บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 ขับรถครั้งแรก

เห็นสามีชักช้ามาลีจึงดึงหลอดพลาสติกออกมาเจาะกล่องนมให้แล้วส่งให้เขาอีกครั้ง เขาจึงยอมรับไปดูดแบบงง ๆ

“เด็ก ๆ มาขึ้นรถเร็ว” ลูกทั้งสองเดินมาใกล้เธอ มาลีจึงอุ้มลูกขึ้นรถทีละคน “ไปแล้วนะคะแม่” มาลีหันไปบอกแม่สามีอย่างอารมณ์ดี ซึ่งต่างจากมาลีคนก่อนโดยสิ้นเชิง ขานั้นเอาแต่ทำหน้าบึ้งและบังคับให้ผัวทำงานทั้งวัน

“เออ ๆ” ฟั่นมองตามอย่างงง ๆ เหมือนกัน เหมือนลูกสะใภ้เธอจะเปลี่ยนไปนิด ๆ มาลีไม่โกรธเลยหรือไงทั้งที่เธอเพิ่งไล่ออกจากบ้าน

เคนเคลื่อนรถอีแต๊กออกไปอย่างช้า ๆ โดยมีมาลียืนสังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง ส่วนลูกทั้งสองนั่งกินขนมอยู่ในกระบะรถที่มีเสื่อปูรองอย่างสนุกสนาน เป็นครั้งแรกที่ทั้งสี่คนได้ไปนาพร้อมกัน

มาลีพอเข้าใจการขับรถอีแต๊กแล้วจึงพูดขึ้น “ฉันขอลองขับบ้าง”

เคนลุกออกจากเบาะนั่งแล้วให้ภรรยาไปนั่งแทน เขาก้าวขาเข้ามายืนด้านในกระบะ มือข้างหนึ่งยังช่วยภรรยาจับหางรถไถไว้มั่น

“ถ้าจะเลี้ยวก็กำเบรกแล้วก็เลี้ยวแบบนี้นะ” เคนสาธิตการเลี้ยวตรงทางโค้งให้ภรรยาดู

มาลีพยักหน้าหงึกหงัก แต่การที่มีคนตัวสูงมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังในระยะประชิดเช่นนี้มันทำให้เธอใจสั่น มือสั่นเล็กน้อย

ไหนบอกว่าให้รักษาระยะห่างไง ทำไมถึงเข้ามายืนใกล้แบบนี้ล่ะ

เคนถอยห่างออกไปแล้ว เมื่อเห็นเมียขับรถอีแต๊กได้คล่อง

มาลีแอบยิ้มคนเดียว ตื่นเต้นที่ตัวเองขับรถอีแต๊กได้เร็ว มันขับง่ายกว่ารถยนต์เสียอีก บางครั้งการได้กลับมาใช้ชีวิตแบบบ้าน ๆ แบบนี้อีกครั้งมันก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้ามาแบบโสด ๆ ก็คงไม่ต้องกังวลว่าต้องอยู่อย่างไร แต่นี่พ่วงสามีขี้โรคกับลูกน้อยทั้งสองมาด้วย ในชีวิตต่อจากนี้ก็ต้องมีพวกเขาอยู่ด้วยตลอด อย่างน้อยเธอก็ผ่านชีวิตช่วงวัยรุ่นมาแล้ว และทำงานมาอย่างหนัก ประสบการณ์ก็มากพอสมควร เธอคิดว่าเธอจะผ่านมันไปได้ไม่ยากนัก

มาลีขับรถอีแต๊กไปตามทางเรื่อย ๆ หัวแต่ละคนสั่นด๊อกแด๊ก ๆ ไปมาตลอดทางคล้ายกับตุ๊กตาหัวสั่นที่ติดไว้หน้ารถยนต์ บางจังหวะทางขรุขระมากดูเหมือนว่าไส้ข้างในท้องจะเคลื่อนที่ไปด้วย

เฮ้อ! หมดกันชีวิตนางพยาบาลสุดสวย ตอนนี้กลายเป็นนางม่วยขี้เมาขับรถอีแต๊กไปแล้ว จะแก้ตัวก็คงแก้ไม่หวาดไม่ไหว ต้องปล่อยไปตามน้ำอย่างเดียว

ทั้งสี่มาถึงนาเกือบสิบโมง ทุกคนที่นั่งเลี้ยงควายอยู่ต่างมองมาด้วยความสงสัย เหตุใดมาลีถึงเป็นคนขับรถอีแต๊ก และทำไมเธอถึงออกมานาได้ทั้งที่เมื่อคืนเธอเมาหนักและหัวแตกด้วย ปกติถ้าเมาแล้วผู้หญิงคนนี้จะนอนตื่นตอนบ่ายหรือไม่ก็เย็น

มาลีถือตะกร้ากับข้าวขึ้นไปไว้บนเถียงนาเมื่อจอดรถเสร็จ

“พี่เคนก็มาด้วยเหรอครับ” สำเริงน้องชายที่อายุห่างกันสามปีเอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงเถียงนา ทุกคนในบ้านย่อมรู้ดีว่าเขาไปไหนมาไหนได้ไม่ค่อยไกลนัก

“อือ อยากมาดูหน่อไม้ไปขายด้วย” นานกว่าสัปดาห์แล้วที่ฝนตกหนักก่อนที่จะมีงานบุญที่บ้าน เขาคิดว่าหน่อไม้คงโผล่พ้นดินขึ้นมามากแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะได้ตัดไปขาย เพราะเขาคิดว่าเงินที่เหลืออยู่กับภรรยาคงมีไม่มากแล้ว เขาต้องเร่งหาเงินโดยเร็วที่สุด

“ฉันขอไปด้วยนะคะ”

“หนูไปด้วยนะคะพ่อ”

