บทย่อ
เธอตื่นขึ้นมาในร่างใหม่ก็โดนสามีบอกเลิกซะแล้ว ได้สิถ้าเขาต้องการอย่างนั้นเธอก็ไม่ขัดข้อง แต่ลูกทั้งสองที่นั่งกอดคอกันร้องไห้นี่สิทำให้เธอตัดสินใจได้ยากยิ่ง
ตอนที่ 1 ผีเร่ร่อนดูหมอลำ
กลางเดือนมีนาคมปีสองพันห้าร้อยสี่สิบ วันนี้เป็นงานบุญประจำปีหรือบุญพระเวสสันดรของหมู่บ้านคำม่วง เสียงเพลงโบว์รักสีดำกำลังถูกบรรเลงขึ้นอย่างสนุกสนาน ขับร้องโดยนักร้องหญิงของหมอลำคณะ ‘ล้มลุกคลุกคลานบันเทิงศิลป์’ เหล่าบรรดาชายหญิงที่กินเหล้าจนเมาได้ที่ต่างลุกขึ้นไปเต้นหน้าเวทีจนฝุ่นตลบ
“สนุกไหม” ชายร่างใหญ่บึกบึนเอ่ยถามมะปรางที่เป็นผีเร่ร่อนมาเกือบหนึ่งเดือน เธอกำลังนั่งหย่อนขาทำหน้าซังกะตายดูหมอลำอยู่บนกิ่งต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ข้างศาลาการเปรียญในวัด
หึ ถามได้ว่าสนุกไหม ดูหน้าก็รู้แล้วมั้ง มะปรางบ่นในใจ
“ก็ดีกว่าไม่มีอะไรให้ดูค่ะ” ถึงเธอจะเป็นคนอีสานแต่เธอก็ไม่สันทัดเรื่องหมอลำสักเท่าไร ถ้าให้ดูช่วงที่หมอลำเต้นโชว์การแสดงและช่วงตลกเธอก็พอดูได้ แต่ถ้าจะให้ดูช่วงลำเรื่องต่อกลอนเธอคงเข้าไม่ถึง ดวงตากลมแหงนมองยมทูติหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านยมพาข้ามาที่นี่ทำไมคะ” นี่มันไม่ใช่ยุคปัจจุบันที่เธอเคยอยู่เลยสักนิด
“หาร่างให้เจ้าอยู่ยังไงล่ะ”
“ฮะ! หาร่างให้ข้าอยู่” มะปรางถามเสียงสูงแต่คนตัวใหญ่ยังวางหน้านิ่ง
“อืม!”
“ที่นี่อะนะ”
“ใช่” ก็ตลอดเวลาเกือบเดือนที่เขาหาร่างใหม่ให้เธอ เธอก็ไม่เคยพอใจสักร่าง อ้วนบ้างละ ไม่สวยบ้างละ ผิวดำบ้างละ ฟันเหยินบ้างละ ตอนนี้คงไม่มีร่างให้เลือกอีกแล้ว เพราะอย่างไรก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องไปเกิดใหม่แล้ว
มะปรางทำท่าทางผะอืดผะอม “เอาเถอะ ยังไงก็ขอคนสวย ๆ หน่อยก็แล้วกัน” มะปรางพูดอย่างปลง ๆ อย่างไรเธอก็ไม่สามารถกลับเข้าไปอยู่ในร่างเดิมได้อีกแล้ว เหตุเพราะยมทูติทำงานผิดพลาด พาวิญญาณเธอออกจากร่างก่อนกำหนด กว่าทางนรกจะตรวจสอบประวัติเธอเสร็จ ร่างของเธอในยุคปัจจุบันก็โดนเผาเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว
รับรู้ได้ถึงน้ำเสียงเนือย ๆ ของอีกฝ่ายยมทูติจึงเอ่ยถาม “เจ้ายังโกรธข้าอยู่อีกรึ”
“แน่นอนสิ ก็เพราะท่านคนเดียวที่ทำให้ข้าต้องกลายมาเป็นผีเร่ร่อนแบบนี้” มะปรางว่าเสียงเง้างอน
“แหม…ก็แค่เอาวิญญาณเจ้ามาก่อนอายุขัยแค่เดือนเดียวเอง ก็ดีแล้วไม่ใช่รึเจ้าจะได้ไม่ต้องทรมานไง”
“อือ ก็ดี แต่ข้าขอไปเป็นยมทูติกับท่านไม่ได้รึ” มะปรางต่อรอง เพราะตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ยมทูติหนุ่มคนนี้คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอด การที่ยมทูติให้เธอตายก่อนวัยอันควรมันก็ดีไปอย่าง เพราะเธอป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย ซึ่งก็ใกล้จะลาโลกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และการนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นก็เป็นอะไรที่ทรมานสุด ๆ
“ไม่ได้” ยมทูติพูดขึ้นเสียงแข็ง
“แต่ข้าทำงานเก่งนะ” มะปรางยังไม่ย่อท้อ เธอเป็นถึงพยายาบาลชำนาญการเชียวนะ ถึงอายุขัยสุดท้ายเธอจะอายุสี่สิบปีแล้วแต่เธอก็ยังหน้าเด็กผิวขาวผ่องเป็นยองใยเหมือนกับหญิงสาววัยยี่สิบปลายเท่านั้น
“เขารับแต่ผู้ชาย” ท่านยมทูติทำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ มือใหญ่ถอดต่างหูโบราณออกมาจากหูตัวเองทั้งสองข้างแล้วยื่นให้หญิงสาวพร้อมเอ่ยต่อ “เอ้านี่ เจ้าเอาสิ่งนี้ไป ถือว่าข้าไถ่โทษที่ทำผิดต่อเจ้าก็แล้วกัน สิ่งนี้แม่ข้าให้มาก่อนที่ข้าจะไปเป็นยมทูติที่นรก”
มะปรางทำหน้าหงอย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันคงสำคัญกับท่านมาก” แม่เขาอุตส่าห์ให้มาเธอจะรับไว้ได้อย่างไร และความผิดของเขาเธอก็ไม่ได้ติดใจเอาความแล้ว
“รับไว้เถอะน่า ถึงข้าเก็บไว้ข้าก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์” นรกไม่จำเป็นต้องมีสิ่งของมีค่าใด ๆ ทั้งสิ้น
มะปรางชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะรับมาและกล่าวขอบคุณด้วยความเกรงใจ
ยมทูติทำท่าเตรียมจะจากไป
“ท่านจะไปแล้วเหรอ” มะปรางมองเขาตาละห้อย ต่อไปนี้เธอคงไม่มีเพื่อนคุยแล้ว
“อือ ข้าต้องไปทำงานแล้ว เสร็จงานนี้ข้าก็ต้องไปรับโทษที่ข้าทำผิดต่อเจ้าไว้” ถ้าท่านยมทูติพูดเช่นนี้ก็แสดงว่ากำลังจะมีคนสิ้นอายุขัย
“ท่านต้องรับโทษอย่างไรบ้างรึ” มะปรางเอียงคอถาม
“ยืนคนกระทะทองแดงร้อน ๆ โดยไม่มีวันหยุดเป็นเวลาหนึ่งเดือนเท่ากับเวลาที่ข้าเอาวิญญาณเจ้ามานั่นแหละ” อุณหภูมิกระทะทองแดงสูงกว่าหนึ่งพันองศาเซลเซียส ใครกันอยากจะไปยืนอยู่นาน ๆ ผิวเสียแย่
“ข้าไม่มีท่าน ข้าคงเหงา”
“เจ้าจะไม่มีเวลาได้เหงาเลยละ ข้าต้องไปรับวิญญาณแล้ว” สิ้นคำร่างสูงใหญ่ผิวสีเข้มก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา
นักร้องนำหญิงกำลังร้องเพลงโบว์รักสีดำท่อนสุดท้ายพอดี ทันใดนั้นหน้าเวทีก็เกิดเหตุลชุลมุนวุ่นวายขึ้น เหตุเพราะมีวัยรุ่นเต้นเหยียบเท้ากันการตีกันจึงได้เริ่มต้นขึ้น ทั้งขวดแก้วทั้งท่อนไม้ปลิวว่อนอยู่ในอากาศ เสียงคนหวีดร้องกันดังระงม บ้างดึงแขนลูกที่กำลังหลับอยู่ยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว บ้างเก็บเสื่อที่ใช้ปูนั่งแล้วพากันเตรียมกลับบ้าน หมอลำก็หยุดทำการแสดงทันที
ขวดแก้วขนาดบรรจุหนึ่งลิตรใบเปล่าที่ใช้บรรจุน้ำสีใสสี่สิบดีกรีลอยไปปะทะศีรษะของหญิงสาวที่กำลังเต้นมั่วอยู่กับชายหนุ่มอีกหลายคนที่หน้าเวทีอย่างแรง คนกลุ่มนั้นไม่ได้สนใจอะไรเลยว่าตอนนี้กำลังมีคนตีกัน
“โอ๊ย!” สิ้นเสียงของผู้หญิงคนนั้นเธอก็ล้มลงกับพื้นดินที่มีคนกำลังวิ่งหลบขวดกันให้วุ่น ศีรษะของเธอเหนือท้ายทอยขึ้นมามีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก
ไม่ถึงสองนาทีวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นก็ออกจากร่าง พอเห็นยมทูติยืนอยู่ตรงนั้นมะปรางก็มายืนดูเช่นกัน ปกติเธอชอบดูยมทูติทั้งหลายทำงาน ซึ่งตอนนี้ก็มาเพิ่มอีกสองตนแล้ว