บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

กริ๊งงงง...

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ส่งให้ผู้เป็นเจ้าของต้องชะงักมือที่กำลังจัดกระเป๋าเดินทางเพื่อเตรียมบินไปพบกับบิดามารดาที่เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาดูว่าใครเป็นคนโทร.วีดีโอคอลมาหา ใบหน้างามก็ระบายยิ้มกว้างรีบกดรับสายและเอ่ยทักทายมารดาในทันที

“สวัสดีค่ะแม่หมู หนูชมพู่กำลังจัดกระเป๋าเดินทาง ไม่เกิน 24 ชั่วโมง หนูชมพู่ก็ได้พบแม่หมูกับพ่อบลูแล้วค่ะ”

ด้วยคิดว่ามารดาโทร.มาหา เพื่อไถ่ถามเรื่องการเดินทางไปสมทบกับท่านที่เมืองเคปทาวน์ เพื่อท่องเที่ยวกับบุพการีทั้งสอง ‘กันติศา เอิร์สคามอน’ จึงรีบเอ่ยบอกเสร็จสรรพ แต่แล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่งกับคำพูดของมารดา

“หนูชมพู่ไม่ต้องบินมาเคปทาวน์แล้วลูก”

ปรีชยาพร หรือที่ลูกๆ มักจะเรียกจนติดปากตั้งแต่เด็กแล้วว่า ‘แม่หมู’ ได้เอ่ยบอกลูกสาวที่อยู่แดนไกลถึงเมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งแน่นอนว่าลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลเอิร์สคามอน กำลังจะบินมาสมทบกับท่าน เพื่อท่องเที่ยวด้วยกันในเมืองที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในทวีปแอฟริกาใต้ นั่นก็คือเมืองเคปทาวน์

กันติศาหยุดชะงักมือที่กำลังจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง พลางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอน คิ้วโก่งงามยังคงขมวดเข้าหากันให้ยุ่งขณะเอ่ยถามมารดาให้คลายความสงสัย

“ทำไมแม่หมูไม่ให้หนูชมพู่บินไปเคปทาวน์คะ หรือว่า...แม่หมูกับพ่อบลูกลัวว่าหนูชมพู่จะไปป่วนให้ปวดหัวเหมือนที่ผ่านๆ มา”

กันติศาถามมารดากลั้วเสียงหัวเราะร่วน รู้ว่าตัวเองแสบพอสมควร ชอบทำให้บิดาและมารดาต้องบ่นอุบไม่เลิกในยามที่มีเธออยู่ใกล้

และคราวนี้ก็มีเสียงห้าวทุ้มของบิดาเป็นผู้ตอบคลายความเข้าใจผิดของลูกสาว

“พ่อบลูกับแม่หมูไม่กลัวหรอกถ้าหนูชมพู่จะตามมาป่วนถึงเคปทาวน์ เพราะพ่อบลูก็คิดถึงหนูชมพู่เหมือนกัน แต่ที่แม่หมูบอกว่าไม่

ต้องมาเคปทาวน์แล้ว เพราะเราต้องเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยวอย่างกะทันหันต่างหากลูก”

“เปลี่ยนแผน” กันติศาทวนคำ พลางถามถึงแผนการที่บิดาได้เปลี่ยนอย่างฉับพลันทันด่วน “ทำไมพ่อบลูถึงได้เปลี่ยนแผนกะทันหันล่ะคะ หนูชมพู่กำลังจัดกระเป๋าเดินทางจะบินไปหาพ่อบลูกับแม่หมูในคืนนี้แล้ว”

“ที่พ่อกับแม่ต้องเปลี่ยนแผนแบบด่วนจี๋ก็เพราะว่าท่านชีคดาจิมได้โทร.มาหาพ่อบลูกลางดึก และทำให้พ่อบลูต้องเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยวและบินกลับประเทศไทยเป็นการด่วนจนไม่มีเวลาโทร.บอกหนู”

เพราะถูกเพื่อนรักอย่างท่านชีคดาจิม ราชิต เจ้าผู้ปกครองประเทศคานาร์ในดินแดนทะเลทราย ได้โทร.มาขอร้องเป็นการด่วน จึงทำให้

โดมินิทเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยวและทำตามคำขอร้องของท่านชีคดาจิมในทันที

ทางด้านของกันติศารู้จักกับท่านชีคดาจิมเป็นอย่างดี เพราะท่านชีคดาจิมเป็นพ่อทูนหัวของเธอกับภูมินิทผู้เป็นพี่ชาย และรู้ว่าหากท่านชีคดาจิมได้เอ่ยปากขอร้องบิดาให้เปลี่ยนแผนการท่องเที่ยว แสดงว่าต้องมีเรื่องด่วนจริงๆ

“ท่านชีคมีเรื่องด่วนอะไรหรือคะ ถึงทำให้พ่อบลูกับแม่หมูต้องบินกลับประเทศไทยเป็นการด่วน แล้วตอนนี้พ่อบลูกับแม่หมูถึงบ้านแล้วใช่ไหมคะ”

“ใช่จ้ะ แม่หมูกลับมาถึงบ้านได้หลายวันแล้ว และมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของพี่บลูจนไม่ได้ติดต่อหาหนูชมพู่สักที”

ผู้เป็นมารดาเอ่ยบอก เพราะได้รับสาสน์ด่วนจากท่านชีคดาจิม ทำให้เธอกับสามีต้องจัดการเรื่องยุ่งๆ เหล่านี้ให้เสร็จสิ้นกระทั่งไม่ได้ติดต่อหาลูกสาวเลย

“ไม่เป็นไรค่ะแม่หมู”

กันติศาคลี่ยิ้มขณะบอกมารดา ไม่คิดโกรธบุพการีทั้งสองที่เปลี่ยนแผนการท่องเที่ยวและบินกลับประเทศเป็นการด่วนจนไม่ได้โทร.บอกเธอ

แต่สิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในความคิดคืออะไรเป็นสาเหตุสำคัญให้บุพการีทั้งสองต้องบินกลับประเทศไทยอย่างเร่งด่วนที่สุด และก็เอ่ยถามอีกครั้งหลังจากยังไม่ได้รับคำตอบในครั้งแรก

“ท่านชีคโทร.หาพ่อบลูกับแม่หมูทำไมหรือคะ”

“หนูชมพู่จำเจ้าหญิงอลิลาได้ไหมลูก” ปรีชยาพรเอ่ยถามลูกสาว ยังไม่ตอบคำถามในก่อนหน้านี้ของลูก

และกันติศาก็พยักหน้ารับเมื่อภาพของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์และงดงามจนได้รับการยกย่องจากทั่วโลกว่าเป็นเจ้าหญิงแดนทะเลทรายที่สวยที่สุดในอันดับต้นๆ ได้แล่นเข้ามาในมโนภาพ จากนั้นก็ตอบมารดาว่า

“ชมพู่จำได้ค่ะ เจ้าหญิงอลิลาสวยมากค่ะ”

“ใช่แล้วลูก เจ้าหญิงอลิลางดงามมาก สัปดาห์หน้าเจ้าหญิงอลิลาจะเข้าพิธีอภิเษกกับคู่หมั้นที่เป็นมหาเศรษฐีชาวอเมริกา เป็นงานแต่งงานระดับประเทศ ซึ่งมีการอารักขาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก เพราะมีข่าวว่าจะมีการลอบฆ่ารัชทายาทของประเทศคานาร์ในวันอภิเษก”

ได้ยินคำตอบในตอนท้ายที่บิดาเป็นคนตอบแทนมารดา ซึ่งน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและติดกังวล ส่งให้กันติศานั่งไม่ติดเช่นเดียวกัน เพราะเธอรู้ว่าใครคือรัชทายาทของประเทศคานาร์

“เจ้าหญิงอลิยา ราชิต คู่หมั้นของพี่บลูกำลังตกเป็นเป้าหมายของคนร้าย”

กันติศาเอ่ยออกมาด้วยความเป็นกังวลไม่แพ้กัน และก็นึกถึงพี่ชายของตนว่าล่วงรู้ถึงเรื่องนี้หรือยัง

โดมินิทหันมามองสบตากับภรรยาซึ่งมีริ้วรอยของความเป็นห่วงถึงเจ้าหญิงอลิยา ผู้เป็นคู่หมั้นของลูกชาย จากนั้นก็เอ่ยบอกกับลูกสาวต่อ

“เหมือนที่พวกเรารู้ เจ้าชายพาเรล ราชิต โอรสของท่านชีคดาจิม ผู้เป็นรัชทายาทคนที่หนึ่งของประเทศคานาร์ ถูกลอบปลงประชนม์ระหว่างเดินทางไปสนามบินเพื่อบินกลับประเทศคานาร์ เมื่อไม่มีเจ้าชายพาเรลแล้ว เจ้าหญิงอลิยาต้องขึ้นปกครองประเทศแทนท่านชีคดาจิม และตอนนี้เจ้าหญิงก็กำลังตกเป็นเป้าหมายของคนร้าย ท่านชีคเป็นกังวลมากจึงอยากให้พี่ชายของหนูชมพู่เดินทางไปที่ประเทศคานาร์เป็นการเร่งด่วน และพ่อกับแม่หมูต้องไปบอกกับพี่บลูด้วยตนเอง พ่อจึงต้องเปลี่ยนแผนไม่อยู่เที่ยวเคปทาวน์ต่อแล้ว และพ่อโทร.มาบอกหนูชมพู่ว่าไม่ต้องบินมาหาพ่อกับแม่ที่เคปทาวน์แล้ว แต่ให้หนูบินกลับประเทศไทยเลย”

“ได้ค่ะพ่อบลู ชมพู่จะบินกลับประเทศไทยเลยค่ะ”

กันติศารับคำบิดา เปลี่ยนแผนการเดินทางแบบกะทันหันเช่นเดียวกับบุพการีทั้งสอง ส่วนเรื่องการทิ้งตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจที่จะบินไปเคปทาวน์ และซื้อตั๋วเครื่องบินใหม่สำหรับบินกลับประเทศไทยไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับลูกสาวของมหาเศรษฐีในตระกูลเอิร์สคามอน

แต่เมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว กันติศาก็เอ่ยถามความเห็นจากบุพการีทั้งสองว่า

“ถ้าชมพู่ไม่บินกลับประเทศไทย แต่บินไปหาพี่บลูที่ประเทศคานาร์ พ่อบลูกับแม่หมูคิดว่ายังไงคะ อนุญาตให้ลูกไปไหมคะ”

“อยากไปเซอร์ไพรส์พี่บลูใช่ไหม” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามอย่างรู้เท่าทันความคิดของลูกสาว

และกันติศาก็ตอบรับกลั้วเสียงหัวเราะ “ใช่ค่ะแม่หมู ชมพู่คิดถึงพ่อบลู แม่หมู แต่ก็คิดถึงพี่บลูด้วย และอยากบินไปเซอร์ไพรส์พี่บลูที่ประเทศคานาร์ พี่บลูต้องตกใจและดีใจแน่ๆ ที่เห็นน้องสาวคนนี้ไปหา”

“อืม...ว่ายังไงคะพ่อบลู ลูกสาวคนโปรดเอ่ยขอร้องแกมมัดมือชกแล้ว พ่อบลูจะปฏิเสธไหมคะ”

ปรีชยาพรหันมาเอ่ยถามสามีกลั้วเสียงหัวเราะ หลังจากได้ยินคำขออนุญาตจากลูกสาวที่เอ่ยขออนุญาตและตบท้ายด้วยคำพูดที่เป็นไม่ต่างจากการบังคับให้บิดามารดาต้องตอบตกลง

และโดมินิทก็ต้องหัวเราะร่วนกับคำสัพยอกของภรรยา ก่อนจะเอ่ยตอบลูกสาวผ่านโทรศัพท์ทั้งๆ ที่ยังหัวเราะอยู่

“ก็ลูกสาวสุดที่รักของแม่หมูพูดซะเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าตั้งใจจะไปเซอร์ไพรส์พี่บลูถึงดินแดนทะเลทราย พ่อบลูคงปฏิเสธไม่ได้แล้ว”

“เย้!!! ขอบคุณพ่อบลูกับแม่หมูมากค่ะ”

กันติศาแทบกระโดดขณะร้องเสียงดังด้วยความดีใจกับคำอนุญาตจากบิดา และก็ไม่ลืมเอ่ยขอร้องบุพการีทั้งสองต่อว่า

“พ่อบลูกับแม่หมู ห้ามบอกพี่บลูนะคะว่าชมพู่จะบินไปหาที่ประเทศคานาร์”

“โอเคลูก แม่หมูไม่บอกหรอก ไม่ยังงั้นก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ” ปรีชยาพรหัวเราะขณะบอกลูกสาวในประโยคท้าย

และผู้เป็นบิดาก็แสร้งกำชับเสียงเคร่งขรึมว่า “ห้ามป่วนพี่บลูมาก ห้ามทำให้ท่านชีคดาจิมและเจ้าหญิงอลิยาปวดหัวเพราะหนูชมพู่”

“เพราะแม่หมูขี้เกียจฟังคำบ่นเป็นหมีกินผึ้งจากพี่ชายของหนู ที่โทร.มาฟ้องแม่ไม่เว้นแต่ละวัน”

ปรีชยาพรเอ่ยต่อท้ายสามี เรียกเสียงหัวเราะร่วนได้จากสามีและตัวลูกสาวคนสวย ซึ่ง

ต่างก็ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะตอนเรียนอยู่ที่อเมริกาด้วยกันกับพี่ชาย เธอสร้างเรื่องวุ่นๆ ให้พี่ชายต้องปวดหัวและโทร.ไปรายงานให้บิดามารดาทราบแทบจะทุกวัน

“สัญญาค่ะว่าจะไม่ทำให้พี่บลู ท่านชีคและเจ้าหญิงอลิยาต้องปวดหัวมากมายเพราะหนูชมพู่”

กันติศาชูนิ้วทำท่าสัญญาผ่านกล้องโทรศัพท์มือถือให้บุพการีทั้งสองได้เห็น ซึ่งท่านทั้งสองต่างก็มองสบตากัน ก่อนจะส่ายหัวเพราะไม่เชื่อในคำสัญญาของลูกสาวคนนี้สักเท่าไร เพราะกันติศามีความสามารถทำให้พี่ชายปวดหัวได้ในทุกวัน ทว่า...ภูมินิทไม่เคยเบื่อหน่ายหรือดุน้องสาวคนนี้มากมาย เพราะภูมินิทรักและหวงน้องสาวของเขามาก...มากกว่าโดมินิทผู้เป็นบิดาซะอีก

“โอเค ถ้าหนูชมพู่สัญญาแล้วพ่อบลูก็วางใจได้นิดหน่อย แม้มั่นใจว่าพี่บลูต้องปวดหัวอย่างแน่นอนก็ตาม”

ผู้เป็นบิดาเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ เมื่อทุกอย่างลงตัวทั้งเรื่องของลูกชายและลูกสาว จึงบอกกับลูกสาวว่า

“ถ้ายังงั้นแค่นี้นะลูก พ่อบลูต้องไปทำงานก่อน พี่บลูบินไปประเทศคานาร์แล้ว พ่อต้องไปดูแลงานแทนพี่บลูสักพักใหญ่ๆ เอาไว้เจอกันที่ประเทศคานาร์เลย พ่อกับแม่จะบินตามไปเร็วๆ นี้เหมือนกัน”

“ค่ะพ่อบลู” กันติศารับคำ และก่อนจะกดวางสายการสนทนาก็ไม่ลืมบอกรักบุพการีทั้งสอง “ชมพู่รักพ่อบลู แม่หมูค่ะ และก็คิดถึงมากๆ ด้วยค่ะ”

“พ่อกับแม่ก็คิดถึงหนูจ้ะ”

ปรีชยาพรตอบรับ และก็ต้องหัวเราะด้วยความขบขำเมื่อลูกสาวได้ฝากความคิดถึงถึงคนอื่นๆ ด้วย

“ฝากความคิดถึงถึงน้าข้าวปุ้น อาคาเมลและน้องข้าวฟ่างด้วยนะคะ ไม่ได้เจอกันนานแล้วไม่รู้ว่าทุกคนคิดถึงชมพู่หรือเปล่า”

“ยิ่งกว่าคิดถึงจ้ะ โดยเฉพาะข้าวฟ่างบ่นทุกวันว่าเมื่อไรชมพู่จะกลับประเทศไทย รายนั้นมีแผนเต็มหัวที่จะพาชมพู่ไปเดินป่าด้วยกัน”

กันติศาอดหัวเราะไม่ได้เมื่อนึกถึงลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นลูกสาวของน้าสาวของเธอ ‘ข้าวฟ่าง’ เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของน้าณิชาดาและอาคาเมล ซึ่งข้าวฟ่างก็แก่นแก้วพอๆ กับเธอ แถมยังมีสไตล์การใช้ชีวิตที่เหมือนกันมากจึงเข้าขากันได้ดี และหากคราใดที่เธอกับข้าวฟ่างได้อยู่ด้วยกัน ทุกคนในครอบครัวต่างก็บ่นอุบแทบไม่เว้นแต่ละวัน

“บอกข้าวฟ่างด้วยนะคะว่าให้จัดโปรแกรมไว้เลยค่ะ ชมพู่กลับประเทศไทยเมื่อไรพวกเราจะไปเดินป่าท่องลำเนาไพรด้วยกันสักหนึ่งเดือน”

“เฮ้อ...ถ้าข้าวฟ่างได้ยินคงกระโดดตัวลอยแน่ๆ”

ผู้เป็นมารดาแสร้งถอนหายใจเสียงดัง จนกันติศาต้องหัวเราะร่วนด้วยความขบขำ และก็เอ่ยต่อท้ายมารดาว่า

“และน้าข้าวปุ้นกับคุณอาคาเมลก็บ่นอุบเป็นหมีกินผึ้ง ตบท้ายด้วยการแอบส่งบอดี้การ์ดให้ตามไปดูหนูชมพู่กับข้าวฟ่างอยู่ห่างๆ”

“รายนั้นหวงหนูชมพู่กับข้าวฟ่างซะยิ่งกว่าพ่อบลูอีก”

คราวนี้โดมินิทอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อพูดถึงความห่วงและหวงของลูกน้องมือขวาของตนคือคาเมล ซึ่งได้แต่งงานกับณิชาดา น้องสาวของภรรยาของเขา กระทั่งให้กำเนิดลูกสาวตัวน้อยที่น่ารักน่าชังและแก่นแก้วคือ ‘ณัฐธิดา’ หรือ ‘ข้าวฟ่าง’ ซึ่งมีอายุเท่ากันกับกันติศาลูกสาวของตน แต่ข้าวฟ่างอายุน้อยกว่าแค่แปดเดือนเท่านั้น

“โอเค แค่นี้นะลูก พ่อบลูขอไปทำงานก่อน” โดมินิทบอกลูกสาวอีกครั้งหลังจากหลุบมองเวลาเห็นว่าสายมากแล้ว

“ส่วนแม่หมูก็จะไปวัดไปเยี่ยมหลวงพ่อ หลังจากไม่ได้ไปเยี่ยมท่านนานแล้ว” ปรีชยาพรเอ่ยบอกลูกสาวบ้าง

“ค่ะแม่หมู...ชมพู่รักพ่อกับแม่ค่ะ”

กันติศาคลี่ยิ้มหวานให้กับบิดามารดา ก่อนที่ท่านจะตัดสายวีดีโอคอล เมื่อวางสายจากบุพการีทั้งสองแล้ว ก็นั่งมองกระเป๋าเดินทางอยู่ชั่วครู่ จากที่คิดว่าต้องรื้อเสื้อผ้าเก็บไว้ในตู้เสื้อ ผ้าเหมือนเดิมก็ไม่ต้องแล้ว สามารถจัดกระเป๋าเดินทางต่อได้เลย เพราะเธอก็เปลี่ยนแผนแบบกะทันหันเหมือนกัน เธอจะบินไปประเทศคานาร์เพื่อไปเซอร์ไพรส์พี่ชายสุดหล่อ...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel