9. งานเลี้ยงหรือเปิดตัว
เมื่อได้ยินคำสั่งชิงหมิงจึงรีบกลับไปที่ห้องทันที มือ
เรียวกุมมือภรรยาพร้อมกับเดินไปขึ้นรถม้า ทำเอาจินเยว่ตกใจไม่น้อยที่อีกคนดูแลดีเช่นนี้ ไม่ต่างจากคนสนิททั้งสองของแม่ทัพ ที่วันก่อนได้ยินแม่ทัพบอกจะเอาคืนสตรีที่ย้อมแมวหลอกแต่งงานกับตน
“จินหยางท่านแม่ทัพกำลังทำในสิ่งที่เอ่ยไว้ใช่หรือไม่”
“คงใช่มั้ง อาจจะทำให้นางตายใจแล้วค่อยเชือดทีหลังก็ได้ ข้าคิดเช่นนั้น”
“นั่นสิ คนอย่างท่านแม่ทัพหรือที่จะแพ้ให้หญิงงาม”
สองสหายเอ่ยพร้อมกับหัวเราะออกมา ต่างจากผู้ที่อยู่บนรถม้า เพราะกำลังจับคนตัวเล็กขึ้นมานั่งบนตักราวกับเด็กน้อย ทำเอาจินเยว่ถึงกับอายจนแก้มแดง
“เป็นไร อายข้าเช่นนั้นหรือ”
“ท่านก็ปล่อยข้าลงนั่งดีๆ สิ ทำไมต้องอุ้มไว้เช่นนี้ด้วย”
“กลัวเจ้าหนาวชุดที่เจ้าใส่มันบาง อีกทั้งยังมองเห็นเนินเนื้อนี่อีก ข้าหวง”
คำสุดท้ายของสามีทำให้จินเยว่ต้องเงยหน้าสบตาทันที จึงทำให้อีกคนได้โอกาศฉกฉวยริมฝีปากอิ่มไปครอบครองอย่างง่ายดาย
“อื้ออ อ่อย” เสียงครางประท้วงมิได้ผลเลยสักนิด มีแต่จะเพิ่มความละมุนขึ้นไปอีกเมื่อลิ้นร้อนเริ่มดุนดันเข้าด้านใน ความหวานละมุนยามลิ้นของทั้งคู่สัมผัสกัน
ทำเอาแม่ทัพหนุ่มแทบคลั่งเมื่อยิ่งได้ดูดดึง อ้อมแขนแกร่งกอดรัดร่างเล็กจนแทบจะกลายเป็นร่างเดียวกัน ต่างจากคนตัวเล็กที่อ่อนแรงเพราะจูบเนิ่นนานของสามีที่มอบให้
“หวานแบบนี้คงต้องเติมทุกวันเสียแล้ว”
“ใครเขาจะให้ทำเช่นนี้อีกกันปล่อยเลยนะ ทำไมถึงชอบรังแกข้านัก ท่านมิชอบข้าก็ควรต่างคนต่างอยู่สิ”
“ใครบอกว่าข้าไม่ชอบเจ้า นั้นมันเป็นเมื่อก่อน”
“ท่านอย่ามาหลอกเลยดีกว่าเพราะข้ารู้หมดแล้ว”
เมื่อรู้ตัวว่าตนหลุดบางสิ่งออกมาจึงทำให้จินเยว่รีบเอามือปิดปากตนเองไว้ทันที ซือหลางหรี่ตามองก่อนจะเชยคางคนตัวเล็กขึ้น
“เจ้ารู้อะไรไหนบอกมาสิ ถ้าไม่บอกคืนนี้ข้าจะเข้าหอกับเจ้า รู้ใช่ไหมว่าอย่างไรก็ไม่มีทางหนีพ้น”
จินเยว่ชะงักไปอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นเสียงอ่อย
“ข้าได้ยินพี่สองคนคุยกันว่า ท่านแม่ทัพแกล้งทำดีเพื่อให้ตายใจหลังจากนั้นจะจัดการกับข้า”
เมื่อได้ยินภรรยาเอ่ยเช่นนั้น แขนแกร่งก็กอดรัดอีกคนแน่นขึ้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบาเช่นกัน
“ข้าจะไม่ทำเช่นนั้น เมื่อก่อนคิด แต่จะไม่ทำแล้ว เจ้าอย่าเอาคำพูดพวกนั้นมาใส่ใจเลยนะ”
“ถึงท่านทำข้าก็ไม่โกรธหรอก เพราะมันก็สมควรแล้วอย่างไรเสียคนเช่นข้าก็ต้องอยู่กับมันให้ได้”
“ใยเจ้าถึงเอ่ยเช่นนี้ ก่อนแต่งงานเจ้าเจอเรื่องใดมา”
ยังไม่ทันที่อีกคนจะตอบ รถม้าก็หยุดลงที่หน้าทางเข้าวังเสียก่อน ซือหลางจึงจำต้องพาฮูหยินลงจากม้า แต่ก็มิลืมที่จะเอ่ยย้ำกับคนตัวเล็ก
“เอาไว้เสร็จสิ้นงานเลี้ยงแล้วเราคงต้องคุยกันยาว เจ้ามีสิ่งใดปิดบังข้าต้องเอ่ยออกมาให้หมดเข้าใจหรือไม่”
อีกคนเพียงแต่พยักหน้ารับเท่านั้น พอลงจากรถม้าทั้งสองก็เดินเข้าวังหลวง จนมาถึงตำหนักที่มีสำหรับจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูต เหล่าขุนนางที่มารออยู่ก่อนแล้ว ต่างก็จับจ้องมาที่คู่ของหนุ่มสาวที่ต่างก็คิดว่ามิเหมาะสมกันเลย
เพราะข่าวลือที่ว่าแม่ทัพนั้นมีบาดแผลใหญ่บนใบหน้า ยังทำให้ทุกคนฝังจำกับเรื่องเหล่านี้
“วันนี้โชคดีจริง ที่ได้พบเจอฮูหยินท่านแม่ทัพ”
“นั่นสิ ไม่คิดว่าจะงดงามถึงเพียงนี้ สตรีบ้านนอกใยจึงมีผิวพรรณผุดผ่องราวกับไข่มุกนักล่ะ”
ใต้เท้าเวิ่นและใต้เท้าหรงเอ่ยทักทายแม่ทัพของแคว้นอย่างเป็นมิตร เพราะก่อนนี้ก็ไปมาหาสู่กับสกุลลู่อยู่บ่อยครั้ง ซือหลางเองก็เคารพผู้อาวุโสไม่น้อยเช่นกัน
“ท่านลุงทั้งสองชมฮูหยินข้าเกินไป เดี๋ยวนางได้ใจมิยอมเชื่อฟังข้าเอา”
จินเยว่หันกลับไปทำหน้ามุ้ยใส่ทันที ทำเอาผู้ที่ยืนอยู่ด้วยถึงกับขันเพราะเอ็นดู
“นางงามก็ชมว่างามจะให้เอ่ยเช่นใดกัน เอาล่ะหนุ่มสาวคุยกันไปเถอะ ข้าจะไปหาพ่อของเจ้าก่อน”
ทั้งสองแยกออกไปแล้ว ซือหลางจึงจูงมือภรรยาไปนั่งในที่ของตน โดยผ่านเสนาจางและบุตรชายจางลั่วหลิงไป ทำเอาศัตรูที่นั่งจับจ้องอยู่นั้นชะงักกับสตรีตรงหน้าไม่น้อย
“หึ คนเช่นเจ้ามิน่าจะโชคดีมีฮูหยินงามถึงเพียงนี้”
“ใครจะเหมือนเจ้ากันล่ะ มีภรรยาที่มิได้ซื่อสัตย์กับคนรัก เปลี่ยนใจง่ายราวกับเปลี่ยนรองเท้า”
ซือหลางเอ่ยพร้อมกับทำทีเช็ดที่นั่งให้ฮูหยินตน โดยมีสายตาของสองสามีภรรยาที่นั่งมองด้วยความรู้สึกต่างกัน ลั่วหลิงมองอย่างโกรธแค้น ส่วนลี่เหม่ยทั้งอิจฉาและเกิดอาวรณ์ขึ้นมา เมื่อเห็นคนรักเก่าทำดีกับฮูหยินถึงเพียงนี้
แม้อีกคนจะยังคงใส่หน้ากากปกปิดใบหน้า แต่ก่อนนี้เขาคือบุรุษที่สตรีทั่วแคว้นต่างก็อยากครอบครอง และเป็นตนที่ยอมรับข้อเสนอของสกุลจาง เพียงเพราะเกรงว่าใต้หน้ากากนี้ จะไม่เหมือนเดิมดังข่าวที่ได้ยินมา
“ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ ท่านยังลืมนางไม่ได้สินะ”
ริมฝีปากอิ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่แม่ทัพกระทำ ซือหลางหันมาหาภรรยาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ใช่ที่ไหนกันล่ะ ข้าอยากทำให้เข้าถึงได้ทำ มิได้ทำเพราะอีกฝ่ายนั่งตรงหน้าเสียหน่อย”
“ข้าคิดว่าท่านตั้งใจให้สตรีนางนั้นอิจฉาข้าเสียอีก”
“มิใช่แค่นางหรอกที่อิจฉาเจ้า สตรีที่มองอยู่ต่างก็คิดเช่นเดียวกันทั้งนั้น ดูสิอาจจะมองด้วยใจสงสารอยู่ก็ได้ ที่เจ้ามีสามีอัปลักษ์เช่นข้า”
ตาสวยมองซ้ายขวาก็เห็นว่ามีหลายคนที่จ้องมอง รวมถึงขุนนางหนุ่มในที่นี้ต่างก็มองคู่ของตนกัน พร้อมกับเสียงซุบซิบที่พอจับใจความได้ว่า ทั้งคู่ดูไม่เหมาะกัน แต่มิได้หมายถึงภรรยา
“อายหรือไม่ ที่อยู่กับข้าเช่นนี้”
“เหตุใดข้าต้องคิดเช่นนั้น คนพวกนี้ก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์ไปจนตายเสียหน่อย แม้แต่ตัวข้าเองอาจหกล้มจนใบหน้านี้เสียโฉมก็ได้ ถึงตอนนั้นท่านจะหย่ากับข้าหรือไม่ล่ะ”
“เจ้านี่นะ ตัวแค่นี้ก็ช่างหาเหตุผลมาลบล้างเสียเหลือเกิน ข้าไม่หย่ากับเจ้าหรอก ต่อให้เจ้ามิใช่คนสกุลซูก็ตาม อย่างไรข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไป”
จินเยว่หันกลับมาหาสามีทันที แต่ยังมิทันได้เอ่ยถามสิ่งใดฮ่องเต้ก็เสด็จมาเสียก่อน
“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว”
เมื่อผู้เป็นเจ้าเหนือหัวเสด็จออกมาทุกคนก็ยืนพร้อมกับคำนับฮ่องเต้ รวมถึงคณะทูตที่ทำเช่นเดียวกัน
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอทรงมีพลานามัยแข็งแรงอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
“นั่งลงเถอะ ดื่มกินกันตามสบาย”
ฮ่องเต้เอ่ยพร้อมกับหันมาหาสนมจางที่มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย พร้อมฮองเฮาและไทเฮานั่งอยู่อีกข้าง
“ซือหลางพาสะใภ้มาให้ยายดูหน้าหน่อยสิ”
ไทเฮาเอ่ยเรียกหลานชาย พร้อมกับจ้องมองฮูหยินน้อยมิวางตา จึงทำให้ทุกคนหันมาสนใจไม่เว้นแม้แต่ฮ่องเต้และเหล่าองค์ชายที่พึ่งเสด็จมาถึง
แม่ทัพหนุ่มจูงมือภรรยาตัวน้อยเข้าไปหาผู้เป็นยายของตน ไทเฮายกยิ้มเอ็นดูท่าทีเรียบร้อยของหลานสะใภ้
“คำล้ำลือที่ว่าสตรีบ้านนอกมิได้งดงามเทียบเท่าสตรีในเมืองหลวง คงจะไม่ใช่เรื่องจริงแล้ว ดูสิงดงามราวถึงเพียงนี้ อย่างกับมิใช่เกิดมาจากมนุษย์เช่นนั้นแหละ”
จินเยว่ถึงกับชะงักไปทันที เพราะหลายครั้งที่มีผู้คนกล่าวขานเช่นนี้ จึงทำให้ถูกขังอยู่แต่ในเรือนมิให้ออกมาพบผู้คน ไทเฮาส่งปิ่นหยกสีขาวให้หลานสะใภ้
“เก็บเอาไว้ ยายให้เจ้าเป็นของขวัญ ว่าแต่ได้เห็นหน้าพี่เจ้าสักครั้งหรือยัง เหตุ
ใดถึงได้ใส่หน้ากากตลอดเช่นนี้นะ บอกให้ถอดก็มิยอมถอด”
“นั่นสิเพคะเสด็จแม่ เช่นนี้ฮูหยินเจ้ามิตื่นกลัวแย่หรือ”
ฮองเฮาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง แต่กลับมีเสียงเอ่ยข้ามมาของสนมจางที่นั่งอีกฝั่ง
“เกรงว่าท่านแม่ทัพถอดออกแล้วฮูหยินน้อยจะยิ่งตื่นกลัวน่ะสิเพคะ เราต่างก็รู้ว่าเหตุใดหน้ากากนี้ถึงมิถูกถอดออกเสียที บาดแผลคงดูน่ากลัวมากเป็นแน่”
น้ำเสียงเยาะเย้ยเอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของฝ่ายสกุลจาง ทำเอาไทเฮารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด ก็มีเสียงจากผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เสียก่อน
“ขอบพระทัยพระสนมที่เป็นห่วงเพคะ ถึงท่านแม่ทัพจะมีบาดแผลใหญ่เพียงใด จินเยว่ก็มิตื่นกลัวหรอกเพคะ เพราะบาดแผลที่ได้รับมาล้วนแต่เกิดจากปกป้องบ้านเมือง สตรีเช่นเราควรภูมิใจที่มีสามีอย่างท่านแม่ทัพ หาใช้ผู้ที่คอยแต่จะข่มความดีให้จม แต่เอาความชั่วของตนขึ้นมายกย่อให้สูง หม่อมฉันดีใจที่ได้เป็นภรรยาของวีรบุรุษเพคะ”
จินเยว่เอ่ยจบก็หันไปหาสามีที่นั่งอยู่ข้างตน ไทเฮาและฮองเฮาต่างก็ยกยิ้มอย่างพอใจ รวมถึงผู้ที่ถูกกล่าวถึงก็นั่งยิ้มจนผู้คนต่างก็แปลกใจ
ต่างจากอีกฝ่ายที่ถูกเอ่ยกระทบจนพากันนั่งกำมือ และขบกรามระบายความขุ่นเคืองในใจที่กำลังมากขึ้น
“เอาล่ะ ชื่นชมกันมากพอแล้วกลับไปนั่งที่ของเจ้าสองคนเถอะ นางรำมาแล้ว”
ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าสนมตั้งท่าจะเอ่ยบางอย่างขึ้นมาอีก ซือหลางจึงจูงมือฮูหยินกลับไปนั่งที่เดิม
“เจ้าพูดได้ดี ข้ามีรางวัลให้”
“รางวัลอะไรกัน ถ้าหมายถึงสิ่งที่ทำบนรถม้าข้าไม่เอานะ ท่านดีแต่รังแกข้า อุตส่าห์ช่วยหลายครั้งแล้วแท้ๆ”
“ที่ทำบนรถม้าหาใช่รางวัลของเจ้าไม่ แต่เป็นของข้าต่างหาก ส่วนนี้ของเจ้าถอดสิ จะได้เห็นหน้าข้าให้ชัด”
ตาสวยหันกลับมาจ้องคนตัวโตทันที
“เหตุใดถึงอยากให้ข้าถอดตรงนี้ล่ะ ท่านมิกลัวคนจะหัวเราะเยาะหรือ หากเห็นบาดแผลเข้า”
“ข้าไม่อาย แต่ถ้าเจ้ากลัวผู้อื่นจะเยาะเย้ยก็ไม่ต้องถอดก็ได้ ข้าเข้าใจดี”
ซือหลางเอ่ยพร้อมกับหันหน้าหนี เพราะคิดจะแกล้งและดูว่าคนตัวเล็กคิดเช่นที่พูดจริงหรือไม่ แต่พอเห็นท่าทีลังเลจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงกลัวผู้อื่นหัวเราะเยาะ
นิ้วเรียวไต่ไปตามขาของคนตัวโต ก่อนจะหยุดที่มือใหญ่ทำเอาแม่ทัพหนุ่มถึงกับนั่งนิ่งก่อนจะหันกลับมาหาภรรยาของตนที่นั่งก้มหน้าอยู่