุคคลทั้งหลาย ซึ่งท่าทางที่ไม่ยินดียินร้ายนี้ก็มิได้หมายความว่าเขาจะแสดงออกถึงความจองหองแต่อย่างไร เพียงแต่เขามีความรู้สึกว่าการปรากฏตัวของเขานั้นมิใช่เรื่องสำคัญแต่ประการใด
รอยยิ้มปรากฏขึ้นจนเห็นไรฟันขาวสะอาด ขณะที่พูดอะไรบางอย่างอยู่กับโชเฟอร์ แม้จะจับใจความของคำพูดนั้นไม่ได้ แต่น้ำเสียงอ่อนโยนสุภาพยังล่องลอยมากระทบหู คนขับรถในชุดเครื่องแบบยิ้มตอบเขาทันที ซึ่งราเชลเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่ามันเป็นธรรมดาที่ใครก็ตามซึ่งได้รับรอยยิ้มเช่นนี้จะต้องยิ้มตอบเขาทุกคน
สายตาของเธอมองไปตามร่างกายโชเฟอร์ขณะที่เขาเดินไปยังท้ายรถ และลงมือขนกระเป๋าเดินทางลง ส่งต่อให้กับพนักงานกระเป๋าที่มารออยู่ และแล้ว เธอก็เปลี่ยนสายตามองไปทางผู้ชายคนนั้นซึ่งสวมเสื้อแจ็คเก็ตแบบสปอร์ตกับกางเกงขายาวสีน้ำตาล ซึ่งในช่วงนั้นก็พอดีกับที่เขาเบือนหน้ามาทางเธอ และกวาดสายตามองไปรอบๆ
วี่แววแห่งประสบการณ์และการเผชิญโลกที่ได้ขจัดความอ่อนโยนบนใบหน้านั้นให้เลือนหายไปจนหมดสิ้น แต่ความคมสันและรูปหน้าที่บ่งบอกถึงความเป็นชายชาตรีมิได้เลือนหายไปเลยแม้แต่น้อย บุหรี่มวนหนึ่งห้อยอยู่ตรงมุมปาก ขณะที่เขาโน้มศีรษะลงจุดไม้ขีด โดยใช้มือป้องแรงลมไว้
ขณะเดียวกัน เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็ปรายสายตามาทางผู้คนที่ยืนอยู่บนทางวิถีภายนอก และเมื่อสายตาเลยมาทางร่างของราเชล ก็หยุดอยู่เป็นครู่คล้ายกับแสดงความสนใจออกมา ซึ่งทำให้เธอบังเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ในช่วงเวลานั้นเขาได้ซึมซับภาพของเธอเอาไว้ และประเมินคุณค่าของเธอกับผู้หญิงทั้งหลายที่เขาเคยรู้จักมาก่อนอยู่ เพียงแต่ว่ามันมิได้มีการตัดสินใดๆออกมาเท่านั้น ราเชลรู้สึกตัวแข็งไปชั่วครู่ บังเกิดความรู้สึกคล้ายกับจิตใจถูกรบกวนโดยอะไรบางอย่างอยู่
แฟนหันมาทางราเชล และเอ่ยขึ้นว่า
“ฉันไม่รู้เลยนะว่าเขาเป็นใคร”
เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ
“รู้แต่ว่าเขามีความเป็นผู้ชายเต็มตัวทีเดียวละ”
ราเชลออกจะเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนสาวที่ว่าผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ดึงดูดใจหญิงอยู่ไม่น้อย มันคล้ายกับมีกระแสแม่เหล็กที่ดึงดูดให้เธอต้องคอยหันไปทางเขาตลอดเวลาทั้งที่รู้อยู่ว่ามันเป็นการมองที่ไม่สุภาพเลยก็ตาม