ตอนที่ 5 ไม่ใช่ม่วยคนเดิมแล้ว
มาลียืนมองเด็กทั้งสองด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เธอไม่เคยมีลูกก็จริง แต่หัวใจเธออ่อนโยนยิ่งกว่าอะไร เห็นพวกเขาร้องไห้แล้วเธอจะทนได้อย่างไร เคนก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขาไม่รู้ว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือไม่ แต่ถ้าเขาไม่ทำเช่นนี้เขาก็จะต้องทนเจ็บแบบเดิมซ้ำ ๆ อยู่อย่างนี้เรื่อยไป ใจเขาทนเจ็บต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว สู้เจ็บครั้งเดียวแล้วจบไม่ดีกว่าหรือ
มาลีหันมาหาสามีที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันว่าเราพักเรื่องหย่าไว้ก่อนดีไหมคะ แล้วฉันจะลองคุยกับลูกเรื่องนี้อีกครั้ง” อาจจะใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีหรืออาจจะนานกว่านั้นกว่าพวกเขาจะเข้าใจ และตอนนี้เคนก็ป่วยบ่อยร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เดินไปนาเดินกลับเองยังยากแล้วจะเอาแรงที่ไหนไปทำมาหาเลี้ยงลูก
คนตัวใหญ่รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้นแต่ก็ต้องเก็บทรงไว้ก่อน “…ได้ แต่ช่วงนี้เราควรทำตัวห่างกันมากขึ้นนะ” มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะเขาจะได้ทำใจได้เร็วขึ้น
“…ได้ค่ะ” เรื่องนี้เธอไม่เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว ดีเหมือนกันเธอก็ยังไม่ชินกับการอยู่ใกล้ผู้ชายเท่าไรนัก และการที่ลูกทั้งสองเห็นพ่อกับแม่เริ่มห่างกันพวกเขาก็จะชินชาไปเอง และอาจจะยอมรับได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องอธิบายเลยด้วยซ้ำ
ว่าจบมาลีก็เดินไปหยิบผ้าขนหนูที่อยู่บนราวตากผ้า แล้วเดินลงเรือนไปตักน้ำในบ่อปูนขึ้นมาอาบ เธออาบน้ำอยู่โอ่งด้านนอกใกล้กับบ่อน้ำ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนอีสานในยุคนี้เธอเคยสัมผัสมาก่อน จึงไม่ยากที่เธอจะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ แต่บ้านแบบตูบต่อเล้าเธอไม่เคยอยู่ แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องอยู่ เพราะถึงอยากออกจากร่างนี้มากแค่ไหนเธอก็คงทำไม่ได้ นอกจากเธอจะตายเท่านั้น และแน่นอนเธอจะไม่มีวันฆ่าตัวตายอย่างเด็ดขาด
มาลีเลือกเสื้อผ้าที่มีอยู่มากขึ้นมาสวม เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเตรียมจะขึ้นไปบนเรือนใหญ่เพื่อเอาอาหารออกไปส่งน้องสามีที่ไปเลี้ยงควายก่อนแล้ว ป่านนี้พวกเขาคงนอนรอแล้วกระมัง เพราะเมื่อคืนก็ไปดูหมอลำกันจนดึกดื่นเหมือนกัน
“เธอจะไปไหน” เคนเอ่ยถามภรรยา
“ไปนาค่ะ” ถึงจะยังมึนศีรษะอยู่บ้างแต่ก็พอทนได้ ไปถึงนาแล้วค่อยนอนพักก็แล้วกัน เพราะถ้าเธอไม่ไปพวกน้อง ๆ ของเขาก็คงไม่มีข้าวกิน
“เดี๋ยวพี่ไปด้วย” ปกติถ้าเธอเมาค้างก็อย่าหวังว่าจะมีใครได้กินข้าวจากเธอ
“หนูไปด้วยค่ะ”
“ผมไปด้วยครับ”
ลูกทั้งสองปาดน้ำตาแล้วขอตามไปด้วย
“พี่เคนเดินกลับไหวเหรอคะ” ความจำเดิมบอกเธอว่า เขาเดินไปนาและหอบไปตลอดทาง และต้องนั่งพักหลายครั้งกว่าจะถึงนา
“วันนี้พี่จะเอารถอีแต๊กไปก็แล้วกัน” ปกติถ้าไม่มีอะไรให้บรรทุกของหนัก ๆ กำพลจะไม่ยอมให้ลูกคนไหนใช้รถอีแต๊กเด็ดขาด ช่วงนี้มีแต่เลี้ยงควายอย่างเดียวยิ่งแตะไม่ได้เลย แต่ครั้งนี้เคนจำเป็นต้องใช้มัน
“รถอีแต๊กเหรอคะ” มาลียืนคิดถึงรูปร่างหน้าตาของรถอีแต๊กอยู่ครู่หนึ่ง
อ้อ รถที่เอารถไถนาเดินตามมาต่อพ่วงเข้ากับสิ่งที่คล้ายกับเกวียนไม้นั่นเอง แต่ด้านข้างจะเตี้ยกว่าเกวียนมาก
“อือ แต่เธอต้องกินข้าวก่อน”
มาลีมองถ้วยข้าวต้มที่อยู่ในมือเขาแล้วก็รู้สึกผะอืดผะอม แต่เธอจะลองซดน้ำข้าวต้มร้อน ๆ ดู เผื่ออาการจะดีขึ้น อีกอย่างเธอจะได้กินยาที่หมอให้มาด้วย แต่ตอนนี้อาการเธอก็ดีขึ้นมากแล้ว ร่างกายผู้หญิงคนนี้แข็งแรงจริง ๆ
กินข้าวเสร็จมาลีเดินไปร้านค้าในหมู่บ้านกับลูก ๆ เพื่อซื้อน้ำแข็งหลอดใส่กระติกออกไปนาด้วย เพราะช่วงเดือนสามถึงเดือนห้าอากาศที่นี่จะร้อนมาก
พอเจ้าของร้านขายของชำเห็นหน้ามาลีก็รีบทักขึ้นทันที “ฟื้นแล้วเหรอม่วย” ข่าวที่ว่าเธอโดนลูกหลงจนสลบเมื่อคืนชาวบ้านลือกันให้แซด รวมถึงที่เธอควงสกลไปดูหมอลำด้วย พอเมาได้ที่หน่อยความกล้าของเธอคงมากตามไปด้วย แม้แต่ผัวเธอก็ไม่สนใจ
“ค่ะป้าศรี”
“วันนี้เอากี่เป๊กดี” สมศรีถามพลางหยิบขวดเหล้าขาวที่วางอยู่บนโต๊ะมาเตรียมพร้อม มืออีกข้างคว้าแก้วใบเล็กสำหรับตวงเหล้าขายมาเคียงข้าง
มาลียิ้มแหยให้แล้วว่าไปตามน้ำ แค่คิดถึงเหล้าขาวก็รู้สึกแสบคอรอแล้ว “วันนี้ไม่เอาดีกว่าค่ะ ฉันอยากพักตับมันบ้างน่ะ เมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย”
“แล้วบุหรี่ล่ะ เอากี่ตัวดี”
“ไม่เหมือนกันค่ะ วันนี้จะมาซื้อน้ำแข็งและก็ขนมให้เด็ก ๆ ก็พอค่ะ”
สมศรีทำหน้างงหนักขึ้นและมองหน้ามาลีอย่างไม่เชื่อสายตา เหล้าก็ไม่ บุหรี่ก็ไม่ เป็นไปได้อย่างไรที่วันนี้เธอจะไม่ได้เงินค่าเหล้าค่ายาจากลูกค้าประจำคนนี้