“ผมไปด้วยครับ”

เคนมองภรรยากับลูกด้วยความงุนงงสุด ๆ เหตุการณ์ที่เขากับภรรยาพร้อมกับลูกอีกสองคนจะไปหาอยู่หากินด้วยกันมันไม่เคยเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“เดี๋ยวฉันไปช่วยถือค่ะ เผื่อพี่หิ้วกลับมาไม่ไหว” คิดแล้วก็อยากกินแกงหน่อไม้น้ำข้น ๆ ใส่ชะอมกลิ่นหอม ๆ ถ้าได้จริง ๆ เธอจะทำกินคืนนี้แหละ

“ไปก็ไป” ในเมื่อทุกคนอยากไปเขาก็จะไม่ห้าม แต่เข้าไปในป่าไผ่มีทั้งยุงทั้งริ้นเต็มไปหมด เคนหันมาพูดกับสำเริง “ฉันไปดูหน่อไม้ก่อนนะ”

“ครับ”

ป่าไผ่ขนาดใหญ่กว่าสิบไร่เป็นป่าไผ่ธรรมชาติที่อยู่ติดกับนาพ่อ ใครจะไปหากินหาขายก็ได้ทั้งนั้น ซึ่งแต่ละปีจะมีหน่อไม้ขึ้นตั้งแต่ฝนแรก ยาวไปจนเกือบถึงต้นฤดูหนาวถ้าฝนไม่ขาดช่วง คนที่ขยันก็สามารถทำเงินได้จากไผ่ป่านี้ได้มากเช่นกัน

เคนเดินไปถือกระติกน้ำและถุงย่ามห่อข้าวที่เตรียมมาด้วยพร้อมเสียมหนึ่งเล่ม “เอื้อถือตะกร้าใบนี้ให้พ่อหน่อย” เคนยื่นตะกร้าไม้ไผ่ใบเปล่าให้ลูก ในนั้นมีย่ามที่ทำจากกระสอบปุ๋ยอีกหนึ่งใบ “ไม้คานด้วย”

“ครับ”

“ฉันถือกระติกน้ำกับห่อข้าวให้ดีกว่าค่ะ” แค่เดินอย่างเดียวเขาก็จะไม่รอดแล้ว

ถึงแม้จะแปลกใจกับความเปลี่ยนแปลงของภรรยาแต่เขาก็ไม่พูดอะไร เธออาจจะขอโอกาสกับเขาจริง ๆ ก็ได้ “งั้นก็ตามใจ” ภรรยาสะพายถุงห่อข้าวและหิ้วกระติกน้ำเดินตาม ส่วนเขาถือตะกร้า มีด และเสียม เดินนำหน้า เอื้อแบกไม้คานวิ่งตามหลังพ่อไปติด ๆ

พี่ชายพาลูกกับเมียเดินไปหาหน่อไม้แล้ว สำเริงจึงเดินหิ้วกระติกน้ำและห่อข้าวไปหาภรรยาและน้องสาวที่กำลังนอนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่

“ลุงเคนจะพาลูกเมียไปไหนเหรอคะ” ดอกคูณถามสามีด้วยความแปลกใจ

“ไปหาหน่อไม้”

“พี่สะใภ้มานาด้วยเหรอคะ” อรสาน้องสาววัยยี่สิบสามปีงัวเงียตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงดอกคูณกับสำเริงคุยกัน

“อือ ไปหาหน่อไม้กับพี่เคนด้วยนะ”

“วันนี้ฝนอาจจะตกหนัก” ขนาดวันธรรมดามาลียังมานายากเย็น แต่นี่ทั้งเมาค้างทั้งหัวแตกเธอยังถ่อสังขารมาได้

“โดนแม่บังคับมั้ง ก็แกไม่เอาข้าวมาด้วยนี่ แล้วพวกเราจะกินอะไร” สำเริงว่าให้น้องสาว

“ก็ฉันกลัวโดนพ่อด่าไง แล้วทำไมพี่ไม่รอเอามาด้วยเล่า”

“ฉันก็กลัวเหมือนกัน”

ลูกทุกคนล้วนกลัวกำพล ยิ่งถ้าไปเที่ยวงานแล้วไม่มาทำงาน เขาจะด่าจนไม่มีที่อยู่เลยทีเดียว เมื่อคืนพวกเขากลับจากดูหมอลำเกือบเช้า จึงไม่กล้านอนต่อเพราะกลัวไม่ตื่น พวกเขาจึงพากันไล่ควายออกมาแต่เช้ามืด แต่ก็พอที่จะรู้เรื่องของพี่สะใภ้กับสกล

“สงสารพี่เคนนะพี่” อรสาหันหน้าไปคุยกับพี่ชาย

“อย่าไปยุ่งเลยพี่เคนเขาก็รักของเขา” ทุกคนก็ได้แต่สงสาร แต่เรื่องของผัวเมียมันเข้าไปตัดสินใจแทนกันไม่ได้

“เมื่อไรพี่สะใภ้จะคิดได้ก็ไม่รู้” ความจริงทุกคนในบ้านไม่มีใครรังเกียจมาลีเลย แต่เธอก็ทำตัวเองทั้งนั้น พ่อปู่แม่ย่าถึงไม่ค่อยปลื้มเท่าไรนัก ก่อนที่เคนจะไปทำงานที่ไต้หวันมาลีก็ยังไม่ทำตัวเหลวไหลขนาดนี้ แต่หลังจากที่สามีไปทำงานที่ไต้หวัน พอมีเงินมีทองมากขึ้นนิสัยเธอก็เปลี่ยนไปเลยและถึงแม้สามีจะกลับจากไต้หวันแล้ว เธอก็ยังทำนิสัยแย่ ๆ เหมือนเดิม
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel