บทย่อ
แม่ทัพอาภัพรักมัวแต่ทำศึกจึงเสียคนรักไป ยิ่งข่าวลือเอ่ยถึงบาดแผลบนใบหน้าทำเอาผู้คนต่างตื่นกลัว สุดท้ายกลับต้องแต่งงานกับสตรีบ้านนอก และกลายเป็นบุรุษที่โชคดีกว่าใคร เพราะภรรยาของเขานั้นมีปีก
1. คำล่ำลือ
ลู่ซือหลางแม่ทัพหนุ่มวัย 22 ปียืนอยู่ท่ามกลางงานแต่งของสตรีที่ตนเคยรักอย่างสุดซึ้ง หากแต่บัดนี้เจ้าบ่าวหาใช่ตนไม่ ทั้งที่ก่อนนี้ก็รักใคร่ไปมาหาสู่กันดี
แต่พอกลับจากสนามรบกลับได้ยินว่าสกุลเหวินนั้นถอนหมั้นไปเสียแล้ว และยังจัดงานแต่งขึ้นในวันที่ตนกลับมาถึงอีกด้วย แม่ทัพหนุ่มจึงมาร่วมงานทั้งที่มิมีผู้ใดเชิญ
ร่างสูงภายใต้หน้ากากครึ่งซีกยืนมองงานแต่งใหญ่โต พร้อมกับขบกรามแน่นด้วยความนึกแค้น ที่คนรักนั้นทรยศหักหลังตน เพียงเพราะได้ยินว่าใบหน้านี้ไม่เป็นเช่นเดิมอีกแล้ว
ศึกสงครามที่กินเวลายาวนาน ทำให้แม่ทัพหนุ่มต้องสูญเสียคนรัก หน้ากากที่สวมใส่จึงทำให้คิดว่าเกิดจากคมดาบ จนทำให้ผู้คนต่างก็หวาดกลัวและกล่าวขาน
ยิ่งกลิ่นคาวเลือดที่ติดตัวของแม่ทัพหนุ่มนั้นยิ่งทำให้มีรังสีอำมหิตมากขึ้นไปอีก นั่นคือคำล่ำลือที่ผู้คนกล่าวถึงไม่จบไม่สิ้น
“ท่านแม่ทัพกลับมาเมื่อไหร่กัน ขออภัยที่ข้าน้อยมิได้ส่งเทียบเชิญไปที่จวน มิรู้จริงๆ ว่าท่านจะกลับวันนี้”
“ข้าแค่มาอวยพรเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเท่านั้น”
“เชิญท่านแม่ทัพขอรับ”
ประมุขของจวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่น ทำเอาแม่ทัพลู่ยกยิ้มออกมาทันที ก่อนจะเดินตามไปราวกับมิรู้สึกสิ่งใด เมื่อเข้าไปนั่งภายในจวนเช่นแขกคนอื่น เจ้าบ่าวก็รับเจ้าสาวเข้ามาพอดี
ลู่ซือหลางมองเจ้าสาวด้วยสายตาตัดพ้อ โดยที่อีกคนมิได้เห็นเลยแม้แต่น้อย มือเรียวกำแน่นระบายอารมณ์ขุ่นมัวภายในใจ จนคนสนิทนั้นอดเป็นห่วงมิได้ จนกระทั่งพิธีเสร็จเรียบร้อย
เจ้าสาวถูกส่งตัวเข้าหอไปแล้ว ส่วนเจ้าบ่าวนั้นมีท่าทีตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าผู้ใดที่มาร่วมงาน แต่ก็จำต้องทำใจดีสู้เสือร้ายตัวนี้
“ท่านแม่ทัพไม่คิดว่าจะกลับมาวันนี้ ข้าน้อยจึงมิได้”
“พอเถอะ บิดาเจ้าเอ่ยไปหมดแล้วมิจำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาอีก ข้ามาวันนี้ก็เพียงแค่อยากเห็นกับตาว่าสตรีที่เคยหมั้นหมายไม่ได้ซื่อสัตย์กับข้าแม้แต่น้อย ข้าจะได้มิรู้สึกเสียดายกับคนเช่นนี้อีก”
เอ่ยจบแม่ทัพหนุ่มก็เดินออกไปพร้อมกับทหารที่ยืนรออยู่ด้านนอก แม้ก่อนหน้านี้ซือหลางจะเป็นที่ชื่นชอบของสตรีทั่วเมือง แต่บัดนี้กลับกลายเป็นที่หวาดกลัวของผู้คน ยิ่งเวลาผ่านไปบุรุษผู้นี้ก็ยิ่งทำตัวราวกับโจรป่า
หนวดเครารุงรังจนมิมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้โดยเฉพาะสตรี แม้จะมีบางคนที่ถูกซื้อมาเพื่อใช้ระบายความต้องการ แม้จะผ่านไปนานเพียงใดก็ยังคงเป็นเป็นเช่นนี้
“ซือหลางลูกแม่ เจ้าอย่าทำตัวเช่นนี้เลยนะ บาดแผลบนหน้าเจ้าก็มิได้มีเช่นข่าวลือนั้นเสียหน่อย เจ้าทำตัวเยี่ยงนี้จะมีบุตรสาวเรือนใดยอมแต่งกับเจ้า”
“ท่านแม่ก็รู้ว่าข้ามิคิดจะมีภรรยา เหตุใดจึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก มิเช่นนั้นลูกจะไปจากเมืองหลวง”
ฮูหยินผิงจำต้องเดินกลับจวนด้วยสีหน้าผิดหวังเช่นเคย ต่างจากผู้ที่กำลังฝึกดาบจนเหงื่อท่วม โดยมิได้ใส่ใจว่ามารดาจะทุกข์เรื่องตนเช่นไร สี่ปีแล้วที่ซือหลางทำตัวเช่นนี้ หนวดเคราก็ปล่อยไว้แม้ไม่ยาวก็ทำให้มิมีสตรีใดอยากเข้าใกล้เช่นแต่ก่อน
“ฮูหยินดูทุกข์มากเลยนะขอรับ การที่ท่านแม่ทัพไม่ยอมรับสตรีเรือนใดนั้น นายท่านทั้งสองคงพอเข้าใจ หากแต่ท่านแม่ทัพอยู่ที่นี่ตลอด จะเข้าเมืองก็แค่ยามเข้าเฝ้าฮ่องเต้เท่านั้น”
ซือหลางหันกลับมามองหน้าคนสนิทของตน ก่อนจะหันไปฝึกดาบต่อราวกับว่าเป็นเพียงเสียงนกเสียงกาเท่านั้น
“ท่านแม่ทัพ ใต้เท้าเผิยถือราชโองการมาขอรับ”
แม่ทัพลู่ชะงักกระบี่ในมือทันที ก่อนจะสวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วเดินไปยังกระโจมหลังใหญ่ภายในค่าย
“ลู่ซือหลางรับราชโองการ บัดนี้แม่ทัพถึงวัยที่ควรจะมีครอบครัวได้แล้ว ฝ่าบาทจึงพระราชทานสมรสกับคุณหนูสกุลซูนับจากนี้อีกสิบวัน”
ซือหลางนิ่งไปทันทีเมื่อได้ยินราชโองการนี้ จนผู้ที่ถือคำสั่งมาต้องเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“รับราชโองการไปเสีย การแต่งงานนี้อย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น หากเจ้ามิอยากมีภรรยาก็เพียงแค่ต่างคนต่างอยู่ แต่หากเจ้ามิรับราชโองการสกุลเจ้าและฝ่ายหญิงที่มิรู้เรื่องนี้ด้วยจำต้องรับผลไปพร้อมกับการกระทำของเจ้า”
ใต้เท้าเผิยเอ่ยเตือนสติแม่ทัพหนุ่มที่เปรียบเสมือนหลานชายของตน เพราะรุ่นบรรพบุรุษต่างก็เป็นมิตรกันมายาวนานจนถึงทุกวันนี้
“ข้าน้อยมิเคยได้ยินชื่อของคนสกุลนี้เลยขอรับใต้เท้า มิทราบว่าเป็นสกุลที่อยู่ในเมืองหลวงหรือไม่”
“เห็นว่าเป็นขุนนางที่เมืองเชียงไห่”
“เมืองเชียงไห่ เหตุใดฝ่าบาทจึงให้ท่านแม่ทัพแต่งกับสตรีบ้านนอกเช่นนี้ล่ะขอรับ ซ้ำยังเป็นเพียงบุตรขุนนางระดับล่างเสียอีก”
ฟานจงคนสนิทและยังเป็นรองแม่ทัพเอ่ยขึ้น
“ข้าถึงบอกว่าให้ต่างคนต่างอยู่อย่างไรล่ะ ตบแต่งไปแล้วเจ้าจะไม่สนใจนางก็มิมีผู้ใดต่อว่าเจ้าหรอก”
“ได้แน่หรือท่านตาสตรีผู้นั้นจะยอมแต่งงาน มิใช่ยอมตายดีกว่าจะร่วมหอกับโจรเยี่ยงข้าเสียล่ะ”
“ข้าน้อยว่ามีแต่จะรีบยกบุตรสาวให้เสียมากกว่า ได้แต่งกับแม่ทัพใหญ่ของแคว้นซ้ำยังเป็นหลานชายคนโปรดของไทเฮาอีกต่างหาก”
“คิดเช่นนั้นหรือ หากสตรีนางนี้มิได้คิดเช่นเจ้าล่ะ หากอีกฝ่ายเต็มใจหลานก็มิมีสิ่งใดขัดข้องขอรับ”
“อืม เช่นนั้นตาจะกลับแล้วเจ้าเองก็ควรจะโกนหนวดเคราออกเสีย ถึงวันงานเจ้าสาวจะได้มิตื่นกลัว”
ซือหลางยกยิ้มหากแต่มิได้ตอบอันใดออกมา ก่อนจะเดินไปส่งผู้อาวุโสขึ้นรถม้า และกลับมาฝึกกระบี่เช่นเดิม
“ท่านแม่ทัพเช่นนี้แล้วจะกลับไปที่จวนเมื่อใดขอรับ ต้องจัดคนไปรับเจ้าสาวด้วยหรือไม่”
“ป่านนี้ทางจวนคงจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ข้าอยากรู้มากกว่าว่าผู้ใดกันที่ออกความคิดให้แต่งงานกับบุตรสาวขุนนางบ้านนอกเช่นนี้”
“นั่นสิขอรับหรือว่าจะเป็นคนของสกุลจาง ตั้งแต่บุตรสาวเข้าไปเป็นสนมในวัง ก็ดูเหมือนท่านแม่ทัพจะได้รับคำสั่งมิหยุดหย่อนเลยนะขอรับ”
“คิดจะเป็นศัตรูกับข้าเช่นนั้นหรือ ไม่คิดว่าได้สตรีข้าไปแล้วยังคิดที่จะกำจัดข้าอีก คงรอโอกาสนี้มานานแล้วสินะจางลั่วหลิง”
ซือหลางขบกรามแน่นเมื่อนึกถึงเรื่องราวมากมายที่ตนได้รับมอบหมายในช่วงหลังมานี้
ตั้งแต่บุตรสาวสกุลจางหรือน้องสาวของจางลั่วหลิงบุรุษที่ได้ครองสตรีที่ซือหลางหมายหมั้นจะให้เป็นมารดาของบุตร แต่บัดนี้กลับร่วมมือกันทำร้ายตน ความคับแค้นใจจึงมีมากจนแทบควบคุมไม่อยู่
“คงคิดจะลดทอนอำนาจของท่านแม่ทัพลงมาเพราะหากแต่งงานกับผู้ที่มีอำนาจในราชสำนัก คงไม่ดีต่อฝ่ายนั้นเป็นแน่ขอรับ”
“หึ เลยให้ข้าแต่งกับสตรีบ้านนอกสินะ”
มือเรียวกำธนูแน่นก่อนจะยิงออกไปยังเป้าหมายที่ยังคงหมุนไปมาและก็มิมีสักดอกที่พลาดเป้า
หลังจากรับราชโองการก็ผ่านมาห้าวันแล้ว จวนของแม่ทัพเริ่มเตรียมงานอย่างใหญ่โตสมฐานะหลานชายของฮ่องเต้และไทเฮา อีกทั้งขบวนที่ถูกส่งไปรับเจ้าสาวก็กำลังเดินทางไปถึงเมืองเจียงไห่
ผู้คนมากมายต่างออกมารอดูขบวนใหญ่โตนี้กันอย่างคึกคักเต็มสองฝั่ง มีเพียงเจ้าของเรือนสกุลซูเท่านั้นที่มีสีหน้าวิตกกังวล เพราะบุตรสาวคนโตนั้นมิยอมแต่งงานกับแม่ทัพที่คำล่ำลือเช่นนี้
“ท่านพี่ขบวนมาถึงแล้วนะเจ้าคะ จะทำเช่นไรดีจะปล่อยให้บุตรสาวของเราแต่งงานกับคนเช่นนั้นจริงหรือ”
“ราชโองการจะขัดได้เช่นไรกัน”
“เช่นนั้นก็ให้จินเยว่แต่งแทนสิเจ้าคะ อย่างไรเสียบุตรอนุก็ใช้แซ่สกุลซูเช่นกัน ฝ่าบาทมิได้เอ่ยว่าต้องแต่งกับบุตรสาวคนใดนะเจ้าคะ”
“ใช้แล้วว่านเยว่เจ้าไปตามบุตรสาวมาเดี๋ยวนี้”
ประมุขของเรือนรีบเอ่ยบอกกับอนุของตน นั่นก็คือมารดาของบุตรสาวคนเล็กวัยสิบเจ็ดปี ที่อยู่เรือนหลังสุด หว่านเยว่รีบออกไปตามบุตรสาวทันที ในใจก็อยากให้จินเยว่รับปากแต่งงานไปเสีย
เพราะอาจจะดีกว่าอยู่ให้ผู้คนในเรือนนี้โขกสับ เมื่อมาถึงเรือนก็มิเห็นบุตรสาวอยู่ในด้านใน จึงรีบไปตามหาในครัวที่มักจะขลุกอยู่เสมอ
“อยู่ที่นี่เองหรือลูกแม่ ไปเถอะรีบไปแต่งตัวเสีย”
“แต่งตัวหรือท่านแม่จะไปที่ใดกัน”
“เจ้าต้องแต่งงานแทนพี่สาวของเจ้า ไปเถอะเมืองหลวงอาจจะดีกว่าที่นี่ก็ได้”
“แต่งงาน!! ข้าหรือท่านแม่”
“ใช่รีบไปเถอะขบวนเจ้าบ่าวจะถึงแล้ว ชิงหมิงเจ้าก็ไปช่วยเก็บข้าวของคุณหนูด้วย เจ้าต้องตามจินเยว่ไป”
สตรีสาวทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่จะถูกมารดาลากไปยังเรือนใหญ่ โดยมีบิดาและฮูหยินรออยู่ พร้อมกับชุดเจ้าสาวที่ถูกเตรียมเอาไว้
“อย่าได้เอ่ยถามสิ่งใด เจ้าต้องทำเพื่อสกุลซู”
เมื่อได้ยินบิดาเอ่ยเช่นนั้นจินเยว่จำต้องก้มหน้ารับ
“เร็วเข้ารีบแต่งตัวให้เรียบร้อย ดีแค่ไหนได้แต่งงานกับแม่ทัพ หากผู้ใดถามก็บอกว่าเจ้าคือคุณหนูที่เกิดจากฮูหยินใหญ่เข้าใจหรือไม่”
เสียงจากฮูหยินซูเอ่ยขึ้น แม้หญิงสาวจะอยู่ในสภาพที่ยังคงเลอะเทอะกับการทำอาหารก่อนหน้านี้ แต่ก็มิมีใครสนใจที่จะทำให้ดูดีขึ้น เพราะถึงอย่างไรกว่าจะถึงเมืองหลวง ขบวนนี้ก็ต้องหยุดพักที่ใดสักแห่งอยู่ดี
“เอาไว้พักที่โรงเตี๊ยมเจ้าค่อยทำตัวให้สะอาดเรียบร้อยแล้วกันนะ รีบไปเถอะอย่าได้เอ่ยสิ่งใดที่ทำให้สกุลซูเดือดร้อนเข้าใจหรือไม่”
ฮูหยินยังคงเอ่ยย้ำถ้อยคำเดิม
“ท่านแม่ลูกกลับมาเยี่ยมพวกท่านได้หรือไม่”
“ไม่ต้องกลับมาเป็นดีที่สุด มิเช่นนั้นแม่ทัพจับได้ว่าสกุลซูให้แต่งกับอนุคงจะต้องโทษทั้งสกุลเป็นแน่ คนโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนั้นคงไม่ปล่อยเราไว้”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นว่านเยว่ก็เกิดเสียใจขึ้นมาที่ตนคิดผิดอยากให้บุตรสาวแต่งงานออกไป
“ลูกแม่รักษาตัวให้ดีเข้าใจหรือไม่”
“ท่านแม่ก็เช่นกันนะเจ้าคะ”
จินเยว่กอดมารดาแน่นก่อนจะเดินออกจากเรือนไป โดยชิงหมิงประคองขึ้นเกี้ยว โดยมีคนสนิทของแม่ทัพอย่างจินถงมารับเจ้าสาวผู้นี้เอง
เมื่อรถม้าของเจ้าสาวเคลื่อนออก ใจดวงน้อยที่มิเคยจากบ้านก็อดที่จะหวาดหวั่นมิได้ แววตาที่เคยสดใสหม่นลงในทันที
“คุณหนูเหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้ ใยจึงมิบอกกล่าวล่วงหน้าซักนิด พี่สงสารคุณหนูจริงๆ”
“ช่างเถอะถือว่าทำเพื่อสกุลซูแล้วกัน จากนี้ข้าก็มิจำเป็นต้องสู้รบกับผู้ใดในเรือนอีกแล้ว”
“แล้วคุณหนูไม่คิดหรือเจ้าคะ ว่าอาจต้องไปสู้รบกับคนในจวนแม่ทัพก็ได้”