บทที่ 4
อีกครั้งหนึ่งที่เธอเห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ขณะที่เขาสัมผัสมือกับคนขับรถผู้นั้น ซึ่งดูเหมือนจะกล่าวคำอำลา รอยยิ้มนั้นยังคงอยู่ แม้ตอนที่เขาหันมาทางพนักงานขนกระเป๋าและยื่นเงินส่งให้ ด้วยท่าทางของผู้ที่เคยชินกับการให้รางวัล จากนั้น เขาก็เดินด้วยท่าทางสบายๆเข้าไปในตัวอาคาร ขณะที่ราเชลมองตามร่างเขาไปนั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นสีหน้าของจอห์นที่ขมวดมุ่นคล้ายกำลังใช้ความคิดอยู่
“ผมรู้สึกคุ้นหน้าเขาจริงๆ”
จอห์นเอ่ยขึ้นสั่นศีรษะอยู่ไปมา
“แต่นึกไม่ออกเลยว่าเคยพบเขาที่ไหน”
“แต่ก็รู้ละว่าเขาต้องเดินทางไปกับเรือเที่ยวนี้ด้วย”
แฟนสนองคำพูดของสามี พร้อมกับหันมามองราเชล แววแห่งความมาดหมายในอะไรบางอย่างปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ
“ฉันคิดว่า ผู้ชายแบบนี้ละ ที่เธอสมควรทำความรู้จัก”
“แฟน....อย่าบ้าไปหน่อยเลย”
ราเชลร้องขึ้น รู้สึกขบขันในคำพูดของเพื่อนสาวอยู่
“อ้าว....ฉันพูดจริงนะ”
แฟนยืนยัน
“ฉันไม่สนใจที่จะพาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนไหนหรอก”
ราเชลพูดเสียงเข้มเมื่อรู้สึกว่าแฟนมิได้เพียงยั่วเย้าเล่น
“การที่ฉันเดินทางเที่ยวนี้ก็เพื่อจะไปพักผ่อน ไม่ได้คิดจะขึ้นไปจับผู้ชายคนไหนสักคนบนเรือนั่น”
“เอ๊ะ....ก็ใครเขาพูดเรื่องเกี่ยวข้องอะไรกันนั่นเล่า”
แฟนไม่ยอมรับคำตำหนิ
“แต่เธอก็รู้นี่ ว่าขณะนี้เธอกำลังจะเดินทางไปกับเรือรัก”
“เธอไม่ต้องมาย้ำเตือนฉันเรื่องนั้นหรอก”
ราเชลถอนหายใจเบาๆ เมื่อนึกไปถึงภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ชื่อนั้นซึ่งฉายติดต่อกันมาเป็นเวลานาน และบรรยากาศทั้งหมดของเรือก็ถ่ายทำขึ้นบนเรือแปซิฟิกพริ้นเซสลำนี้
“มันก็ต้องมีใครสักคนคอยเตือนสิถ้าเธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนละก็”
แฟนพูดปนหัวเราะ
“เอาเป็นว่าฉันไม่ใคร่สนใจที่จะคิดก็แล้วกัน”
ราเชลตอบ
“และถ้าฉันจะออกมาเดินรับลมชมจันทร์มันก็เป็นเรื่องแน่ที่ฉันจะต้องเดินคนเดียวตามลำพัง แต่เวลาอาทิตย์เดียวนี่ ฉันคงไม่มีทางไปสร้างอารมณ์โรแมนติกกับคนแปลกหน้าบนเรือได้หรอก”
“ฉันก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องโรม้านซ์อะไรนี่”
แฟนกล่าวแก้ความเข้าใจ
“เอ้า....ถ้าอย่างนั้นเธอพูดถึงเรื่องอะไรล่ะ”
ราเชลเสียงเครียด รู้สึกไม่ใคร่พอใจเท่าไรนักที่เพื่อนสาวหยิบยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
“จอห์น ปิดหูเสียนะ คนที่เป็นสามีน่ะ ไม่ควรได้ยินคำแนะนำที่ภรรยาจะให้กับเพื่อนสาวโสดหรอก”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของจอห์น แววตาที่มองมาบอกความรักใคร่ในภรรยายิ่งนัก
“รับรองว่านอกจากผมจะหูหนวกแล้วก็ยังเป็นใบ้อีกด้วย”
เข้าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและหันไปมองเสียทางอื่น แสร้งทำเป็นว่าสนใจในสิ่งอื่นมากกว่า แฟนจึงหันกลับมาทางราเชล
“สิ่งที่ฉันกำละงพูดนี่มันเป็นเรื่องพื้นฐานมากกว่าโรม้านซ์เสียอีก”
เธอกล่าว
“สิ่งที่เธอต้องการอย่างแท้จริงในตอนนี้ก็คือเรื่องของเพศสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งมันเป็นอะไรบางอย่างที่จะช่วยให้ถ่านไฟเก่าคุโพลงขึ้นมาได้อีก และผู้ชายคนเมื่อครู่ก็ดูเหมือนว่า เขามีอะไรทุกอย่างที่เหมาะสมอยู่มากทีเดียว”
คำแนะนำทำนองนี้เป็นสิ่งที่ราเชลเคยได้ยินมาแล้ว แต่ปกติแล้วจะเป็นข้อเสนอของผู้ชายที่ใคร่จะได้เป็นคู่รักของเธอเสียละมากกว่า ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนรักคนนี้เป็นคนพูดแล้ว ราเชลคงเอาน้ำส้มสาดใส่หน้าให้เป็นแน่ แต่เมื่อเป็นแฟน เธอก็วงแก้วน้ำส้มลงตรงขอบที่นั่ง พร้อมกับผลุดลุกขึ้นยืนช้าๆ รอให้แฟนลุกขึ้นยืนตาม
“ไฟของฉันมันคุขึ้นมาเองได้”
อารมณ์ของเธอคุกรุ่นขึ้นด้วยความขุ่นเคืองใจ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเจ้าระเบียบถี่ถ้วนในเรื่องผู้ชายแต่อย่างใด จริงอยู่ในบางครั้งเธออาจจะบังเกิดความรู้สึกว้าเหว่ขึ้นมาบ้าง แต่ราเชลแยกเรื่องของความรักและความใคร่ออกจากกันโดยสิ้นเชิง
เธอพยายามต่อสู้กับความโกรธที่คุกรุ่นขึ้น ราเชลเบือนหน้าช้าๆกลับไปมองแฟน ซึ่งการกระทำเช่นนั้นทำให้เธอหันไปทางกระจกด้านหน้าขอตัวอาคาร สะท้อนให้เห็นภาพของตัวเองในชุดสูทสีขาว และเมื่อมองเลยลึกเข้าไป เธอก็เห็นว่าร่างสูงสง่าไหล่ผึ่งของผู้ชายคนนั้นที่กำลังพูดอยู่กับเจ้าหน้าที่ประจำเรือคนหนึ่ง
การที่ได้เห็นภาพของเขา ซึ่งยืนเอามือซุกกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งไว้ ดูเหมือนจะทำให้เธอรู้สึกโกรธเคืองในคำพูดของเพื่อนสาวมากขึ้น ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่สามารถดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้ามได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่มิใช่ในลักษณะที่แฟนกล่าว เพราะดูเหมือนเขาจะมีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งมากกว่านั้น
ในขณะที่เธอจับตามองเขาอยู่อย่างไม่ตั้งใจนั้น เธอก็เห็นเขาถูกพาเดินไปแนะนำให้รู้จักกับเจ้าหน้าที่ประจำเรืออีกคนหนึ่ง ซึ่งทักทายเขาด้วยท่าทางที่บ่งบอกถึงความคุ้นเคยอย่างยิ่ง จากนั้น เขาก็ถูกพาตัวออกไปยังบริเวณที่ผู้โดยสารจะขึ้นเรืออย่างเป็นพิเศษ ครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเขาก็คือตอนที่เขาเดินผ่านประตูบานนั้นออกไป ในขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นๆ ยังต้องรอเวลาอยู่จนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการขึ้นเรือ ราเชลรู้ว่าบุคคลผู้นี้จะต้องมีความพิเศษอะไรในตัวบางอย่างอยู่
“ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันพูดออกไปนั้นมันอาจจะตรงเกินไปสักหน่อย”
แฟนยังคงพูดต่อ กึ่งขออภัยและกึ่งแก้ตัว
“แต่ฉันก็มีความรู้สุกว่า ถ้าเธอยิ่งปล่อยตัวไม่ยอมมีคู่รักนานเกินไป ความยากลำบากมันก็ยิ่งจะเกิดขึ้น มันก็เหมือนกับตอนที่เธอเสียความบริสุทธิ์ใหม่ๆ นั่นแหละ”
“นี่....ฉันว่าเราเลิกพูดกันเรื่องนี้ดีกว่า”
ราเชลพยายามบังคับน้ำเสียงของตนเองไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ขณะเดียวกัน เธอก็รู้ว่าคำแนะนำของแฟนนั้นเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจดี เพียงแต่เธอรู้สึกอึดอัดใจมากเกินไปเท่านั้น
มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นภายในบริเวณตัวอาคาร ผู้คนเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่ม และมุ่งหน้าไปทางที่มีเชือกกั้นไว้ ดูเหมือนว่าขณะนี้ผู้โดยสารทุกคนกำลังจะขึ้นเรือกันแล้ว
ด้วยความเกรงไปว่า ถ้าเธอขืนยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปแฟนก็จะกลับไปพูดเรื่องเดิมอีก ราเชลจึงคิดว่าทางที่ดีเธอควรจะเดินไปรวมกลุ่มกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ภายในจะดีกว่า ก่อนที่จะเกิดเสียอารมณ์ขึ้นมา เธอไม่ต้องการที่จะเดินทางเที่ยวนี้ด้วยการมีเรื่องขัดเคืองใจกับเพื่อนที่ดีที่สุด และดูเหมือนว่า เมื่อมาถึงวันนี้ อารมณ์ขันของเธอได้หดหายไปจนหมดสิ้นแล้ว เธอไม่อาจจะคุยเรื่องนี้ให้เป็นไปในทำนองขบขันได้อย่างสนิทปาก แม้เธอจะรู้ว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่ทำให้เรื่องนี้เบาลง
“เขากำลังจะขึ้นเรือกันแล้ว”
เธอบอก
“เมื่อผู้โดยสารขึ้นเรือแล้วเขาถึงจะให้คนที่ไปส่งขึ้นไปได้ คุณสองคนรออยู่ที่นี่ก่อนนะ แล้วเราค่อยพบกันบนเรือ”
“เราจะขึ้นไปพบคุณที่นั่นอย่างแน่นอน”
จอห์นตอบอย่างมั่นใจ
จากนั้นราเชลก็ผละจากคู่สามีภรรยาเดินตัวตรงไปยังทางเข้า การที่ผู้โดยสารนับร้อยจะขึ้นเรือนั้น มันจะต้องเป็นกระบวนการที่ช้ามาก แต่ครั้งนี้ ราเชลมิได้รังเกียจที่จะต้องไปยืนคอยอยู่ในแถวยาวเหยียดนั้นเลย อย่างน้อยมันก็เป็นเครื่องช่วยให้อารมณ์ของเธอสงบลง
เสียงพูดคุยระหว่างกันอื้ออึงอยู่ภายในอาคารแห่งนั้น ในที่สุดราเชลก็เดินไปต่อคิวและเดินผ่านออกประตูไปสู่ท่าเทียบเรือภายนอกอย่างช้าๆ เรือลำนั้นฉาบสีขาวเด่น จอดเทียบอยู่ริมท่าห่างจากตัวอาคารของท่าเรือไม่กี่ฟุต ขนาดของมันแม้จะใหญ่โตมหึมา แต่ก็มีโครงสร้างทำให้ดูเพรียวสมส่วน ราเชลจับตาดูเรือด้วยความสนใจขณะที่เดินตามแถวของผู้โดยสารขึ้นไปยังสะพานเดินเรือ
ตรงด้านข้างของลำเรือ มีอักษรสีน้ำเงินเข้มเขียนไว้ว่า “แปซิฟิก พริ้นเซส” มีตราอันเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทสายการเดินเรือ ซึ่งเขียนด้วยสีฟ้าและสีเขียวเป็นรูปศีรษะผู้หญิงที่เรือนผมยาวสยายเป็นลอนคลื่นอยู่บนปล่องควัน ช่องหน้าต่างข้างลำเรือและบันไดที่ขึ้นสู่ดาดฟ้าชั้นต่างๆ บอกให้รู้ว่าเรือลำนี้มีอยู่หลายระดับชั้น ราเชลรู้สึกตื่นเต้นกับขนาดของเรือและความโอ่อ่าของมันอยู่ไม่น้อย
เลยขึ้นไปทางด้านหน้า ช่างภาพหลายคนกำลังถ่ายภาพผู้โดยสารที่เดินขึ้นเรือแปซิฟิก พริ้นเซส อยู่เป็นการต้อนรับ ช่างภาพเหล่านี้จะถ่ายภาพคู่สามีภรรยาเสียเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งสามีภรรยา 2 คู่ก็ต้องถ่ายร่วมกันไว้และบางครั้งก็เป็นรูปของครอบครัว
แต่ราเชลเดินทางมาเพียงลำพัง เป็นครั้งแรกที่เธอเดินทางท่องเที่ยวโดยไม่มีแม็ค หรือบุคคลในครอบครัวหรือแม้แต่เพื่อนไปด้วย ความรู้สึกเหงาๆบังเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาที่เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากล้อง เธอเคยคิดว่าตัวเองชินกับชีวิตการอยู่เพียงลำพังคนเดียวเสียแล้ว แต่ก็อดรู้สึกขัดเขินไม่ได้ มันเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นโดยมิได้คาดฝัน ว่าตัวเองจะต้องยอมรับในความเป็นจริงบางประการ
“ยิ้มหน่อยครับ”
ช่างภาพเล็งกล้องอยู่ใกล้ๆ เพื่อถ่ายภาพ โคลส อัพ
ราเชลพยายามจะทำตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการถูกบังคับทำให้การแสดงออกดูจะแข็ง ๆ อย่างไรพิกล เสียงกริ๊งที่ดังขึ้นบอกให้รู้ว่ากล้องได้เก็บภาพของเธอไว้แล้วและช่างภาพก็ผงกศีรษะเป็นสัญญาณให้รู้ว่า การถ่ายภาพได้เสร็จสิ้นลงแล้ว รอยยิ้มของเขาเป็นรอยยิ้มของผู้ชายที่ได้พบเห็นผู้หญิงที่สวยถูกใจคนหนึ่งเข้า
ราเชลยิ้มน้อยๆ ให้เขาเป็นการสนองตอบ แต่รอยยิ้มนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็วขณะที่เธอก้าวเลยไป เพื่อเปิดโอกาสให้คู่สามีภรรยาที่เดินตามมาข้างหลัง เธออดกล่าวโทษความอ่อนไหวในอารมณ์ของตนเองที่เกิดจากการทำงานหนักไม่ได้ และเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปบนสะพาน เดินเรือ เธอเชื่อว่าหลังจากที่ได้พักผ่อนสัก 2 วัน เธอจะกลับเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง