บท
ตั้งค่า

8. หงุดหงิด

จินเยว่เอ่ยก่อนจะหลับตาลง อุตส่าห์เป็นห่วงแท้ๆ กลับได้คำพูดเหน็บแนมกลับมาเสียได้ ซือหลางจึงคลายอ้อมกอดออก ก่อนจะนอนหันหลังให้อีกคนเช่นกัน

เช้าของอีกวันฮูหยินน้อยก็ตื่นเข้าครัวเช่นเดิม โดยวันนี้ต้มข้าวให้กับผู้บาดเจ็บสองคนที่พักอยู่เรือนด้านหลังด้วย ทำเอาผู้เป็นสามีหงุดหงิดขึ้นมาเสียดื้อๆ ยิ่งคิดถึงเรื่องที่แอบได้ยินก็พาลทำให้ใจขุ่นมัว

แม่ทัพลู่ได้แต่ขบกรามแน่นรอเวลาเอาคืนสตรีที่แอบอ้างมาแต่งงานกับตน แม้จะรู้ว่านางทำเพื่อสกุลซูก็เถอะ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลงโทษคนตัวเล็กที่กล้าย้อมแมวขายเช่นนี้

“อาหารของจวนเจ้ารสชาติดีจริงๆ แม่ครัวเจ้ามาจากที่ใดกัน เห็นทีข้าต้องให้คนในตำหนักมาเรียนรู้เสียแล้ว”

“ไม่ใช่แม่ครัวพะย่ะค่ะ แต่เป็นฮูหยินน้อยต่างหากเป็นผู้ทำอาหาร ฝีมือดีมากใช่หรือไม่องค์ชาย”

“จริงหรือจินถง นี่นายของเจ้าได้สตรีงดงามยังไม่พอ อาหารก็ทำอร่อยอีกหรือ ข้าชักอิจฉาแล้วสิ”

“เจ้าควรพูดให้น้อยลงกว่านี้นะ ไม่เช่นนั้นก็ไปเอาหญ้าให้ม้ากินเสีย”

จินถงรีบหุบปากลงทันที

“องค์ชายรู้หรือไม่ว่าผู้ใดที่ลอบสังหารพระองค์เช่นนี้”

“ข้าเองก็มิเคยมีศัตรูที่ใด แต่ช่วงหลังมักมีเรื่องเช่นนี้บ่อยขึ้นจนน่าแปลกใจ”

“มิใช่แค่องค์ชายห้านะพะย่ะค่ะ ก่อนนี้องค์ชายสามก็ถูกลอบปลงพระชนม์เช่นกัน”

จงเก๋อองครักษ์คนสนิทองค์ชายเอ่ยขึ้น ทำเอาทั้งสี่ต่างก็นิ่งเงียบคิดหาเหตุผลกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“เช่นนี้พวกมันคงคิดว่าองค์ชายสิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระองค์คงต้องซ่อนตัวอีกสักพัก”

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น อีกไม่ช้ามันคงลงมือกับเสด็จพี่พระองค์อื่นอีกเป็นแน่ เจ้าช่วยสืบให้ข้าทีในยามนี้มิมีศึกสงคราม เจ้าก็รับหน้าที่ในหน่วยองครักษ์เกราะดำไปก็แล้วกัน ข้าจะมอบตราหยกให้เจ้าคนของข้าจะเชื่อฟังทุกอย่าง”

“กระหม่อมน้อมรับคำบัญชาพะย่ะค่ะ”

ซือหลางคุกเข่าลงรับป้ายหยกสีขาวไว้ในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าอีกคนกำลังมองออกไปด้านนอก ซึ่งก็มิใช่ใครที่องค์ชายกำลังจับจ้องอยู่

“ไม่คิดว่าฮูหยินเจ้าจะมีวิชาตัวเบาด้วย”

“ตัวเบาอะไรกันพะย่ะค่ะ แก่นซนราวกับมิใช่อิสตรี วันก่อนก็ตกต้นพุทรา แต่ก็ยังมิเข็ดวันนี้ก็ปีนป่ายอีกแล้ว”

แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถึงภรรยาพร้อมกับส่ายหัว องค์ชายเห็นดังนั้นจึงเอ่ยเย้าแหย่ญาติผู้น้อง ที่ผุดรอยยิ้มขึ้นมาโดยมิรู้ตัว

“แต่ดูท่าเจ้าจะชอบภรรยาที่แก่นซนมากนะ ถึงได้ตาเป็นประกายเช่นนี้ แต่ก็อย่างว่าข้าพบเพียงครั้งเดียวยังรู้สึกถูกชะตากับนางไม่น้อย”

“แค่ถูกชะตาก็พอนะพะย่ะค่ะอย่าเข้าใกล้ มิเช่นนั้นคงถูกเสือร้ายขย้ำเป็นแน่”

จินถงเอ่ยพร้อมกับสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ก็ถูกสหายอย่างจิงเก๋อส่งสายตาเตือน สื่อให้รู้ว่าตนต่างหากที่กำลังชะตาขาดเพราะกำลังจะถูกเสือร้ายขย้ำ

“จินถงวันนี้ไปให้อาหารม้า จนกว่าจะเรียกหาเจ้าไม่ต้องเอาหน้าของเจ้ามาให้ข้าเห็นอีก”

“ขอรับข้าน้อยไปเดี๋ยวนี้”

จินถงเดินคอตกออกไป จึงเจอกับจินเยว่ลงมาจากต้นพุทรา จึงได้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“พี่จินถงจะไปไหนหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงมีสีหน้าเช่นนั้น คงมิได้ถูกทำโทษอันใดหรอกนะ”

“ฮูหยินทำนายได้แม่นมากขอรับ ท่านแม่ทัพใช้ให้ไปดูแลม้าที่คอก ข้าน้อยขอตัวนะขอรับ”

“เช่นนั้นใต้เท้าก็ไปเถอะ เดี๋ยวจะมีงานมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้ หากยังมัวยืนอยู่ตรงนี้”

จินถงรีบเดินออกไปทันที เพราะเห็นผู้เป็นนายกำลังเดินออกมาจากเรือนอีกหลัง ซือหลางเดินเข้ามาหาภรรยาตัวน้อย ก่อนจะใช้สายตาดุมองจ้องจนจินเยว่สงสัย

“มองข้าเช่นนี้ทำไม มีเรื่องอันใดจะกล่าวหาข้าอีก”

“ข้ามิจำเป็นต้องกล่าวหา เพราะทำสิ่งใดผิดหรือไม่ ก็มีเพียงเจ้าที่รู้”

คนตัวโตเอ่ยจบก็เดินจากไป ทิ้งให้จินเยว่มองตามอย่างแปลกใจเช่นเดิม

“นับวันยิ่งอ่านยากขึ้นทุกที หากข้าสัมผัสแล้วรู้ว่าท่านจะทำเช่นไรกับข้าในภายหน้าก็ดีสิ ตอนนี้อยู่อย่างกังวลใจไม่ดีเอาซะเลย”

ตั้งองค์ชายพักรักษาตัวก็มิได้ออกไปที่ใดเลย จนมาถึงวันที่ฮ่องเต้ได้จัดงานเลี้ยงในวัง ต้อนรับคณะทูตมาจากต่างแคว้น เพื่อส่งเครื่องบรรณาการเช่นทุกปี

“ข้าคงไม่ไปร่วมงานเลี้ยงนี้ ดูท่าเสด็จพ่อจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าถูกลอบสังหาร”

“เรื่องนี้คงต้องเกี่ยวกับฝ่ายในเป็นแน่ งานเลี้ยงนี้ผู้ที่ออกความคิดเห็นดูเหมือนจะเป็นเสนาบดีจาง”

“ใช่แล้ว ตั้งแต่บุตรสาวได้เป็นสนมคนโปรด ก็ดูเหมือนการลอบสังหารจะมีมาเรื่อยๆ หากนางตั้งครรภ์โอรสขึ้นมา พี่น้องของข้าคงไม่เหลือรอดแน่”

“สกุลจางมักใหญ่ใฝ่สูงเกินไปแล้ว เช่นนี้เราคงต้องรีบหาหลักฐานที่พวกมันลักลอบค้าขายอาวุธให้ได้”

“อย่างไรเจ้าเองก็ระวังตัวให้มากรู้หรือไม่ ดูแลฮูหยินเจ้าด้วยนางอาจกลายเป็นเป้าหมายของอีกฝ่ายก็ได้”

“กระหม่อมไม่ปล่อยนางคาดสายตาหรอกพะย่ะค่ะ”

“หึ เป็นห่วงหรือว่าหวงกันล่ะ สายตาเจ้ายามมองนางปิดไม่มิดเลยสักนิดรู้หรือไม่”

“พระองค์เอ่ยอันใดกันพะย่ะค่ะ กระหม่อมก็แค่ทำหน้าที่สามีดูแลนางเท่านั้น”

“งั้นหรือ ข้าไม่เถียงกับคนปากหนักเช่นเจ้าหรอก”

หยวนเหอเอ่ยก่อนจะจิบชาหอมกรุ่นอีกครั้ง ทิ้งให้ญาติผู้น้องหน้าโหดนั่งเงียบมองสตรีตัวน้อยเดินเล่นในสวนด้านนอก โดยที่ใบหน้านั้นผุดยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

“ไปเถอะ เจ้าต้องรีบแต่งตัวเข้าวังไม่ใช่หรือ ดูท่าฮูหยินเจ้าเองก็ยังไม่ทำอะไรเลยนะ เอาแต่ไล่จับผีเสื้ออยู่เช่นนั้น หากเป็นสตรีเรือนอื่นคงนั่งอยู่หน้ากระจกเป็นแน่”

“นางก็เป็นเช่นนี้ เรียบง่ายต่างจากคุณหนูทั่วไป”

“แต่ดูแล้วเจ้าคงจะชอบที่นางเป็นเช่นนี้ เพราะข้าไม่เคยเห็นเจ้าต่อว่านางเลยสักครั้ง”

“กระหม่อมขอตัวก่อนนะพะย่ะค่ะ”

ซือหลางคำนับอีกคนก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทั้งที่อีกคนยังพูดไม่จบเลยด้วยซ้ำ ทำเอาองค์ชายอดที่จะขันในท่าทีของน้องชายไม่ได้

ความรีบเร่งของแม่ทัพหนุ่มที่มิอยากให้ผู้ใดได้ยลโฉมภรรยาของตน อยู่ในสายตาทุกผู้ในจวน

“ดูท่าท่านแม่ทัพจะมีใจให้ฮูหยินโดยที่ไม่รู้ตัวเลยนะพะย่ะค่ะ จากที่ใบหน้ามีแต่ความอำมหิต บัดนี้ดูเรียบนิ่งและมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาบ้าง”

จงเก๋อเอ่ยขึ้น ก่อนที่หยวนเหอจะมองดูญาติผู้น้องและภรรยาตัวน้อยเดินกลับเข้าห้องไป ก็อดที่จะใจหายมิได้ เพราะตนถูกชะตากับจินเยว่ไม่น้อย

“นั่นสินะ จะมีสักกี่คนที่ทำให้ซือหลางยิ้มออกมาได้”

เสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมาก่อนจะเดินกลับไปนอนที่เตียง เมื่อเริ่มคิดอะไรฟุ้งซ่านขึ้นมา

จินเยว่เดินตามคนตัวโตเข้าห้อง ก่อนที่พี่เลี้ยงจะถูกไล่ให้ออกไปรอข้างนอก หญิงสาวมองหน้าสามีที่เอาแต่จ้องตน ทั้งที่บอกให้รีบเข้ามาแต่งตัวแท้ๆ

“เหตุใดต้องไล่พี่ชิงหมิงออกไปด้วยเจ้าคะ ท่านแม่ทัพให้ข้าอาบน้ำแต่งตัวมิใช่หรือ เช่นนี้แล้วใครจะช่วยข้าล่ะ”

ซือหลางจ้องหน้าอีกคนเขม็ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“คราวหลังไม่ต้องไปที่ต้นพุทราอีก ไม่ใช่สิ ห้ามไปเรือนด้านหลังอีกเข้าใจหรือไม่”

คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน พร้อมกับจ้องมองอีกคนนิ่ง ทำเอาซือหลางเองก็ทำตัวไม่ถูกเมื่อเอ่ยออกไปแล้ว

“ข้าบอกว่าห้ามไปก็คือห้าม รีบอาบน้ำแต่งตัวเถอะข้าจะรออยู่ที่ห้องโถงของเรือน”

ซือหลางรีบเดินออกไปทันทีเมื่อเอ่ยจบ ทิ้งให้อีกคนมองตามอย่างสงสัย

“เหตุใดไม่ให้ไปเรือนด้านหลัง เช่นนี้ข้าก็เก็บพุทราไม่ได้แล้วสิ หึ!! แม่ทัพบ้าอำนาจ”

ชิงหมิงเดินเข้ามาหลังจากแม่ทัพเดินออกไปแล้ว

“ฮูหยินท่านแม่ทัพเอ่ยสิ่งใดหรือเจ้าคะ เดินออกไปด้วยสีหน้าราวกับกำลังจะทำศึกกับใคร”

“อย่างไรหรือพี่ชิงหมิง”

“ก็หน้าทะมึงทึงน่ะสิเจ้าคะ”

“ฮ่าฮ่า พี่นี่ช่างเปรียบเปรยเสียจริง รีบเตรียมน้ำเถอะจะได้อาบให้เสร็จ ท่านแม่ทัพรออยู่”

หญิงสาวชำระร่างกายจนแล้วเสร็จ ก็ออกมาแต่งตัวด้วยชุดที่สามีเลือกให้ ผิวพรรณผุดผ่องดูหน้ามอง พร้อมกับรวบผมขึ้นครึ่งหัวแล้วปล่อยยาวลงมา

“สวยมากจริงๆ เจ้าคะ บางทีพี่ก็แปลกใจว่าฮูหยินเป็นบุตรของนายท่านจริงหรือไม่ เพราะดูไม่เหมือนคนในเรือนนั้นเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งมารดาของท่าน”

“ข้าดูไม่เหมือนขนาดนั้นเลยหรือ แต่จะเป็นไปได้เช่นไรที่ข้าจะไม่ใช่บุตรของท่านพ่อท่านแม่”

จินเยว่นึกถึงใบหน้าของบิดามารดาก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้เช่นกัน แต่ก็ไม่กล้าคิดว่าตนจะมิใช่บุตรของสกุลซู ก่อนนี้แม้จะถูกโขกสับราวมิใช้คน แต่ก็คิดว่าเพราะตนเป็นลูกอนุ จึงมิมีใครรักใคร่ เป็นเรื่องปกติของทุกสกุลที่ทำเช่นนี้

“นิ่งไปเช่นนี้คิดถึงเรื่องนั้นอีกแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ผ่านมานานแล้วอย่าคิดถึงมันเลยนะ ตอนนี้ท่านคือฮูหยินแม่ทัพ มิมีผู้ใดรังแกได้อีกแล้ว”

“ไม่รู้สิ คนที่รังแกข้าอาจเป็นเจ้าของเรือนนี้ก็ได้”

“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพถึงจะดูน่ากลัว แต่ก็มิเคยดุด่าว่าท่านเลยนะเจ้าคะ ดีกว่าอยู่ที่เรือนนั้นมาก”

“เอาล่ะ รีบแต่งตัวเถอะ ป่านนี้คงทำหน้ายักษ์รอแย่แล้ว เห็นทีจะตำหนิข้าก็ตอนนี้แหละ”

จินเยว่เอ่ยบอกพี่เลี้ยง พร้อมกับปักปิ่นที่สามีซื้อให้ ก่อนจะพากันออกจากห้องไป พอมาถึงห้องโถงก็เจอกับแม่ทัพนั่งรออยู่ ซึ่งแปลกกว่าจากทุกคราเพราะตอนนี้ซือหลางโกนหนวดเคราออกจนสะอาดตา แต่ยังคงใส่หน้ากากเอาไว้เช่นเดิม แต่จินเยว่ก็มิได้แปลกใจกับใบหน้าของอีกคนนัก

ต่างจากผู้ที่ยืนจ้องมองฮูหยินราวกับมิเคยพบพานกันมาก่อน นัยน์ตาคมยังคงมิละออกจากภรรยาตัวน้อยเลยแม้แต่นิด ทำเอาคนสนิทต้องสะกิดเมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมแล้ว

“ฮูหยินมาแล้วไปได้หรือยังขอรับ”

“ก็ไปสิจะถามทำไม”

ซือหลางตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ทำเอาจินหยางต้องรีบออกไปรอนอกจวนทันที

“เหตุใดจึงไม่หาผ้าคลุมไปด้วย ดึกอากาศอาจจะหนาวได้ ชิงหมิงไปเอาผ้าคลุมมาเตรียมให้ฮูหยิน”

น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความห่วงใยของแม่ทัพ ทำเอาคนที่ยืนอยู่ต่างก็แปลกใจไปตามๆ กัน 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel