บทที่ 2
ดูเหมือนราเชลจะเข้าใจในเจตนาของเพื่อนอยู่ เธอจึงหันมามองและยิ้มให้ รู้สึกชื่นใจนักที่แฟนมีความเข้าในตัวเธออย่างดียิ่ง
“ถึงเวลานี้ฉันก็ยังไม่อยากเชื่อนะว่า ตัวเองจะได้ไป”
เธอตอบไปตามความรู้สึกที่แท้จริง
“ฉันเห็นจะยังทำใจให้เชื่อไม่ได้จนกว่าเรือจะออกจากท่า โดยมีฉันอยู่บนนั้นแล้วนั่นแหละ”
วาจาประโยคนั้นแสดงให้เห็นว่า เธอมิได้รู้สึกกระตือรือร้นในการเดินทางเที่ยวนี้แต่อย่างใดเลย ราเชลเคยวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวมาก่อน แต่ก็ดูเหมือนมันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นในนาทีสุดท้ายอยู่เสมอ ซึ่งทำให้เธอต้องยกเลิกเสียทุกครั้งไป
“แต่ครั้งนี้เธอต้องได้ไปแน่”
แฟนว่า
“จอห์นกับฉันขึ้นไปบนเรือดูแลให้แน่ใจว่าเธอได้ออกเดินทางไปกับเรือ แปซิฟิก พริ้นเซสอย่างแน่นอน อีกอย่างหนึ่งฉันก็เป็นคนของเคบิ้น ซื้อตั๋วให้เธอเองเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพราะฉะนั้นเธอได้ไปแน่”
ราเชลอดยิ้มกับคำพูดจริงจังของเพื่อนไม่ได้ มันคล้ายกับมีอะไรบางอย่างฉุดรั้งเธอไว้ ไม่กล้าพอที่จะคาดหวังถึงการเดินทางในเที่ยวนี้แม้ว่ากำลังจะขึ้นเรืออยู่แล้วก็ตาม แววในดวงตาคู่สีเทาหม่นลงและเลื่อนลอยไปไกล
“เธอควรทำท่าให้มันดูตื่นเต้นกว่านี้สักหน่อยนะ”
แฟนทำเสียงเหมือนต่อว่า
“ขอโทษนะ”
เธอตวัดสายตามองหน้าแฟน สีหน้ายังบอกแววครุ่นคิดอยู่ “ฉันมีความรู้สึกคล้ายกับว่ามันลืมอะไรไปบางอย่าง”
“ฉันไม่เห็นว่าเธอจะลืมอะไรเลย”
แฟนพลอยให้ความคิดไปด้วย เมื่อนึกถึงว่ามันอาจมีทางเป็นไปได้
“เพราะตอนนี้ มิสซิศ พอลล็อค เพื่อนบ้านของเธอ ก็มีกุญแจประตูบ้านเข้าไปช่วยรดน้ำต้นไม้ให้ แล้วเธอก็สั่งให้ทางไปรษณีย์เขาช่วยเก็บจดหมายไว้ก่อนจนกว่าเธอจะกลับมา พาสปอร์ตของเธอก็ไม่ได้ขาดอายุไม่ใช่หรือ”
“ยังไม่ขาหรอก”
ราเชลพยักหน้ารับ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีพาสปอร์ตติดตัวมาแต่ก็ยังมีบัตรประเภทอื่นที่จะทำให้เธอสามารถผ่านเข้าออกเม็กซิโกได้
“ถ้าเช่นนั้นทุกอย่างมันก็เรียบร้อยดีแล้วนี่ เวลานี้เขาก็เอากระเป๋าเดินทางของเธอ ขึ้นไปไว้บนเรือแล้ว”
แฟนถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับส่ายศีรษะ
“ฉันก็มองไม่เห็นหรอกนะว่ามันจะมีอะไรอีก”
“มีอะไรหรือ ?”
จอห์นซึ่งเดินกลับมาพร้อมถ้วยกระดาษที่ใส่เครื่องดื่ม จับใจความในประโยคสุดท้ายของภรรยาได้ จึงเอ่ยถามขึ้น
“คือราเชลเขามีความรู้สึกว่าตัวเองลืมอะไรบางอย่างไว้”
แฟนอธิบายขณะที่รับถ้วยเครื่องดื่มมาถือไว้ก่อนที่จอห์นจะทำตก ส่งถ้วยน้ำส้มให้ราเชล
“ก็ลืมจริงๆ นั่นแหละ”
จอห์นเอ่ยออกมาโดยไม่ลังเล ล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อตัวนอก หยิบซองใส่กระดาษเช็ดมือออกมา
“อะไร”
ดวงตาคู่สีเทาเบิกโพลงขึ้นด้วยความแปลกใจที่เห็นเขารู้ในเรื่องที่เธอไม่มีความรู้
“ก็....ลืมให้ความสนใจกับโลกไงล่ะ”
จอห์นบอกก่อนที่จะยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากอย่างรู้ทัน
“หรือถ้าจะพูดให้จำเพาะเจาะจงลงไป ก็คือคุณลืมที่จะให้ความสนใจกับคันทรี่ เฮ้าส์ ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ของคุณนั่นแหละซึ่งมันก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะคุณอยู่แต่ในโลกของตัวเองตั้งแต่สูญเสียแม็คไป”
“ฉันไม่อยากพูดว่ามันเป็นโลกของตัวเองหรอกนะ”
ราเชลพยายามปฏิเสธในคำพูดของเขา แต่กระนั้นเธอก็รู้แล้วว่ามันเป็นความจริง
บริษัทขายเครื่องเฟอร์นิเจอร์ แห่งนี้ได้รับการดูแลเอาใจใส่ด้วยดีมาตลอดราวกับเป็นลูก แต่ในระยะ 4 ปีหลังนับตั้งแต่แม็คได้เสียชีวิตลง ราเชลไม่เคยคิดติดต่อกับเพื่อนฝูงคนไหนที่อยู่นอกวงการของเธอเลย จะมีก็แต่แฟนคนเดียวเท่านั้น แม้กระนั้น การติดต่ออย่างใกล้ชิดที่เกิดขึ้นก็เนื่องมาจาก จอห์นซึ่งทำหน้าทั้งผู้จัดการธุรกิจและทนายความประจำตัวนั่นเอง
ออกจะเป็นเรื่องโชคดีอยู่ที่เธอยังทำงานอยู่ในบริษัท ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาทางด้านบริหารธุรกิจ ให้เป็นประโยชน์ ภายหลังจากที่เธอกับแม็คแต่งงานกันแล้ว และเมื่อเขาตายลง เธอก็มีทั้งความรู้แล้วประสบการณ์ที่จะบริหารงานต่อไปได้ด้วยตัวเอง มันมิใช่เรื่องง่ายเลย แต่ความท้าทายที่จะทำให้บริษัทยืนหยัดอยู่ต่อไปได้ประสบผลสำเร็จเป็นประหนึ่งผลรางวัลที่ดีเยี่ยมทั้งทางด้านจิตใจและการเงิน ราเชลมีความพอใจที่เธอสามารถทำให้ความฝันที่เธอกับแม็คเคยสร้างร่วมกันไว้กลายเป็นความจริงขึ้นมา
“แต่ถ้าเราจะดูจากความตั้งใจและความมุ่งหมายของคุณแล้วมันก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง”
จอห์นกล่าวอย่างรู้จักเธอดี
“ก็อาจจะใช่ค่ะ”
ราเชลรับคำอย่างเลื่อนลอย การที่เขาพูดถึงเรื่องธุรกิจทำให้เธอเกิดความคิดใหม่ๆ ขึ้นมา เธอก้มลงดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือเรือนทอง
“ตอนนี้ฉันยังคงจะติดต่อไปหา เบน แอทคินส์ ที่บริษัทได้ ยังพอมีเวลาก่อนที่เขาจะเรียกขึ้นเรือ ฉันควรจะโทรศัพท์ไปหาเขาสักหน่อยดีกว่า เรากำลังจะปล่อยโฆษณาชิ้นใหม่ทางโทรทัศน์อาทิตย์หน้านี่ แล้วฉันก็อยากจะ....”
“เธอจะไม่โทรศัพท์ไปหาใครทั้งนั้น”
แฟนวางมือลงบนแขนเพื่อน ความสนิทสนมที่มีต่อกันมานานทำให้เธอกล้าพอทที่จะห้ามปรามราเชลไว้
“เธอจะต้องนั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ ฉันจะไม่ยอมให้การโทรศัพท์ในนาทีสุดท้ายนั่นมาทำลายแผนการเดินทางไปพักผ่อนของเธออย่างเด็ดขาด”
“ที่จริงระยะนี้มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันไม่ควรทิ้งบริษัทไปถึง 2 อาทิตย์หรอก”
ทันทีที่กล่าวออกมาเช่นนั้น ราเชลก็รู้ดีว่าสิ่งนี้เองที่สร้างความไม่สบายใจให้กับตนเองอยู่ เธอเริ่มบังเกิดความไม่แน่ใจ ว่าเป็นการถูกต้องแล้วหรือที่เธอจะออกเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ ขณะที่งานโฆษณาทางบริษัทกำลังเร่งมือกันอยู่ ที่จริงแล้ว การเดินทางท่องเที่ยวโดยเรือลำนี้จะใช้เวลาเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น แต่ราเชลตั้งใจไว้ว่าจะอยู่ในอคาพูลโก้แก 2-3 วันก่อนที่จะบินกลับ อย่างไรก็ตามเธอสามารถจะตัดรายการลงแล้วกลับมาภายในสัปดาห์เดียวได้
“เมื่อมาถึงวันนี้ คุณก็ควรจะได้เรียนรู้ว่ามันไม่ใช่เป็นการฉกฉวยโอกาสอะไรเลย สำหรับการที่คุณจะได้พักผ่อนบ้าง โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นเจ้าของกิจการอย่างนี้”
จอห์นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ
“อีกประการหนึ่ง คุณก็เป็นคนพูดเองว่า เบน แอทคินส์ มีความสามารถพอที่จะช่วยดูแลงานในขณะที่คุณไม่อยู่ได้”
“เขาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ”
ราเชลตอบอย่างยอมรับ
“แต่ฉันต้องทำงานหนักมาโดยตลอดกว่าที่จะผลักดันบริษัทให้ขึ้นมาสู่ระดับนี้ได้ เพราะฉะนั้น ฉันก็เกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาว่า มันจะเป็นการฉลาดหรือไม่ที่ฉันจะทิ้งบริษัทไป ในขณะที่เรากำลังเริ่มงานด้านโฆษณาใหม่กันอยู่ คุณเป็นคนที่ให้คำแนะนำกับฉันว่าไม่ควรขายบริษัทเมื่อตอนที่แม็คตายลง แล้วก็สนับสนุนเร่งเร้าให้ฉันทำงานนี้ด้วยตัวเองมาโดยตลอด และขณะนี้ฉันก็จะต้องทิ้งบริษัทไปนานพอสมควรในขณะที่จะต้องมีเรื่องของการตัดสินใจเกิดขึ้น”
“แล้วถ้าบังเอิญมันให้มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น เบนเขาก็จะสามารถวิทยุไปรายงานให้คุณทราบถึงเรือได้นี่ คุณไม่ถึงกับติดต่อกับใครไม่ได้เสียเลยหรอก”
จอห์นให้เหตุผลอย่างใจเย็น
“นั่นสินะ”
ราเชลยอมรับฟังในเหตุผลของเขา จิบน้ำส้มไปพลาง ลิปสติกสีแดงปะการังติดอยู่บนปลายหลอดฟาง
“ครั้งหลังสุดที่คุณเคยได้ไปพักผ่อนอย่างนี้มันสักเมื่อไหร่ครับ”
จอห์นเปลี่ยนวิธีการใหม่ด้วยการแกล้งตั้งคำถามเอากับเธอ
“ก็สัก 5 ปีแล้วละ ตอนที่ฉับกันแม็คไปตกปลาที่บริติช โคลัมเบีย”
“ถ้าเช่นนั้นคุณก็สมควรที่จะต้องไปพักผ่อนคราวนี้อย่างที่สุด”
จอห์นกล่าว
“ตอนที่แม็คตายใหม่ๆ ตอนนั้นคุณก็ต้องทำงานอย่างหนักมาโดยตลอด เวลานี้คุณทำงานมากพอแล้ว คุณจำเป็นต้องหยุดพักการทำงานลงสักชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็หาความสุขให้กับชีวิตบ้าง”
“เวลานี้ฉันก็มีความสุขกับชีวิตอยู่แล้วนี่”
ราเชลยืนยัน แต่เธอรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะตึงเครียดจากแรงกดดันต่างๆ อย่างมาก นานมาแล้วที่เธอไม่เคยพักผ่อน ทำตัวตามสบายเลย การเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้สามารถจะให้ในสิ่งที่เธอต้องการได้ วางมือจากการประชุม การรับโทรศัพท์ การที่ต้องคร่ำเคร่งอยู่กับงานเอกสารเสียบ้างตลอดเวลา 7 วันนับแต่นี้เธอจะไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับงานเลย
“ฉันยอมรับนะว่าฉันก็อยากจะวางมือจากงาน แล้วก็ไปพักผ่อนสักชั่วระยะหนึ่ง แต่ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่า ในระหว่างเวลาที่มันว่างนั่นน่ะ ฉันจะทำอะไรกับตัวเองดี และฉันก็ไม่รู้จักใครบนเรือเลยสักคน มีแต่คนแปลกหน้าเต็มไปหมด”
“ตอนนี้เป็นตอนที่คุณสมควรจะได้พบกับคนแปลกหน้าเสียบ้าง”
จอห์นกล่าวอย่างให้เหตุผล
“ถ้าคุณยังอยู่ในแวดล้อมของเพื่อนฝูง คุณก็จะต้องพูดเรื่องงานอีกอยู่ดี แทนที่คุณจะทิ้งงานไว้ข้างหลังคุณกลับจะเอามันติดตัวไปเสียด้วยซ้ำน่ะสิ การที่เราได้รู้จักคนใหม่ๆบ้างน่ะมันเป็นของดีนะ ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่คุณทำงานหนักมาโดยตลอด คุณก็ควรจะได้ขึ้นไปพักผ่อนบนเรือสำราญลำนี้ เอาละ ถ้าคุณไม่เชื่อผมก็ลองถามแฟนดูสิ”